คุณหนูตกอับ (100%)

1936 Words
จันทร์เจ้าพาร่างระหงในชุดเดรสสีขาวสั้นเหนือหัวเข่าลงมาจากบันไดด้วยทวงท่าสง่างามราวกับนางแบบที่เดินอยู่บนแคทวอล์ค ผมยาวสลวยถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่าย ขับเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ่มบนใบหน้างดงามโดดเด่นน่ามองจนคนที่เดินเข้ามาภายในห้องโถงกว้างต้องหยุดเดินแล้วมองเธออย่างชื่นชม “สวัสดีครับน้องจันทร์” เสียงทุ้มนุ่มของทนายความหนุ่มหล่อหน้าคมประจำตระกูลเอ่ยทักสาวสวยทันทีที่อีกฝ่ายเดินลงมาสุดบันได สร้างความแปลกใจให้กับคนโดนทักเล็กน้อย “อ้าว…พี่ศรุต มาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ” “พี่ได้รับการติดต่อมาจากคุณอาวาสนาเมื่อคืน บอกให้พี่มาทำเรื่องโอนย้ายบริษัทให้เป็นของน้องจันทร์” คำบอกเล่าของศรุตทำให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ พลางคิดถึงเรื่องที่เธอได้ร้องขอกับมาเฟียหนุ่มเมื่อวาน ซึ่งเธอไม่คิดว่าเขาจะดำเนินการได้รวดเร็วขนาดนี้ “ทำไมถึงเร็วจัง ไหนบอกว่าสองวันไง” จันทร์เจ้าเผลอพึมพำถามตัวเองเบาๆ “น้องจันทร์ว่าอะไรนะครับ พี่ได้ยินไม่ถนัด” “เปล่าค่ะ จันทร์แค่สงสัยว่าทำไมคุณอาถึงได้ยอมโอนบริษัทให้กับจันทร์ง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาสชัดเจนว่าจะถือครองหุ้นแต่เพียงผู้เดียว” จันทร์เจ้าปฏิเสธ พร้อมทั้งให้เหตุผลกับอีกฝ่าย ทั้งที่พอจะทราบว่า ที่วาสนายอมคืนบริษัทให้ง่ายๆ นั้นเกิดจากอะไร “นั่นนะสิครับ พี่เองก็ยังสงสัยอยู่” ศรุตเอ่ย ทั้งสองคนเดินมานั่งลงบนโซฟารับแขกตัวใหญ่กลางห้องโถงคนละตัว ก่อนที่จันทร์เจ้าจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “แต่ช่างเถอะค่ะ ว่าแต่คุณอานัดเราที่ไหนคะ” “ที่นี่ครับ เดี๋ยวสักพักก็คงจะมา” “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นระหว่างรอพี่ศรุตจะรับอาหารเช้าก่อนไหมคะ มาแต่เช้าแบบนี้คงยังไม่ได้ทานอะไรมา” หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เป็นการรับทราบ ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเนื่องจากศรุตเป็นอดีตลูกชายทนายความประจำตระกูล สมัยเด็กๆ ก็ชอบตามบิดามาเล่นที่คฤหาสน์แห่งนี้อยู่บ่อยๆ จึงทำให้ทั้งสองสนิทสนมกัน และคอยดูแลกันแบบพี่น้องตั้งแต่นั้นมา “พี่อยากทานแพนเค้กฝีมือน้องจันทร์จะได้หรือเปล่าละครับ” “ได้สิคะ งั้นรอสักครู่นะคะเดี๋ยวจันทร์ไปทำให้” จันทร์เจ้าไม่ปฏิเสธ แต่กลับตอบไปด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงเต็มอกเต็มใจ “ให้พี่ไปช่วยไหม จะได้เสร็จไวไว” “อย่าดีกว่าค่ะ พี่ศรุตอยู่เตรียมเอกสารดีกว่า แพนเค้กใช้เวลาไม่นานก็คงเสร็จ” จันทร์เจ้าปฏิเสธรับความช่วยเหลือ เพราะเห็นว่าการทำแพนเค้กนั้นไม่ได้หนักหนาอะไร และอีกอย่างเธอก็มีแม่ครัวคอยช่วยอยู่แล้ว ศรุตเองก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ เลยพยักหน้าให้กับเธอเบาๆ “งั้นตามใจครับ” ศรุตบอกพลางก้มมองเอกสารกองโตบนโต๊ะเตี้ยๆ ตรงหน้าที่ตัวเองเป็นคนหอบมาเอง ส่วนจันทร์เจ้าก็ลุกขึ้นยืนหมุนตัวเดินไปที่ห้องครัว เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เดินกลับมาพร้อมแพนเค้กและกาแฟกลิ่นหอมยั่วล้ำลาย “พี่ศรุตทานอาหารก่อนนะคะ” เสียงหวานบอก พร้อมกับวางถาดอาหารลงบนต๊ะ “ขอบคุณครับกล่าวขอบคุณเสร็จก็ไม่รอช้าที่จะจัดการกับอาหารตรงหน้าทันที “ฝีมือน้องจันทร์อร่อยไม่เปลี่ยนเลยนะ” “พี่ศรุตอย่ามาปากหวานหน่อยเลย จันทร์รู้หรอกว่ายังไงฝีมือจันทร์ก็สู้พี่ดารินไม่ติด” ทันที่ทีจันทร์เจ้าเอ่ยถึงชื่อคนรักสาวของเขา ทนายความหนุ่มก็หุบยิ้มพลางรวบช้อนวางอย่างหมดอารมณ์ทานต่อ “พูดถึงเขาทำไม” ศรุตถามด้วยน้ำเสียงตึงเล็กน้อย ทำให้หญิงสาวรับรู้ถึงความผิดปกติของทั้งสองคน “พี่ศรุตกับพี่ดารินกำลังมีปัญหากันเหรอคะ” “ก็ไม่เชิง” “มีปัญหาอะไรก็รีบเคลียร์กันนะคะ ไม่งั้นจะไปกันใหญ่” “พูดอย่างกับเคยมีแฟนงั้นแหละ” ศรุตย้อนด้วยน้ำเสียงประชดประชัน เพราะคนที่กำลังให้คำปรึกษาอยู่นั้นยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนนั่นเอง “ถึงจันทร์ไม่เคยมีแฟน แต่ก็คิดว่าหากมีปัญหาก็ต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่อง เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายค่ะ” “รายนั้นไม่ชอบเคลียร์ แต่ชอบเงียบจันทร์ก็รู้” จันทร์เจ้าไม่ปฏิเสธว่ารู้จักกับดาริน เพราะอีกฝ่ายเป็นสาวรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย เป็นพี่รหัสที่สวย เรียบร้อยและใจดี และที่สำคัญเธอเป็นคนแนะนำให้ศรุตได้รู้จักกับดาริน จากนั้นก็คอยเป็นตัวกลางสื่อรักระหว่างทั้งสองกระทั่งรุ่นพี่ทั้งสองคนตกลงคบกันเป็นแฟน “พี่ศรุตก็ต้องใจเย็นหน่อยสิคะ ผู้หญิงเราบางทีก็ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบนะ ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียวก็ไม่ได้หรอก” จันทร์เจ้าพยายามเอาใจช่วย เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องทะเลาะกัน เนื่องจากศรุตเป็นคนใจร้อนราวกับไฟ ตรงกันข้ามกับดารินที่มักจะใจเย็นเป็นน้ำเสมอ ศรุตที่กำลังจะโต้แย้งหญิงสาว แต่พอเห็นร่างผอมบางของหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาในคฤหาสน์เขาก็ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “คุณอาวาสนามาแล้ว