ตอนที่ 7 ไปสู่ขอสาว

1635 Words
ตื่นเช้าขึ้นมาเอมอรปวดร้าวไปหมดทั้งตัวโดยเฉพาะฝ่ามือกำแทบไม่ได้ ยิ่งอากาศหนาวด้วยแล้วมือไม้ก็แข็งไปหมด ตามแขนขาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยแผลที่เกิดจากใบข้าวใบหญ้าบาด โดนน้ำทีแสบไปหมดทั้งหนาวทั้งแสบโคตรแห่งความทรมาน ‘เกิดมาไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้!’ ยายกับแม่ของเธอบอกว่าให้ทำทุกวันเดี๋ยวอาการปวดเมื่อยก็จะหายไปเอง ‘สงสัยต้องอาศัยโยคะเข้าช่วย แต่ว่าตีสี่ก็ต้องตื่นมาทำงานบ้านอีกจะเอาเวลาไหนไปโยคะ ยากไปไหมชีวิต อยากกลับไปเรียนเหมือนเดิมยังจะดีกว่า’ สองวันต่อมาหลังกลับจากเกี่ยวข้าว วันนี้แม่กับยายและป้าแจ้งพี่สาวของแม่แล้วก็ญาติ ๆ อีกหลายคนช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง เธอไม่รู้ว่าจะมีงานใหญ่อะไร มีผู้ใหญ่หลายคนเดินทางเข้ามาสมทบที่บ้านของเธอ เอมอรมารู้ภายหลังว่าทางบ้านพ่อใหญ่ศิลาซึ่งเป็นพ่อของกันจะมาสู่ขอเธอไปเป็นลูกสะใภ้ ‘ให้ตายเถอะ! ทะลุมิติมาทั้งทีได้มาเป็นสะใภ้ก็ถือว่ายากแล้ว แต่นี่ต้องมาเป็นสะใภ้อีสาน โอ้ยอยากตายแล้วเกิดใหม่จริงโว้ย!’ ‘บ้าไปแล้ว ฉันต้องมาแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปดเลยเหรอเนี่ย!’ เมื่อผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งสองฝ่ายมาพร้อมกันหมด มาอยู่ที่นี่เธอต้องทำตัวให้ชินกับการใส่ผ้าถุงและการนั่งพับเพียบ ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเธอ เอมอรนั่งมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยท่าทางผะอืดผะอม ส่วนกันนั่งหน้านิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน สายตามองมาที่เธอครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ วันนี้เขาใส่เสื้อยืดสีขาวและนุ่งโสร่งมองดูแล้วก็หล่อเข้มเหมือนพระเอกในละครหลังข่าว คนที่นี่เขารับรองแขกด้วยยาเส้นซึ่งทำมาจากต้นยาสูบหั่นฝอยแล้วนำมาไปตากแห้ง จากนั้นนำใบตองแห้งมาพันเป็นยาสูบซึ่งกันก็สูบมันเช่นกัน สักพักประเพณีการสู่ขอสาวก็ได้เริ่มขึ้น ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง: หมู่เจ้าสิพากันมาอั่นได๋ล่ะพ่อใหญ่? (พวกคุณจะพากันมาธุระเรื่องอันใดล่ะพ่อใหญ่) ผู้ใหญ่ฝ่ายชาย: ว่าสิหยับสวนหม่อนมาซอนสวนหมี่ สิหยับสวนบักมี่มาซ้อนบักขนุน” (ว่าจะมาสู่ขอลูกสาวไปเป็นลูกสะใภ้) ‘อือนะภาษาอีสานธรรมดาก็ว่ายากละ…’ เอมอรทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม ‘คือเขาคุยภาษาอะไรกัน ต้องแปลภาษาอีสานเป็นอีสานอีกทีหรือไง!’ ผู้ใหญ่ฝ่ายชาย: ฝนตกปีนี้ฟ้าสิฮ้องแฮงปานได๋? (ทางนี้จะเรียกค่าสินสอดเท่าไหร่) ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง: กระบุงครึ่ง (หมื่นห้า) กว่าจะคุยกันจบคนฟังไม่รู้เรื่องอย่างเธอแทบหืดขึ้นคอ สรุปก็คือมันคือการเรียกค่าสินสอดนั่นเองเล่นเอาเอมอรงงเป็นไก่ตาแตก แม่กับยายของเธอเรียกค่าสินสอดไปหมื่นห้านั่นก็คือกระบุงครึ่งซึ่งฝ่ายชายก็ไม่ต่อสักบาท ที่เขาพูดกันเขาเรียกว่าคำผญา กระบุงปกติเอาไว้ตวงข้าวแต่เขาเอามาเปรียบกับค่าสินสอดถ้าหนึ่งกระบุงก็คือหนึ่งหมื่นบาท ลูกสาวบ้านอื่นเขาแต่งกันแค่สิบบาทยี่สิบบาท เอมอรได้ตั้งหมื่นห้าถ้าเทียบสมัยนี้ก็น่าจะหลักแสนหลักล้านล่ะมั้ง ดูท่าว่าที่พ่อแม่สามีคงชอบเธอเอามาก ๆ ถึงยอมจ่ายหนักขนาดนี้ ‘คิดในแง่ดีไว้ จะได้มีกำลังใจอยู่ต่อ’ “หนูไม่แต่งได้ไหมคะแม่” เอมอรเอ่ยกับแม่เมื่อแขกเหรื่อกลับไปกันหมดแล้ว “สิบ่อแต่งได้จั่งได๋ เขาอุ้มมึงปานนั้น เสียหายเหมิด ไผสิอยากมาแต่งนำมึงล่ะบาดนี่” (จะไม่แต่งได้ยังไง เขาอุ้มมึงขนาดนั้น เสียหายหมด ใครเขาจะอยากมาแต่งด้วยล่ะทีนี้) ดูแม่ของเธอเริ่มมีอารมณ์โกรธคุกรุ่นขึ้นมา “ก็อุ้มเพื่อช่วยชีวิตปะ ใคร ๆ เขาก็ทำกันไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย ใครไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่งสิแม่ ไม่เห็นจะยากเลย” “บ่อได้! ภายในสองเดือนนี้มึงต้องแต่งกับบักกันให้ได้ ถ้าบ่อแต่งมันสิผิดประเพณี จั่งได๋เพิ่นกะมาสู่ขอมึงแล้ว กะส่ำมึงเป็นของเขาเคิ่งนึง” (ไม่ได้! ภายในสองเดือนนี้มึงต้องแต่งกับไอ้กันให้ได้ ถ้าไม่แต่งมันจะผิดประเพณี ยังไงเขาก็มาสู่ขอมึงแล้ว ก็เท่ากับมึงเป็นของเขาครึ่งหนึ่ง) “แม่คะแต่หนูไม่ได้รักไอ้คุณกันนั่นนี่คะ และเขาก็ไม่ได้รักหนูด้วย” “ฮักบ่อฮักอยู่นำกันไปมันกะฮักคือเก่า เบิ่งตะกูกับพ่อมึงกะบ่อได้ฮักกันตะแรก กะยังอยู่นำกันได้จนมาฮอดซุมื้อนี้” (รักไม่รักอยู่ด้วยกันไปมันก็รักเหมือนเดิม ดูอย่างกูกับพ่อมึงก็ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก ก็ยังอยู่ด้วยกันได้จนมาถึงทุกวันนี้) “งั้นหนูขอหกเดือน?” “บ่อ” “ห้าเดือน?” “ให้แค่สามเดือน บ่อแต่งกะต้องแต่ง มึงอย่ามาเว้ายาก กูขี้ค้านเว้ากับมึง มาต่อหกต่อห้าอยู่นี่” (ให้แค่สามเดือน ไม่แต่งก็ต้องแต่ง มึงอย่ามามากความ กูขี้เกียจจะคุยกับมึง มาต่อห้าต่อหกอยู่ได้) ‘เฮ้อ! เหนื่อยใจกับแม่ในยุคนี้จัง ถ้าเป็นเหมือนแม่อรพินท์ของเธอในยุคปัจจุบันคงไม่ได้มานั่งเศร้าแบบนี้แฟนก็ไม่เคยมีจะให้แต่งงาน พระเจ้าช่วยกล้วยทอด บันเทิงล่ะงานนี้ แล้วไอ้คุณกันนั่นก็ยอมพ่อกับแม่แต่โดยดีด้วยนะ คิดแล้วมันเศร้าที่ต้องมีสามีตอนอายุสิบแปด แล้วจะต้องตกเป็นภรรยาของชายที่ตัวเองไม่ได้รักอีก’ ‘เฮ้อ! เฮ้อ! คิดแล้วอยากถอนหายใจสักล้านรอบ’ เอมอรนั่งเหม่ออยู่หน้าระเบียงตรงทางขึ้นบันไดบ้าน ตอนนี้พ่อกับแม่เข้านอนกันหมดแล้ว เหลือแค่เธอที่ยังนอนไม่หลับ เอมอรจึงแอบย่องเบามานั่งกร่อยอยู่คนเดียว “มึงบ่ออยากแต่งงานกับอ้ายกันเบาะ” (มึงไม่อยากแต่งงานกับพี่กันเหรอ) สมควรเดินเข้ามาถามพี่สาว เขาคงเห็นสีหน้าเธอเหมือนคนอมทุกข์ เอมอรลืมไปว่าน้องชายเพิ่งจะกลับจากไปจีบสาว เด็กหนุ่มวัยสิบหกก็จะประมาณนี้ กินข้าวเย็นเสร็จก็หายแวบไปบ้านผู้หญิง แต่อย่าหวังว่าจะได้ออกไปเที่ยวกันสองต่อสอง ทำได้แค่นั่งจีบกันอยู่บนเรือนฝ่ายหญิงนั่นแหละ “อือ ก็พี่ไม่ได้รักเขานี่จะให้แต่งได้ยังไง” “บ่อต้องเว้าม่วนกับกูกะได้” (ไม่ต้องพูดเพราะกับกูก็ได้) น้องชายคงไม่ชินกับน้ำเสียงและคำพูดแบบนี้ของพี่สาว แต่ทุกคนในบ้านคงเล่าเรื่องของเธอให้เขาฟังแล้ว เพราะวันที่เธอจมน้ำเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ “ก็เป็นแบบนี้แหละ จะพูดแบบนี้ และจะไม่มีวันเปลี่ยนด้วย” “แล้วแต่มึง” มันก็ต้องแล้วแต่อยู่แล้วล่ะก็เธอพูดภาษาอีสานไม่ได้จะให้ไปพูดแบบเดิมที่เอมอรเคยพูดก็เห็นจะไม่ได้แล้ว “ควรคิดว่าพี่ต้องทำยังไงดี” “กูว่ามึงเป็นอาการจั่งซี่ มึงกะต้องแต่งแล้วล่ะ อ้ายกันลาวเป็นคนดีกะด้อ” (กูว่ามึงเป็นอาการแบบนี้ มึงก็ต้องแต่งแล้วแหละ พี่กันเขาเป็นคนดีจะตาย) ‘อืม…ช่วยตูได้เยอะมากเลย! คนดีแล้วไง รักกับดีมันคนละเรื่องก๊าน!’ “ไปนอน ๆ อย่ามานั่งอยู่นี่ผู้เดียว มันเดิกแล้วมันบ่อแมนแนว” (ไปนอน ๆ อย่ามานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว มันดึกแล้วมันไม่เหมาะไม่ควร) น้องชายคงคิดว่าพี่สาวไม่เต็มบาทไปอีกคน อยู่ไปก็คงขายไม่ออก พูดจบน้องชายก็เดินเข้าห้องไป ใจเธอก็อยากจะถามต่อว่าคำสุดท้ายมันแปลว่าอะไรแต่ก็คงไม่ทันแล้ว เก็บไว้เดี๋ยวค่อยไปถามยายทีหลัง พ่อกับน้องชายมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือทั้งสองคนพูดน้อยเหมือนกันเด๊ะ วัน ๆ หนึ่งได้ยินแต่เสียงแม่อวนบ่นอยู่คนเดียว ในหนึ่งวันพ่อกับน้องชายจะคุยกับเอมอรน้อยมาก แต่พ่อก็เป็นคนที่หวงลูกสาวมากเช่นกัน ยิ่งตอนนี้เอมอรเปลี่ยนไปไม่แก่นแก้วเหมือนเดิมก็ยิ่งทั้งหวงทั้งห่วง แต่พ่อจะชอบสื่อสารผ่านแม่ไม่เคยบอกกับเธอตรง ๆ สักครั้ง สรุปน้องชายก็ไม่เข้าใจแถมยังเชียร์ให้รักกับกันอีกต่างหากไม่มีใครช่วยเธอได้ นอกจากเธอต้องช่วยตัวเอง ที่สำคัญหลังจากแต่งงานเธอต้องย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายชายอีก ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ยุคนี้เขายิ่งเรียกสรรพนามกันตามบรรดาศักดิ์ไม่เกี่ยวกับอายุมากน้อย แล้วเธอจะไปเรียกใครว่ายังไงล่ะทีนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD