“ปั้น ตาปั้น!”
“ครับ ครับแม่”
“มานั่งได้แล้วเดี๋ยวกับข้าวเย็นหมด” ผมเลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างพ่อหลังยืนเอ๋อย้อนนึกถึงอดีต อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคนฝั่งตรงข้ามที่นั่งอยู่ข้างแม่
ผมยังไม่อยากเชื่อว่าทับทิมที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นคนเดียวกับยัยหมูอ้วนทับทิมเมื่อสิบปีก่อน ช่วงที่ผมอยู่มอต้นผมยังได้ยินแม่บ่นให้ฟังอยู่เลยว่าน้าแววกังวลเรื่องลูกสาวน้ำหนักเกินมาตรฐาน แล้วพอขึ้นมอปลายผมก็ได้ยินแม่เล่าว่าน้าแววพยายามให้ยัยหมูทิมออกกำลังกายแต่นางก็ไม่ยอม หลังเลิกเรียนเอาแต่นัดเพื่อนเข้าร้านหมูกระทะ
เวลาปิดเทอมครอบครัวลุงยศจะแวะขึ้นมาเยี่ยมที่บ้านบ้าง แต่ทุกครั้งผมกลับไม่ได้อยู่เพราะช่วงปิดเทอมจะชอบไปออกค่าย ผมรู้สึกว่าการนอนอยู่บ้านเฉย ๆ มันน่าเบื่อเลยต้องหากิจกรรมทำ ดังนั้นตั้งแต่ปอห้าเป็นต้นมาผมเลยไม่เคยเจอยัยลูกหมูอีก ทำให้ตอนนี้ต้องมานั่งแปลกใจว่าทำไมถึงได้หุ่นดีขนาดนี้
“ปั้นตักกับข้าวให้น้องบ้างสิ” แม่บอกแล้วยิ้มให้ ซึ่งเป็นยิ้มที่ย้ำว่า ‘ทำตามที่แม่บอกเดี๋ยวนี้ครับลูกรัก’
“ขอบคุณค่ะพี่ปั้น”
“อือ” ผมครางอือรับคำขอบคุณ “ว่าแต่ที่แม่บอกมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยคืออะไรงั้นเหรอครับ” คงไม่ใช่เรื่องหนึ่งเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับยัยลูกหมูหรอกใช่ไหม
“เรื่องน้องทิมน่ะ” นั่นไง เดาไว้ไม่มีผิด “แม่ว่าจะให้น้องไปอยู่คอนโดปั้นสักพัก”
“อะไรนะครับ! แค่ก ๆ” ถึงกับสำลักน้ำแกง “จะให้ยัยลูกหมูไปอยู่กับปั้น?”
“ใช่จ้ะ พอดีเทอมหน้าน้องจะเข้าไปเรียนมหา’ลัยเดียวกับปั้น แต่ทีนี้ลุงยศไม่อยากให้น้องอยู่หอคนเดียวกลัวไม่ปลอดภัย อย่างที่ปั้นรู้ว่าทุกวันนี้โจรผู้ร้ายมันเยอะแม่เองก็ไม่สบายใจถ้าจะให้น้องอยู่คนเดียว”
“ก็เลยจะให้มาอยู่ห้องปั้นงั้นเหรอครับ” ผมเข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วงยัยลูกหมู แต่ห่วงแล้วทำไมต้องให้มาอยู่ห้องผมด้วย
“คอนโดปั้นมีตั้งสองห้องนี่นา ยังไงอีกห้องก็ไม่มีใครนอนอยู่แล้วถือว่าดูแลน้องช่วยลุงยศนะลูก แค่เทอมเดียวรอให้น้องปรับตัวได้”
“แต่ปั้นไม่สะดวก” ถ้ายัยลูกหมูย้ายไปอยู่ด้วยผมก็ทำอะไรไม่สะดวกน่ะสิ เวลากลับห้องดึกหรืออยากพาใครมานอนด้วยก็ต้องคอยระแวงว่าจะโดนเอาเรื่องไปฟ้องไหม
“ที่ว่าไม่สะดวกเรื่องอะไร” แม่เลิกคิ้วรอคำตอบ
“ก็...” จะให้พูดตรง ๆ ได้ไงละ ถ้าพูดไปแม่ต้องหัวใจวายแน่
“ถ้าข้ออ้างที่ว่าหมายถึงกลัวน้องเอาเรื่องที่พาสาวกลับห้องมาฟ้องแม่ก็ไม่ต้องกลัว เพราะแม่รู้อยู่แล้ว” ผมตาโตเท่าไข่ห่าน แทบจะสำลักอากาศเมื่อแม่เปลี่ยนท่าทีเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยกแขนขึ้นกอดอก
“แม่ครับ คือปั้น ปั้น...” ผมมองพ่ออย่างขอความช่วยเหลือแต่ท่านกลับไหวไหล่พูดไม่มีเสียง ‘ตัวใครตัวมันครับลูกชาย’
“คิดว่าแม่ไม่รู้นิสัยลูกตัวเองรึไงฮึ ที่ไม่ค่อยกลับบ้าน ไม่รู้เพราะกิจกรรมที่มหา’ลัยเยอะหรือว่ากิจกรรมเข้าจังหวะเยอะกันแน่”
“คิก!”
“มีอะไรตลกห๊ะยัยลูกหมู!” ผมขึงตาใส่คนที่กำลังปิดปากขำ อยากยื่นมือหยิกหลานรักของแม่ให้ตัวเขียว
“เปล่าค่ะ แค่นึกถึงซีรีย์ที่ดูเมื่อคืนก็เลยขำ” เหอะ! เชื่อตายแหละ
“ไม่ต้องว่าน้องเลย” แม่พูดขึ้นเมื่อเห็นผมตั้งท่าจะเถียงกลับยัยลูกหมู “ถ้าปั้นมีเหตุผลแค่เรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะแม่ไม่ขอรับไว้พิจารณาก็แล้วกัน อาทิตย์หน้าแม่จะให้น้องย้ายเข้าไป ตามนี่นะ”
“ครับ” ผมจะตอบอะไรได้นอกจากตอบตกลง ในเมื่อแม่ดักไว้ขนาดนี้ผมไม่มีทางออกอยู่แล้ว
“ขอบคุณพี่ปั้นที่ยอมให้ทิมไปพักด้วยเป็นการชั่วคราวนะคะ” ผมปรายตามองคนที่หย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ อุตส่าห์เดินออกจากบ้านมาสูดอากาศยังจะเดินตามมาอีก
“ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ได้เต็มใจ”
“รู้ค่ะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณอยู่ดีเพราะทิมคงทำให้พี่ปั้นเดือดร้อนเรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะ”
“รู้รึไงว่ากิจกรรมเข้าจังหวะหมายถึงอะไร”
“รู้สิค่ะ ทิมไม่ใช่เด็กอนุบาลสักหน่อย”
“เห็นทำตัวนุ่มนิ่มคิดไม่ถึงว่าจะช่ำชองเรื่องพวกนี้”
“เรียกว่าช่ำชองก็ดูจะเกินตัวทิมไปหน่อย ทิมแค่รู้ว่าคำนั้นหมายถึงอะไรแต่ไม่เคยปฏิบัติจริงหรอกค่ะ ถ้าอย่างพี่ปั้นว่าไปอย่าง”
“แน่นอน” ยืดอกรับอย่างภูมิใจ “คนหล่อก็แบบนี้ผู้หญิงวิ่งเข้าหาไม่ขาดสาย”
“แบบนี้เรียกว่าหล่อแล้วเหรอคะ” อะไรนะ!
ถึงกับหันควับคอแทบหัก “เธอจะบอกว่าเบ้าหน้าฟ้าประทานอย่างฉันเรียกไม่หล่อ?”
“การมั่นใจในตัวเองมันก็ดีอยู่หรอกค่ะ แต่บางทีพี่ปั้นอาจจะมีมากเกินไป”
โห... มือกำแน่นเลย ถ้าจะหลอกด่ากันขนาดนี้เดินมาตบหัวเลยดีกว่า “ถ้าอยากด่าก็ด่าเลยไม่ต้องอ้อม”
“ทิมไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ พ่อกับแม่สอนว่าด่าคนแก่กว่ามันเป็นบาป”
“ยัยลูกหมู!” คราวนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว เมื่อกี้บอกมั่นหน้าตอนนี้บอกแก่ ยัยเด็กนี่ชักจะเกินไปแล้วนะ เผลอมือไวผลักตกน้ำเลยดีไหม ไหน ๆ ตอนนี้ก็ไม่มีห่วงยางประจำตัวน่าจะง่ายต่อการฆ่า
“ไม่เอาไม่โมโหนะคะ ดูสิตีนกาขึ้นหมดแล้ว” ผมรู้ว่าตัวเองไม่มีแต่ก็ดันลืมตัวยกมือลูบหางตาจนยัยทับทิมยิ้มพอใจ “แก่อยู่แล้วเวลาโมโหจะยิ่งแก่ง่ายกว่าเดิมหลายเท่าเลยนะคะ”
“ยัยลูกหมูเธอนี่มัน...” ผมกัดฟันกรอด พูดอะไรไม่ออกได้แต่ชี้หน้าขึงตาใส่
“จะบอกว่าทิมสวยเหรอคะ ใช่ค่ะทิมรู้ตัว”
“ไม่ใช่โว้ยยยย” ผมลุกขึ้นมือเท้าเอว “บอกว่าฉันมั่นหน้าเธอเองก็มั่นหน้าเหมือนกันนั่นแหละ!”
“เปล่านะคะ เรื่องนี้ทิมไม่ได้คิดไปเอง”
“จะบอกว่ามีคนพูดว่าเธอสวยรึไง”
“ใช่แล้วค่ะ” ดูเชิดหน้าเชิดตา แบบนี้ไม่เรียกมั่นหน้าเหรอแม่คุณ
“คนที่บอกว่าเธอสวยเขาก็แค่ปลอบใจไปงั้นแหละ” ผมใช้สายตามไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า “ฉันไม่เห็นมีตรงไหนใช้คำว่าสวยได้สักตรง”
“งั้นเหรอคะ” ยัยลูกหมูลุกขึ้นยืนประชันหน้า “อย่าให้ได้ยินว่าเผลอปากชมทิมสวยก็แล้วกัน”
“ไม่มีทาง เพราะสวยกว่าน้องพี่ก็ลองมาแล้วจ้ะ”
ยัยทับทิมเบ้ปาก “ในเมื่อพี่ปั้นมั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางชมทิมสวย งั้นกล้ารับคำท้าไหม”
“คำท้าอะไร”
“ถ้าวันไหนที่พี่ปั้นเผลอปากชมทิมขึ้นมา วันนั้นพี่ปั้นต้องคลานเข่าเหมือนน้องหมาแล้วก็หอน”
“ได้” เรื่องกล้วย ๆ แค่นี้ทำไมคนอย่างไอ้ปั้นจะทำไม่ได้
“ดีลค่ะ รอฟังเสียงหอนอยู่นะคะ” ว่าจบก็สะบัดหน้าเดินเข้าบ้าน ผมเลยเบ้ปากตามหลังไป
มั่นใจเหลือเกินนะแม่คุณ “แต่เสียใจด้วยนะ ยังไงเธอก็ไม่มีวันได้สมหวัง!”