ตอนที่ 5 ยังไงก็ต้องแต่ง

1131 Words
แม่อวนไปบ้านพ่อใหญ่ศิลาเพื่อคุยกันเรื่องที่ลูกชายของพ่อใหญ่ศิลาช่วยชีวิตลูกสาวของตนไว้ แม่อวนเกรงว่าชาวบ้านจะเอาไปนินทาจึงจะให้รีบไปสู่ขอโดยเร็ว ซึ่งทั้งสองครอบครัวเคยตกลงกันไว้แล้วว่าจะให้ลูกทั้งสองคนแต่งงานกัน แต่ติดที่ลูกชายของพ่อใหญ่ศิลาที่ไม่ยอมแต่งด้วย เพราะเขามีคนรักอยู่แล้วแต่พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยจึงไม่ไปสู่ขอให้ อีกทั้งกันไม่ชอบเอมอรที่เป็นคนไม่เอาไหน กิริยามารยาทก็เหมือนผู้ชาย งานบ้านงานเรือนก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง กันเองมีพี่น้องทั้งหมดหกคนเขาเป็นพี่ชายคนโตตอนนี้อายุย่างเข้ายี่สิบสามปี พ่อกับแม่อยากให้ออกเรือน และเห็นว่าเอมอรมีฐานะดีมีไร่นาหลายสิบไร่พ่อกับแม่จึงได้จับจองไว้เป็นลูกสะใภ้ใหญ่ของบ้าน “จั่งได๋ข่อยกะบ่อแต่ง” (ยังไงผมก็ไม่แต่ง) กันยืนกรานกับพ่อแม่ของตัวเองขณะที่แม่ของฝ่ายหญิงกลับไปแล้ว “จั่งได๋มึงกะต้องแต่ง มึงไปอุ้มลูกสาวเพิ่นแล้ว ลูกเพิ่นเสียหาย” (ยังไงมึงก็ต้องแต่ง มึงไปอุ้มลูกสาวเขาแล้ว ลูกเขาเสียหาย) ศิลาดุลูกชายเสียงแข็ง เขาไม่เคยยอมให้ใครมาต่อว่าถึงเรือนฟรี ๆ อีกอย่างพ่อกับแม่ของเขาก็ชอบเอมอรยังไงก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจง่าย ๆ กันได้แต่นั่งเงียบไม่กล้าเถียงพ่ออีก เขารู้ว่าพ่อเขาโหดแค่ไหน ถ้าเกิดทะเลาะกันไปมีหวังโดนหวายลงหลังแน่ วันนี้เขาต้องไปเจอหน้าเอมอรด้วยเพราะต้องไปเกี่ยวข้าวช่วยว่าที่ภรรยาในอนาคต บรรดาลูก ๆ อีกทั้งห้าคนได้แต่นั่งเงียบเมื่อเห็นพ่อกำลังโกรธเพราะไม่อยากโดนหางเลขไปด้วย เอมอรตื่นเต้นกับการที่จะได้นั่งเกวียนครั้งแรกในชีวิต ยายของเธอยังคงแข็งแรงเพราะอายุเพิ่งจะห้าสิบหกสามารถไปนากับลูกหลานได้อย่างสบาย คนสมัยก่อนแต่งงานกันเร็วอายุแค่สิบแปดเท่ากับเธอก็แต่งงานกันเกือบหมดแล้ว พ่อของเธอเอาควายมาเทียมเกวียนสองตัวแล้วก็ขับเคลื่อนมันออกไป ส่วนแม่นั้นไล่ต้อนควายตามหลังอีกราวสิบตัว ทางที่ไปนาเป็นถนนลูกรังและบางช่วงเป็นดินทราย ยายบอกว่าตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าแล้งถนนจึงแห้ง ถ้าเข้าหน้าฝนเมื่อไหร่หนทางจะเละมาก บางวันเดิน บางวันก็ขี่ควาย แต่ถ้าบ้านไหนมีเกวียนก็สบายหน่อยไม่ต้องหาบคอนตะกร้าไปนาให้ลำบาก ในหมู่บ้านนี้ใครที่มีเกวียนถือว่ารวยมากคิดตามที่ยายพูดแล้วก็คงลำบากมากจริง ๆ ทั้งสองข้างทางมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมดต้นไม้ใบหญ้าเริ่มมีใบสีเหลือง ต้นไม้ส่วนใหญ่ใบเปลี่ยนสีจากสีเขียวไปเป็นสีเหลืองส้มเพื่อเข้าสู่ฤดูกาลผลัดใบ มองไปทางไหนมีแต่ทุ่งนาเหลืองอร่ามไปด้วยรวงข้าวแกว่งไกวไปตามแรงลม กลิ่นข้าวใหม่โชยมาตามลมหนาวซึ่งเอมอรรู้สึกได้จริง ๆ ว่ามันหนาวกว่าฤดูหนาวในที่ที่เธอจากมา บางพื้นที่ก็กำลังเริ่มปลูกอ้อย ส่วนใหญ่การทำเกษตรที่นี่ใช้แรงงานควายกับคนเป็นหลัก ‘โอ้พระเจ้า! นั่งเกวียนไม่ได้สบายอย่างที่คิด สรุปนั่งไม่ค่อยได้เลยหัวโยกหัวคลอนไปหมด ทางก็เรียบเกิ๊น ต้องยืนเกาะราวเกวียนตลอดทาง’ แม่ของเธอกำลังไล่ต้อนควายตามมาติด ๆ ถ้าอยากให้เกวียนเร็วก็ต้องตีควายให้มันเดินเร็วขึ้น แต่อย่าทำเลยสงสารมัน “ยายคะ ตรงนี้เขาเรียกว่าป่าอะไรเหรอคะ” เอมอรเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นป่าขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าต้นไม้หลัก ๆ ในป่าแห่งนี้ก็จะเป็นไม้เต็งรังที่พ่อกำลังขับเกวียนแล่นผ่านเข้าไปตรงกลางป่า เพราะมันเป็นทางผ่านที่ต้องทะลุไปทุ่งนาของเธอ “มึงจำป่าช้าบ่อได้ติ” (มึงจำป่าช้าไม่ได้เหรอ) ยายแพงบอกกับหลาน เอมอรยังคงยืนงง ‘มันคือป่าช้า ป้าช้าแล้วยังไง?’ “แล้วเขาเอาไว้ทำอะไรเหรอคะยาย” “ถ้าเด็กน้อยก็ฝัง ถ้าผู้ใหญ่ก็เผา” ‘อ๊าก! ‘ คำตอบที่ได้ยินแทบทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้น อยากจะกระโดดลงจากเกวียน แต่เกวียนเพิ่งจะผ่านมาถึงกลางป่าช้าพอดี ทำได้แค่ยืนตัวแข็งจนฉี่จะราด ‘นี่นาตูอยู่ใกล้กับป่าช้าซะด้วย ยายบอกบางครั้งต้องนอนค้างคืนที่นาด้วย โอย เวรกรรมจริง ๆ ทำเวรทำกรรมอะไรมา ถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ เธอจะมีโอกาสรอดกลับไปมั้ยเนี่ย’ “ระวังหนามหมากเล็บแมวเด้อ” พ่อบอกเพราะเห็นกิ่งของมันยื่นออกมาลักษณะคล้ายใบพุทราแต่ต้นเล็กกว่าเป็นทรงพุ่มมีหนามเต็มไปหมด ลูกมันมีขนาดเล็กลักษณะเป็นช่อออกตามซอกใบมีสีเขียวและสีดำอยู่เต็มทุกกิ่งก้าน ยายบอกว่ามันกินได้ลูกสุกมีรสเปรี้ยวอมหวาน “เดี๋ยวให้พ่อมึงมาเก็บให้” เห็นเธอมองยายก็เหมือนรู้ใจหลานสาวถ้าไม่ติดว่าอยู่ในป่าช้าเอมอรคงมาเก็บเอง เพราะมันมีลูกดกเต็มต้นดูท่าคงสนุกดี ‘แต่เดี๋ยวมันจะสนุกไม่ได้! เพราะที่นี่มันคือป้าช้าโว้ย! บอกกับตัวเองอยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็ชินเอง’ กว่าจะผ่านป่าช้ามาได้ใจแทบขาดเพราะเธอกลั้นหายใจมาตลอดทาง ทุ่งนาของเธอมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย มองเห็นข้าวสีเหลืองทองเต็มทุ่งนาไปหมด ‘เห็นแล้วก็นึกอยากถ่ายรูปเก็บไว้ ติดที่ไม่มีกล้องถ่ายรูปนี่แหละ ไม่งั้นจะถ่ายไปฝากพ่อกับแม่ตอนกลับบ้านคิดถึงบ้านทีไรหัวใจก็ห่อเหี่ยวทุกที ไม่รู้จะได้กลับไปตอนไหน’ ระยะทางจากบ้านมาถึงนาเกือบ ๆ สามกิโลเมตรได้ ถ้าเดินมาคงจะเหนื่อยแย่ ลักษณะเถียงนาของเธอคล้ายกับเถียงนาของกันที่เธอไปนอนพักในวันที่เธอจมน้ำ พืชผักที่ปลูกไว้โดยรอบก็แห้งเหี่ยวไปบ้างเพราะตอนนี้เป็นหน้าแล้งต้องรอฝนตกอีกหลายเดือน ส่วนต้นที่ยังเขียวอยู่ก็เพราะมีน้ำล้างจานช่วยประทังชีวิตเอาไว้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD