ชาวบ้านที่มาถึงนาก่อนมุ่งหน้าเกี่ยวข้าวไปก่อนแล้ว ถ้านับไม่ผิดน่าจะเกือบสามสิบคนเป็นอย่างต่ำ ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ข้างรวงข้าว
‘คนมาช่วยเยอะขนาดนี้เราก็คิดว่าจะเสร็จเร็วแต่เปล่าเลยเสร็จจากนาเราก็ต้องไปช่วยเขาต่อ เหมือนกับที่คนอื่น ๆ มาช่วยเรา ถ้าเป็นที่บ้านลุงดำของเธอใช้รถเกี่ยวข้าววันสองวันก็เสร็จแต่นี่กว่าจะแล้วเสร็จก็เข้าสู่เดือนกุมภามีนานู่นแหละ’
ยายยื่นบางอย่างที่เรียกว่าเคียวให้เธอ มันมีลักษณะโค้งงอและปลายแหลมสมชื่อ
‘งือ ๆ เกิดมายังไม่เคยจับเคียวสักหนจะให้ไปเกี่ยวข้าว ตาย ๆ ไม่ตายวันนี้จะตายวันไหน’
ยายหยิบผ้าขาวม้าและหมวกไว้สำหรับคลุมหน้าให้เธอแล้วทำเป็นตัวอย่าง ส่วนถุงมือยายเอาเศษผ้ามาพันมือให้แทน แดดเริ่มร้อนขึ้นลมก็พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ หมวกก็โดนลมพัดแล้วพัดอีก สรุปคือเอาผ้าคลุมหน้าไว้เฉย ๆ
เอมอรอยากจะหาครีมกันแดดมาใช้แต่แม่อวนบอกเธอว่าบ้านอยู่ไกลจากตลาดเกือบยี่สิบกิโลเมตร ต้องนั่งเรือยนต์หรือไม่ก็ต้องเดินไป
‘ถามหน่อยใครจะเดิ๊น?’
แม่อวนเดินเข้ามาหลังจากผูกควายไว้ให้กินหญ้าอีกที่หนึ่งซึ่งเกี่ยวข้าวออกไปแล้ว แม่อวนเริ่มสอนให้เอมอรใช้เคียวเกี่ยวข้าว จนเธอสามารถพอทำได้บ้าง ไรผมดำขลับเริ่มเปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ
“เบิ่งผู้สาวมึงดู๊ คือมาเกี่ยวข้าวทังเทือวะ” (ดูแฟนมึงสิ ทำไมมาเกี่ยวข้าวทั้งทีวะ) ชายคนหนึ่งเอ่ยแซวกัน เพราะปกติแล้วเอมอรไม่เคยมาทำงานช่วยพ่อกับแม่อย่างมากก็มาเลี้ยงควาย
“สงสัยอยากได้ผัว กะเลยมาหัดเฮ็ด ฮ่า ๆ” (สงสัยอยากมีผัว ก็เลยมาฝึกทำ ฮ่า ๆ) ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งพูดทั้งหัวเราะ จนกันไม่อยากจะคุยด้วย ถึงเขาจะไม่ชอบเอมอรแต่ก็ไม่อยากได้ยินคำพูดแบบนี้กับคนที่เขากำลังจะแต่งงานด้วย กันจึงเดินหนีแล้วเดินเข้าไปใกล้เอมอร กันสังเกตตั้งแต่วันที่เขาช่วยชีวิตเอมอรไว้ ว่าเธอดูสงบลงไม่ขี้โวยวายเหมือนแต่ก่อน กันจึงคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องแต่งงานกับเธออยู่ดี ระหว่างนี้ก็น่าจะทำความรู้จักกับเธอไปก่อน
“เกี่ยวเป็นอยู่ติ คิดว่าเฮ็ดหยังบ่อเป็น” (เกี่ยวเป็นอยู่เหรอ นึกว่าทำอะไรไม่เป็น) กันพูดขึ้นมาขณะที่ยืนมองเอมอรเกี่ยวข้าว จะจีบสาวทั้งทีแต่ดันปากหมาแต่เอมอรก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าโกรธ เพราะเธอทำไม่เป็นจริง ๆ เพิ่งจะเคยทำครั้งแรกได้แค่นี้ก็ถือว่าบุญแล้ว เอมอรเงยหน้ามองคนที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอ จำได้ว่าเขาคือผู้ชายคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เขาสวมแค่หมวกปีกใบเดียวไม่มีผ้าคลุมหน้า ใบหน้าหล่อเหลาดูเข้มลงเพราะกรำแดด
“ก็พอได้ค่ะ ฝึกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็คงชิน” เอมอรตอบตามความจริงใบหน้าเนียนดูหม่นลง ที่จริงจะว่ายากก็ยากเพราะต้องระวังเคียวไม่ให้เกี่ยวโดนนิ้วมือตัวเอง ชายหนุ่มได้ยินถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน ภาษาที่เธอใช้และน้ำสียงอ่อนโยนต่างจากครั้งที่เขาเคยคุยกับเธอครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนั้นแก้วหูแทบแตก ผิดกับตอนนี้ที่โทนเสียงนุ่มนวลน่าฟัง อีกทั้งยังพูดภาษากลางได้คล่องและไม่มีความกระดากอาย แถมสำเนียงดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนอีสาน สำหรับคนที่จบแค่ปอสี่อย่างเธอพูดได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมาก
คนในหมู่บ้านไม่มีใครกล้าพูดภาษากลางหรืออาจจะพูดไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ เพราะมีเวลาเรียนกับคุณครูเพียงแค่ไม่กี่ปี บางคนยังเขียนหนังสือไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนครูนั้นเวลาสอนก็พูดภาษาไทยคำภาษาอีสานคำ ตอนคุยกับเพื่อนก็ไม่ต้องพูดถึงใช้ภาษาอีสานล้วน ๆ
กันเรียนจบชั้นปอหก เขาค่อนข้างใฝ่เรียน แต่ด้วยความที่เป็นพี่ชายคนโตพ่อกับแม่จึงไม่ให้เรียนต่อ เขาพอรู้ภาษากลางอยู่บ้างแต่ไม่ถือว่าพูดได้คล่องเพราะไม่ค่อยได้ใช้สื่อสารกับที่บ้าน ผิดกับคนที่ไม่ชอบเรียนอย่างเธอกลับพูดได้เร็วปร๋อไม่มีติดขัดเลยสักนิด เขาไม่เคยได้ยินเธอพูดมาก่อน
เขามองหน้าเธอตอนนี้แดงราวกับลูกตำลึงสุก ด้วยเพราะเธอเป็นคนขาวมากผิวพรรณดีหน้าตาสะสวยทำให้เห็นรอยแดงชัดเจนเมื่อโดนแดด นี่เป็นเสน่ห์ของเธอถ้าตัดนิสัยแย่ ๆ อีกหลายอย่างออกไป
“คือบ่อใส่หมวก บ่อฮ้อนติ” (ทำไมไม่ใส่หมวก ไม่ร้อนเหรอ) ชายหนุ่มมองหาหมวกของเธอจนเห็นมันอยู่โคนต้นไม้
“ลมมันพัดแล้วชอบปลิว รำคาญ”
กันเดินไปหยิบหมวกมาสวมไว้บนศีรษะให้เอมอร
“หันมานี่” เขาจับหมวกเธอให้หันหน้ามาหาเขาแล้วใช้มือผูกเชือกที่หย่อนลงมาทั้งสองข้างติดคางให้กับเธอ
“ส่ำนี้กะบ่อปลิวแล้ว” (แค่นี้ก็ไม่ปลิวแล้ว) เธอลืมคิดไป เขามีเชือกไว้ให้ผูกแต่ดันไม่ผูก อย่าว่าแต่ใส่หมวกเลยเมื่อเช้าหาครีมกันแดดจะทาก็ยังไม่มี ไม่รู้กลับไปต้องไปเข้าสปานานแค่ไหน
“ขอบคุณค่ะ”
เอมอรยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน มันดูละมุนน่ารักไปหมด ทั้งสองเกี่ยวข้าวช่วยกันไปคุยกันไป กันเริ่มรู้สึกว่าเอมอรก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร หรือว่าเธอจะสมองเสื่อมเพราะเธอจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
“ขอบคุณนะคะที่เมื่อวานคุณช่วยชีวิตฉันไว้ ถ้าไม่ได้คุณฉันคงตายไปแล้ว”
‘แล้วที่รอดมาได้มันต่างจากตายไปแล้วยังไงเอมอร!’
“บ่อเป็นหยัง ข่อยเต็มใจ” (ไม่เป็นไรผมเต็มใจ) เสียงอ่อนโยนดูจริงใจกว่าทุกครั้งที่เขาเคยพูดกับเธอ วันที่เขาพาร่างไร้สติของหล่อนขึ้นจากน้ำเขาไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เล็ดลอดจากปากเธอ มาวันนี้คล้ายกับว่าเป็นคนละคน
พ่อแม่และยายของเอมอรต่างมองดูหนุ่มสาวทั้งสองด้วยความพอใจ เพราะครั้งนี้เขาทั้งสองคุยกันได้นานกว่าทุกครั้ง ปกติเวลาเจอหน้ากันทีไรคุยกันไม่ถึงสามคำก็ทะเลาะกันทุกที รอบที่ตกน้ำเอมอรก็ขออาคมไปเก็บผลกระจับแต่พ่อไม่ให้เธอลงไปในน้ำเพราะเธอว่ายน้ำไม่เป็น พ่อจึงเก็บขึ้นมาให้แล้วให้ไปล้างน้ำเองที่ริมฝั่งห้วย แต่ลูกสาวเกิดลื่นตกลงไปในน้ำจนกันต้องไปงมร่างเธอขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยถูกกัน
ตกดึกคืนนั้นเอมอรหลับตาลงอย่างยากลำบาก ทั้งที่ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที น้ำใส ๆ เอ่อล้นออกมาจากเบ้าตาทั้งสอง ความรู้สึกหวาดกลัวทุกอย่างมันถาโถมเข้ามาเกาะกินข้างในหัวใจ มันหนาวเหน็บยิ่งกว่าอากาศที่ล้อมรอบกายเธออยู่ในตอนนี้