ฉันยืนโอนเอนภายในลิฟต์ของคอนโดหลังจากที่เพื่อนอย่างชาช่าอาสามาส่ง ความจริงแล้วนางจะส่งให้ถึงห้องแต่เป็นฉันเองที่ปฏิเสธ เพราะเกรงใจคุณนาจสามีของนาง ฉันจึงทุลักทุเลลากร่างกายของตัวเองมายืนอยู่ในลิฟต์นี่ไง
ติ๊ง!
เมื่อลิฟต์เปิดฉันก็ค่อยเดินเบียดชิดเอากำแพงเป็นที่ยึด วันนี้ฉันเมาหนัก และความทุกข์ใจก็ไม่ได้หายไปไหนสักนิด ฉันควรเปลี่ยนความคิดเลิกเมาจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างโหวงเหวงในตอนเช้า เพราะการตบด้วยกาแฟดำบางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไร
“เป็นผู้หญิงที่แย่นะ” ฉันเปิดประตูเข้ามาก็ได้ยินเสียงนี้ ฉันคงเมาจนหลอนได้ยินเสียงของนายภาคินแหละมั้ง
“สงสัยจะเมาจนหลอน” ฉันว่าและสะบัดหัวสองสามที จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นเพราะเดินต่อไม่ไหวแล้ว และพื้นตรงนี้ก็คือที่ประจำของฉัน จากนั้นฉันก็หลับสิคะ พรุ่งนี้ต้องทำงานฉันต้องรีบนอน!
“เนี่ยนะ เจ้าสาวของฉัน” ประโยคนี้แว่วมาในหูก่อนที่ฉันจะหลับใหล ฉันกำลังฝันว่ามีผ้าเย็นมาเช็ดที่ใบหน้าและตามตัว รู้สึกสบายจังคืนนี้ฉันคงไม่ต้องนอนเหนียวตัวแล้ว...
แสงแดดสอดส่องเพราะม่านถูกเปิด แต่เดี๋ยวนะ! ใครเปิดม่านล่ะ ฉันฉุกใจคิดจึงรีบลุกขึ้นหันมองผ้าม่านที่ถูกเปิดด้วยความสงสัย แต่เรื่องผ้าม่านกับดูเล็กน้อยทันทีเพราะเมื่อฉันก้มมองตัวเอง
“ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าฉัน แล้วทำไมฉันมานอนบนที่นอนแบบนี้” ฉันตาลุกวาวขึ้นมาทันที ก็เมื่อคืนฉันลากสังขารมาคนเดียวเพราะเกรงใจคุณนาจ แล้วใครเปลี่ยน?
“พี่เอง ทีหลังอย่าเมาแบบนี้อีกนะ เป็นผู้หญิงกินเหล้าเมาขนาดนี้ได้ไง ไม่ห่วงตัวเองบ้างเหรอ” ฉันรีบหันมองตามทิศทางของเสียงที่ส่งมา
บอกชาลีทีว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือภาพลวงตา
“นะ! นายบอกว่านายคือคนเปลี่ยนชุดให้ฉัน” ฉันถามตะกุกตะกัก
แสดงว่าเสียงเมื่อคืนที่ฉันได้ยินก็คือเขาน่ะสิ!