พี่ว่าเราเข้าเรื่องโอนบริษัทกันเลยดีกว่า” “ค่ะ” “สวีสดีครับ” ศรุตยกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทาย ต่างจากจันทร์เจ้าที่ยกมือไหว้ผู้เป็นอาตามมารยาทแต่ไม่ได้เอ่ยทักทายแต่อย่างใด วาสนาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร กลับทำหน้าเชิดเดินมาหย่อนสะโพกลงบนโซฟาอีกตัวพร้อมส่งซองเอกสารให้กับทนายความหนุ่ม “วัสดีตารุต นี่เป็นเอกสารที่อาเซ็นไว้หมดแล้ว ลองดูเอาเองถ้ามีอันไหนยังไม่ครบถ้วนก็บอก อาจะได้รีบๆ เคลียร์ให้มันจบๆ วันนี้เลย” ท่าทางเชิดๆ และน้ำเสียงหยิ่งผยองตามแบบฉบับของผู้เป็นอานั้นสะกิดใจจันทร์เจ้าอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรตอนนี้เพื่อรอให้ศรุตตรวจสอบเอกสารให้เรียบร้อยเสียก่อน “เรียบร้อยครับ ส่วนที่เหลือจันทร์ก็เซ็นตามนี้นะ” ศรุตว่าพลางเลื่อนเอกสารสองฉบับมาตรงหน้าหญิงสาว เพื่อให้เธอเซ็นลายมือชื่อรับโอนหุ้นทั้งหมดจากผู้เป็นอา มือเล็กตวัดปากกาลงบนกระดาษทั้งสองใบโดยไม่คิดจะอ่านทบทวนอีกรอบ เนื่องจากเชื่อใจทนายความหนุ่มเพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยทำหน้าที่บกพร่องมาก่อน อีกทั้งศรุตยังเป็นพี่ชายที่แสนดีคอยปกป้องน้องสาวอย่างเธอตลอดเวลาถือได้ว่าทนายประจำตระกูลคนนี้สามารถไว้ใจได้ไม่ต่างจากบิดาของเขาที่เคยทำงานให้ตระกูล “จันทร์ขอถามอะไรคุณอาหน่อยได้ไหมคะ” หลังจากเซ็นเอกสารเรียบร้อยแล้ว จันทร์เจ้าก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจกับผู้เป็นอา “อยากจะคุยกับฉันด้วยเหรอ นึกว่าจะเอาแต่นั่งเชิดเงียบปากเสียอีก” วาสนากล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชันหลานสาวเล็กน้อย “จันทร์ไม่อยากชวนทะเลาะ แต่แค่จะถามดีๆ” “ก็ว่ามาสิ อยากถามอะไรก็ถามมา” ถึงแม้จะไม่อยากเสวนาอะไรกับหญิงสาวมาก แต่ก็ไม่ได้ใจจืดใจดำเมินความสงสัยของเธอได้ แต่คำถามของเธอก็จี้ใจดำนางเสียเหลือเกิน “ทำไมคุณอาถึงได้ยอมโอนบริษัทให้จันทร์ง่ายๆ แบบนี้ละคะ” จันทร์เจ้าเชื่อว่าคนเห็นแก่เงินอย่างวาสนาไม่ยอมคืนบริษัทให้กับเธอง่ายๆ แน่ หากไม่มีข้อต่อรองที่สมเหตุสมผล “บริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องหลายปีและกำลังจะล้มละลาย ฉันจะเอาไว้ทำไม คิดว่าฉันอยากจะได้นักเหรอไอ้บริษัทแฮงซวยเนี่ย!” วาสนาสวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็ง ไม่ยอมตอบคำถามตรงประเด็น จนจันทร์เจ้าต้องถามออกไปตรงๆ “เขาให้คุณอาเท่าไหร่คะ?” “พูดเรื่องอะไร นางจันทร์!” “จันทร์รู้นะคะว่าอาไม่ได้คิดจะยกบริษัทคืนให้จันทร์ง่ายๆ แต่มีคนซื้อมันคืนให้กับจันทร์ เขาให้คุณอาเท่าไหร่คะ” คราวนี้จันทร์เจ้าถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแข็งเช่นกัน เพราะเธอเชื่อว่าวาสนาต้องได้อะไรตอบแทนจากคนที่ต่อรองซื้อขายบริษัทอยู่ไม่น้อย ไม่งั้นคนอย่างนางไม่มีทางรีบโอนทุกอย่างให้เธอแบบนี้ เมื่อถูกต้อนให้จนมุม วาสนาก็ไม่มีอะไรที่จะปิดบางอีกต่อไป นางเชิดหน้ามองหลานสาวด้วยความหมั่นไส้ปนอิจฉาที่เจ้าหล่อนมีวาสนาดี ได้เกิดบนกองเงินทองไม่มีวันตกอับง่ายๆ ถึงแม้จะสิ้นบิดาคอยดูแลแต่ก็ยังมีคนรับช่วงต่อ ไม่ให้เธอต้องตกทุกข์ได้ยาก “ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าแกมีผัวรวย ถ้ารู้ว่าผัวแกจะยอมจ่ายหนักขนาดนี้ฉันจะเรียกสักสองสามพันล้านเอาไปเปิดบริษัทใหม่ เสียดายที่ขอไปแค่พันล้าน” วาสนายอมรับตรงๆ ว่ารู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย เพราะวันที่นางได้รับการติดต่อขอซื้อบริษัทก็ไม่คิดว่าจะมีใครตีมูลค่าของบริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องและกำลังจะล้มละลายได้มากถึงเพียงนี้ “พันล้าน!” จันทร์เจ้าหลุดอุทานเสียงดังลั่นอย่างคาดไม่ถึง เนื่องจากเธอเข้าใจว่าไรอันจะใช้วิธีข่มขู่อาสาวให้กลัวตามวิถีมาเฟีย แต่ไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีสันติยอมทุ่มพันล้านเพื่อได้บริษัทคืน “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว” เมื่อเห็นว่าได้ตอบคำถามหลานสาวไปหมดแล้ว วาสนาก็ขอตัวลา พลางลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถงไปทันที ทว่าทนายความหนุ่มที่ได้ฟังสองอาหลานโต้ตอบกันมาพักใหญ่ต้องหันมาถามหญิงสาวด้วยความสงสัย “คนที่คุณอาและน้องจันทร์พูดถึงเมื่อครู่เป็นใครกันครับ” “เป็นคนที่จะช่วยให้จันทร์ได้ทุกอย่างคืนค่ะ พี่ศรุตไม่ต้องถามอะไรจันทร์มากนะคะ เพราะตอนนี้จันทร์ยังไม่พร้อมจะตอบคำถามพี่” หญิงสาวบอก พร้อมกับขอร้องอีกฝ่ายไว้ และดูเหมือนศรุตจะเข้าใจความอึดอัดนั้นดี เลยไม่คิดจะเซ้าซี้ถามอะไรต่อให้รำคาญใจ “ก็ได้ พี่ไม่ถามก็ได้ ไว้จันทร์อยากเล่าให้พี่ฟังเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกันนะ” “ขอบคุณพี่ศรุตที่เข้าใจจันทร์นะคะ” เสียงหวานกล่าวขอบคุณจากใจจริง ก่อนที่ศรุตจะถอนหายใจออกมายาวๆ จ้องดวงตาคู่สวยนิ่งเพื่อถ่ายทอดกำลังใจให้กับเธอ เขารู้ดีว่าตอนนี้จันทร์เจ้ากำลังเผชิญกับปัญหามากมายหลังจากที่สูญเสียบิดาไป โดยเฉพาะปัญหาในการสู้รบปรบมือกับอาๆ ทั้งหลาย ซึ่งเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายและอยู่เป็นพี่ชายที่แสนดีในยามที่เธอต้องการเท่านั้นเอง “จันทร์ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดเวลา” “ค่ะพี่ศรุต” “งั้นวันนี้พี่ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ” “ค่ะ สวัสดีค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD