“เท่าที่โรสรู้มา ผู้หญิงในสมัยรัชกาลที่หกโดยเฉพาะตอนปลาย มักไม่ค่อยนิยมเกล้าผมมวยกันแล้วค่ะ ยิ่งถ้าเป็นสาวชาววังนิยมปล่อยผมยาว ใช้ผ้าคาดหน้าผากตามแบบพระวรกัญญาไงคะ นอกจากนั้นยังเปลี่ยนจากนุ่งโจงกระเบนมาสวมซิ่นเลยเข่า แล้วสวมเสื้อยาวคลุมสะโพกอย่างพวกแหม่มแทนเสื้อกรุยกราย”
เป็นเพราะความชอบในองค์พระวรกัญญาเป็นการส่วนตัว บวกกับจินตนาการว่าตัวเองไปโลดแล่นเป็นนางเอกในหนังสือนิยาย ทำให้รสิกาพูดถึงเรื่องดังกล่าวได้อย่างคล่องปาก
“จริงสิ...แม่ก็ลืมไป” คนเป็นแม่พยักหน้าแล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “โรสรอแม่อยู่ตรงนี้ก่อนนะอย่าเพิ่งไป”
พูดจบคุณรสรินก็เดินแกมวิ่งเข้าไปในบ้าน ทำเอาคนเป็นบุตรสาวมองตามด้วยความสงสัย ส่วนกรองขวัญนั้นมองผู้เป็นเพื่อนอย่างทึ่งๆ ระคนแปลกใจ
“นอกจากแกจะหน้าตาสวยไม่ค่อยเหมือนใครแล้วยังเป็นกูรูเรื่องราวในอดีตอีกนะ พูดยังกับเคยเป็นสาวชาววังมาก่อนอย่างนั้นแหละ”
คนถูกยกให้เป็นกูรูเรื่องราวในอดีตอึ้งนิดหน่อย แต่เพราะความเป็นคนหัวไวจึงเสพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อน
“ตกลงแกชมฉันหรือที่ว่าสวยไม่เหมือนใคร”
“แล้วแกคิดว่าฉันชมหรือเปล่าล่ะ” กรองขวัญพูดพลางจ้องหน้าผู้เป็นเพื่อนเขม็ง ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งๆ ที่เจอกันแทบทุกวัน
เพื่อนของเธอคนนี้ถ้าเรียกว่าสวยคงไม่เหมาะสมเท่ากับคำว่างาม เพราะมีดวงหน้ารูปไข่ประกอบด้วยดวงตาดำใหญ่ภายใต้แพขนตางอน รับกับคิ้วเรียวที่เรียงเส้นสวยจดหางตา จมูกโด่งสวยปลายเชิดนิดหน่อยบ่งบอกว่าเป็นคนมีนิสัยไม่ยอมคน ริมฝีปากรูปกระจับสีระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี แทบไม่ต้องใช้ลิปสติกแตะแต้ม ผิวพรรณเหลืองลออที่เจ้าตัวมักจะชอบบ่นว่าตัวเองคล้ายเป็นโรคดีซ่าน ทั้งที่หลายคนต้องการผิวสีเช่นนี้
“สวยไม่เหมือนใครของแกดูเหมือนฉันจะกลายเป็นตัวประหลาดนะ” คนพูดพูดยิ้มๆ แต่คนฟังรีบพยักพเยิดทันที
“ใช่ ใช่ ตัวแกน่ะเหมาะกับคำว่าสวยประหลาดนั่นแหละ ฉันเคยได้ยินลูกค้าบอกแบบนี้เหมือนกัน...”
กรองขวัญยังพูดไม่จบคุณรสรินก็เดินแกมวิ่งกลับมาเสียก่อน พร้อมด้วยของในมือที่รสิกาเห็นแล้วถึงกับอุทานเสียงดัง “สวยจัง”
สิ่งของที่มารดาถือมาเป็นหวีสับ ซึ่งทำจากมุกน้ำงามสลับกับเพชรส่องประกายวิบวับ บอกถึงความเลอค่าได้เป็นอย่างดี
“โรสไม่ยักรู้ว่าแม่มีของแบบนี้ด้วย อย่าบอกนะคะว่าเป็นของเก่าของคุณยายทวด”
“ใช่จ้ะ เป็นของเก่าที่ตกทอดมาจากคุณยายทวดจ้ะ แม่เก็บไว้นานแล้วไม่กล้าเอาออกมาใช้ ถ้าเกิดทำหล่นหายละเสียดายแย่เลย ของเก่าหาไม่ได้อีกแล้ว โรสดูแลดีๆ นะลูก” พูดพลางก็นำหวีดังกล่าวเสียบฉับไปที่ผมด้านหน้าของบุตรสาวแล้วเอียงซ้ายขวามอง
“ดีแล้วค่ะคุณแม่ เข้ากันกับสร้อยมุกที่ยายโรสใส่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จะว่าไปแล้วหน้าตาของยายโรสก็ไม่เหมาะกับการเกล้ามวยจริงๆ” กรองขวัญออกความเห็น
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ โรสจะดูแลรักษาและสมบัติตกทอดของคุณยายทวดของแม่เท่าชีวิตเลยค่ะ” รสิการับปากมารดาเสียงใสแล้วจึงหันไปทางเพื่อน “เรารีบไปกันเถอะ ถึงแกจะบอกว่ามอบทุกอย่างให้ทางเจ้าสาวจัดการ แต่แกก็ไม่ควรไปพร้อมกับแขกทั่วไปนะยายขวัญ”
พูดจบก็เดินนำไปยังรถสปอร์ตคันงาม เจ้าของรถจึงต้องรีบเดินตามไปโดยเร็ว
“แกขับรถไหวหรือเปล่า ฉันรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย เป็นเพราะฟังเรื่องเมื่อกี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ชีวิตจริงนี่มันยิ่งกว่านิยายอีกนะ” กรองขวัญพูดพร้อมกับส่งกุญแจรถให้อีกฝ่าย
“ฉันเจ็บสะโพกไม่ได้เจ็บขาหรือแขน ขับได้สบายมาก แต่แกห้ามมาด่าฉันทีหลังนะ” รสิกาพูดพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ถ้าเราแต่งตัวแบบนี้ไปเดินตามท้องถนนคนก็คงนึกว่าเราหลุดมาจากโรงพยาบาลบ้าแน่ว่ะ จริงไหมวะไอ้ภาม” กรวิชญ์พูดออกมา ขณะก้มลงมองชุดโจงกระเบนสีเขียวอมฟ้ากับเสื้อราชประแตนสีขาว กระดุมทองห้าเม็ด
“อืม” ภีมวัจน์พยักหน้ารับ ชายหนุ่มแต่งกายอยู่ในชุดคล้ายเพื่อนราวกับคู่แฝด เพราะว่าทั้งคู่รับหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวซึ่งเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มที่ชิงแต่งงานไปก่อน
หลังพาจากัวร์คันงามเข้าไปจอดหน้าโรงแรมดังย่านถนนวิทยุ ที่ยังพอจะเหลือที่จอดบ้างเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงสง่าของภีมวัจน์ก็ก้าวนำเพื่อนสนิทตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงที่จะต้องเดินผ่านบริเวณล็อบบีซึ่งเวลานี้โซฟาที่จัดตั้งไว้ตามมุมต่างๆ มีแขกของโรงแรมที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาตินั่งจับจองอยู่ ครั้นชายหนุ่มในชุดไทยสมัยโบราณทั้งสองคนเดินข้ามาจึงตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนทันที
“ไอ้ภาม ที่นั่งๆ อยู่นั่นคงไม่มีคนของแกอยู่ด้วยนะโว้ย” กรวิชญ์หมายถึงแซมบอดีการ์ดของผู้เป็นเพื่อนที่มักจะคอยตามติดอยู่ห่างๆ
“ไม่น่ามีเพราะฉันขอไว้แล้วว่าสองสามวันนี้ไม่ต้องตาม”
ภีมวัจน์ตอบแต่ก็อดกวาดสายตามองหาคนที่ถูกพูดถึงไม่ได้ เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมักจะคอยตามติดเขาอยู่เสมอ ดีหน่อยที่เจ้าตัวคอยตามห่างๆ ไม่ได้เอิกเกริกเหมือนพวกลูกนักการเมืองบางคนที่เวลาไปไหนก็มีคนห้อมล้อม