“อย่างแรกที่เราต้องเคลียร์คือ เลิกเรียกพี่ว่านาย และอย่างที่สองคือต่อไปนี้ชาจะไม่มีสิทธิ์ไปเมาที่ไหนโดยลำพังอีก”
“นี่มันชีวิตของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้นายไม่สิทธิ์มาสั่ง!” ฉันลุกขึ้นยืนบนที่นอนมองคนที่ยืนอยู่ที่พื้น ให้มันรู้ไปสิว่าเหตุผลอะไรฉันจะต้องมาฟังเขา ในเมื่อเมื่อวานเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกัน
“ชารู้ไหมว่าชาเปลี่ยนไปมาก และที่สำคัญชาดันเปลี่ยนไปในทางที่พี่...โคตรเกลียด” เขาส่ายหน้าเอือมระอากับพฤติกรรมของฉัน
“ฉันไม่ได้ขอให้คุณมารัก และฉันไม่ได้อ้อนวอนให้คุณมาแต่งงานด้วย ฉันเป็นแบบนี้มันผิดตรงไหน ถ้าคุณอยากแต่งกับคนที่คุณถูกใจก็คงต้องแฟนคุณแล้วแหละ”
“ถ้าไม่จำเป็นชาคิดว่าพี่อยากแต่งงานกับผู้หญิงแบบชาหรือไง” ประโยคนี้ที่เขาพูดสามารถสื่อความหมายให้ฉันเข้าใจอย่างชัดเจนเชียวล่ะ
“ก็คนอย่างฉันมันไม่คู่ควรกับใครอยู่แล้วไง” ฉันมองหน้าเขาสักพักก่อนจะเอ่ยประโยคนี้ขึ้น จากนั้นฉันก็เดินลงจากที่นอน แล้วก็เข้าห้องน้ำเตรียมตัวไปทำงาน ไอ้น้ำตาบ้านี่ทำไมต้องไหลให้ผู้ชายใจร้ายคนนี้ด้วยนะ ทำไมฉันต้องเอาคำพูดของเขามาใส่ใจด้วย
แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้ไงนะ โธ่เอ๊ย! คุณหญิงสไบทองแน่เลย ฉันว่าแล้วเมื่อคืนโทรมาน้ำเสียงฟังดูแปลก ๆ
“ฉันคิดว่าคุณควรออกจากห้องของฉันไปได้แล้วนะคะ ฉันจะแต่งตัว” ฉันเดินออกมาด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว ฉันไม่อายหรอกก็เขาบอกเองว่าเขาเกลียดฉัน เพราะงั้นไม่มีทางที่เขาจะพิศวาสฉันหรอกในเมื่อเขามีแฟนที่เขารักเทิดทูนหนักหนา
“พี่ว่าชาควรจะปรับอะไรหลาย ๆ อย่างเพราะเราต้องอยู่ด้วยกัน!”
เดี๋ยวนะ ฉันหูฝาดไปใช่ไหม ไม่ใช่หรอกฉันไม่มีทางอยู่กับเขาแน่
“เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ” ฉันหันขวับทันใด
“พี่ว่าชาควรจะปรับอะไรหลาย ๆ อย่างเพราะเราต้องอยู่ด้วยกัน!” ประโยคเดิมเป๊ะทุกคำ
“ฉันคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นะที่เราจะอยู่ด้วยกัน” ฉันยืนกอดอกมองเขาโดยที่ฉันยังคงมีเพียงผ้าขนหนู
“ผู้ใหญ่อยากเราคุ้นเคย ท่านก็เลยให้พี่มาอยู่กับหนู” เขานั่งไขว่ห้างมองเรือนร่างของฉัน แต่ฉันไม่นึกกลัวหรอกนะ
“แล้วทำไมคุณต้องทำตามล่ะ ไม่กลัวแฟนคุณเสียใจหรือไง”
“พี่ไม่อยากให้แม่เสียใจ” พระเอกไปอีก ทั้งที่ชีวิตที่ผ่านมาไม่เหมือนพระเอกสักนิด
“แต่คุณไม่ต้องมาจริง ๆ ก็ได้ไหม เพราะห้องนี้มีห้องนอนห้องเดียว” ใช่แล้วค่ะ คอนโดนี้มีห้องนอนห้องเดียว และฉันอยู่คนเดียวมาโดยตลอด
“หนูคิดว่าพวกผู้ใหญ่ท่านโง่หรือไง”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่ฉันรู้ ๆ คือ...คุณควรเลิกเรียกฉันว่าหนู” ฉันว่าจบจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ในเมื่อไม่ออกก็ปล่อยเขาไป ฉันจะทำเหมือนเขาเป็นอากาศ แล้วไอ้สรรพนามหนู ฉันเกลียดที่สุดเวลาที่มันกลั่นจากปากของเขา
“วันนี้ต้องไปบ้านพี่นะ แม่หนูกับแม่พี่นัดให้เราไปลองชุดแต่งงานที่นั่น เดี๋ยวพี่ไปชงกาแฟไว้ให้รีบแต่งตัวแล้วออกไปนะ” ชุดที่ถืออยู่คงต้องเปลี่ยนสินะ เพราะคุณหญิงสไบทองคงจะจัดการทุกอย่างแล้ว
“อะไรนักหนากับชีวิตอีชาวะเนี่ย” ฉันบ่นให้หลังที่เขาเดินออกไป ทำไมหญิงโสดวัย 28 ถึงตกอยู่ในอารมณ์เช่นนี้
“คุณบอกฉันว่าคุณเกลียดฉัน ไม่อยากแต่งงานกับฉันใช่ไหม?” ฉันเอ่ยถามขณะที่นั่งอยู่ในรถกับเขาเพียงสองคน
“ทำไม” เขาถามกลับพร้อมมองฉันด้วยหางตาเพียงนิดจากนั้นเขาก็หันไปสนใจถนนหนทางตรงหน้า
“ฉันจะบอกคุณแม่ของคุณไงว่าเราไม่ได้รักกัน และฉันไม่อยากแต่งกับคุณ และคุณก็มีแฟนแล้วควรให้คุณแต่งงานกับคนรักของคุณจะดีกว่า”
“อยากให้แม่พี่อาการกำเริบหรือไง พี่ไม่คิดจะเอาชีวิตของแม่มาเล่นหรอกนะ” เขาทำหน้าจริงจัง
“เราไม่น่าเจอกันอีกเลยนะ รู้ไหมว่าพอฉันรู้ว่าคุณคือเจ้าบ่าว ฉันโคตรเสียใจเลย”
“เพราะหนูยังรักพี่ไง แต่พี่ไม่ได้รักหนูนะ” แม่งโคตรแมนเลย ฉันอยากจะตบปากเขาเหลือเกิน
“ฉันแค่สงสารชีวิตในอนาคตข้างหน้าต่างหากล่ะ” สิ้นประโยคนี้ทุกอย่างก็เงียบลงค่ะ จนกระทั่งเขาเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เขาเดินมาเปิดประตูให้ฉันทำเหมือนสุภาพบุรุษยังไงอย่างงั้น ทั้งที่ปากเขาโคตรจะหมาเลย
“ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมากันแล้ว” คุณหญิงสายสมรยิ้มแป้นยืนเคียงข้างกับคุณหญิงสไบทองที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ต่างกัน
“เมื่อคืนน้องเมาไหมคะพี่คิน” ดูคำกล่าวทักของคุณหญิงสไบทองสิคะ แทนที่ท่านจะทักทายลูกสาวเช่นฉันแต่ดันถามถึงความเมามายของฉันกับผู้ชายเช่นเขาที่หน้าไหว้หลังหลอก
“ไม่ครับ” นายนี่โกหกหน้าตายเก่งจริง ๆ
“แม่ว่าเราไปลองชุดกันเถอะ” คุณหญิงสายสมรเดินมาคว้ามือของฉันให้เดินตามท่านไป แล้วการเริ่มลองชุดแต่งงานก็เริ่มขึ้น โดยที่ฉันจำใจต้องฉีกยิ้มทั้งที่ไม่อยากจะยิ้ม
“พี่คินบอกว่าที่แต่งงานเพราะคุณป้าไม่ยอมรักษาโรคหัวใจ จะเป็นไปได้ไหมคะถ้าหนูจะขอไม่แต่งและหนูอยากจะให้คุณป้าเข้ารับการรักษา” ฉันพึมพำหน้ากระจกซึ่งไม่มีใครอยู่หรอก มีแค่ฉันที่ยืนมองดูตัวเองในชุดเจ้าสาว และเตรียมคำพูดที่คิดว่าจะบอกคุณหญิงสายสมรเผื่อว่าท่านจะเข้าใจ แต่ถ้าพูดไปแล้วท่านไม่เข้าใจฉันจะไม่แย่เหรอ แล้วถ้าท่านโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาจะไม่กลายเป็นความผิดของฉันหรือไง!
“อย่าคิดจะพูดแบบนั้นกับแม่พี่เด็ดขาด พี่ร้ายกว่าที่หนูคิดนะ” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูของฉัน จากนั้นสายตาร้าย ๆ ก็ส่งผ่านมาทางกระจก