ญานินพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเดินลงมาที่บาร์ของทางโรงแรม เธอใช้เวลาร้องไห้อยู่ในห้องราว ๆ ชั่วโมงกว่าได้ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้ เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแออย่างที่เป็นตอนนี้มาก่อน
เธอจึงตัดสินใจได้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องนี้ดี...
“แมร์โลขวดหนึ่งค่ะ” เธอเอ่ยสั่งบาเทนเดอร์เป็นภาษาอังกฤษก่อนจะได้รับสิ่งที่ร้องขอมาเป็นไวน์แดงรสชาติที่เธอชื่นชอบ
ญานินพาร่างของตัวเองเลือกไปนั่งที่มุมสงบภายในบาร์ เสียงเพลงภาษาอังกฤษที่คลอเคล้ากับการดื่มไวน์แดงเพื่อดับความทุกข์ของเธอมันกำลังไปได้ดี เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อทำงาน เพราะใจมันกลับคิดถึงแต่ใครอีกคนที่ป่านนี้จะอยู่ที่ไหนสักแห่งในโตเกียวแห่งนี้
คนในห้วงความคิดปรากฏต่อสายตาให้เธอได้พบเห็นเปรียบดั่งสังการได้ เธอมองเห็นคนที่ทำให้ใจของเธอกระวนกระวายกำลังนั่งดื่มเตกีล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าของเขาแดงกล่ำเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แต่เขาเลือกจะยกมันขึ้นดื่มต่อไปเรื่อย ๆ ไม่สนว่าตัวเองจะเมามายสักแค่ไหน
“เปมิศา” เธอเอ่ยเรียกคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา
ใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้เจอว่าเขายังอยู่ใกล้ ๆ แต่อีกใจหนึ่งกลับกังวลว่าเขาอาจจะเมาหนักมากจนไม่สามารถพูดคุยกับเธอให้รู้เรื่องได้
“หืม...” เขาเงยหน้ามองเธอก่อนจะยกยิ้มให้อย่างที่เขาชอบทำ แววตาของเขาหวานเยิ้มแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าจนเธอสัมผัสได้
“ฉันว่าเธอเมาแล้ว” เธอนั่งลงตรงข้ามกับเขา
คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมผสมกับสีหน้าไม่พอใจของคนตรงหน้า ทำให้เปมิศาได้แต่ยกยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนเด็กน้อยโดยคุณแม่ดุอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันไม่เมาหรอก เอ่อ...อาจจะมึน ๆ นิดหน่อย” เขาตอบทั้งเสียงยานคางจำให้ญานินต้องยกมือกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ
“เชฟเจคะ โอ้ว...นี่ใครกัน” เสียงของผู้มาใหม่จำให้ทั้งเธอและเขาต้องเปรยตาหันไปมองอย่างรวดเร็ว
เธอเป็นผู้หญิงผิวขาว ผมสีดำขลับ เธอเป็นคนไทยแน่ๆ เพราะเมื่อครู่เธอพูดภาษาไทย แถมหน้าตาก็ไม่ใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่อะไรออกค่อนไปทางหน้าตาดีด้วยซ้ำ
“คุณมีนคะ นี่คุณญานินค่ะ...เจ้านายของฉัน” คำแนะนำเธอกับคนตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
เขาก็พูดถูกนิว่าเธอเป็นเจ้านายของเขา แล้วจะหงุดหงิดอะไรไม่ทราบญานิน!
“ดีใจที่ได้พบนะคะคุณญานิน เชฟเจเขาน่ารักมากเลยค่ะ ติดที่ตอนมาใหม่ ๆ อาจจะตาบวมไปสักหน่อย” มีนญาดาพูดจบก็หย่อนก้นนั่งลงด้านข้างเขาในทันที ซึ่งมันเพิ่มความหงุดหงิดให้เธอมากขึ้นเป็นอีกเท่าตัว
“คืนนี้อยากจะค้างที่ห้องมีนไหมคะ?” มีนญาดาหันไปถามคนด้านข้างของเธอตาใสแจ๋ว
นั่นทำให้อารมณ์ของเธอเหมือนเข้าถึงขีดจำกัน!
“ฉันว่าไม่สะดวกที่จะให้เขาไปนอนกับคุณหรอก” เสียงเย็นยะเยือกของญานินดังขึ้นช่วยเรียกความสนใจให้แก่ทั้งสองจนต้องหันมามองเธอด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมเหรอคะ?” มีนญาดาหันมามองเธอตาใสแป๋ว มันเหมือนช่วยดึงสติของเธอให้กลับคืนมา
“คือ...” เธอพยายามคิดหาข้อแก้ตัว ซึ่งเปมิศาก็มองมาที่เธออย่างต้องการคำตอบเช่นเดียวกัน “พรุ่งนี้เรามีงานต้องทำกันแต่เช้า หากเขาไปค้างอ้างแรมที่ไหน เกรงว่าจะมาไม่ทัน” เธอบอกเหตุผลที่ตัวเองพึ่งคิดได้สด ๆ ร้อน ๆ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันเป็นคนตื่นเช้าโดยปรกติอยู่แล้ว” และคำตอบที่ได้กลับมาจากคนร่างสูงทำให้เธอได้แต่ขบกรามแน่น พยายามข่มอารมณ์ความไม่พอใจของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด
“งั้นแปลว่า เซฟเจจะไปนอนกับมีนใช่ไหมคะ?” มีนญาดาหันไปหาคนข้างตัวก่อนจะยกยิ้มให้อย่างน่ารักและเปมิศาเองก็ยิ้มตอบเธอเช่นเดียวกัน
“ไม่ได้! ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” เสียงแข็งกระด้างอย่างคุมมันไว้ไม่อยู่ของญานินดึงความสนใจของคนทั้งสองให้หันกลับไปสนใจเธออีกครั้ง
เปมิศาไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะเอายังไงกับเขากันแน่ เขาไม่อยากเจ็บอีกแล้ว เขาพาตัวเองออกมาจากจุดนั้นเพื่อจะให้ตัวเองได้มีจุดยืน แต่เธอกลับเดินเข้ามาขวางทางให้เขาไม่ได้เดินหน้าต่อไป
ยอมรับเลยว่าตอนที่คุณมีนเข้ามาตอนที่เขากำลังอ่อนแอ เขาเองก็แอบใจอ่อน หล่อนยอมรับฟังเรื่องราวของเขาและให้คำปรึกษาที่ดี แต่เขาไม่ได้บอกหรอกว่าคนที่เป็นสาเหตุทำให้เขาต้องมาร้องห่มร้องไห้ให้หล่อนฟัง...คือคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเราในตอนนี้
“ไปคุยกับฉันที่ห้อง” เสียงเย็นยะเยือกนั้นคือคำสั่งให้เปมิศาต้องขอตัวและลุกตามเธอไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“คุณต้องการอะไร?” ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็เอ่ยถามเธอทันที เพราะเขาไม่เข้าใจอย่างมากว่าสิ่งที่เธอกำลังทำ มันต้องการจะปั่นหัวเขาเล่นหรือเปล่า
“ฉัน...ฉันไม่รู้” เสียงอ่อนลงของคนตรงหน้าทำให้เปมิศาต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
ปริมาณแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มไปเมื่อครู่เหมือนจะไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกแย่ ๆ ที่เขาต้องพบเจอก่อนหน้านี้มันหายไปเลย และยิ่งเธอมาทำแบบนี้อีก
“คุณกำลังทำให้ฉันสับสน”
“ฉันก็สับสน!” เธอเปล่งเสียงออกมาก่อนที่น้ำตาจะเริ่มเอ่อนองให้เปมิศาได้แต่คิดว่าเขานั้นทำอะไรให้ใบหน้าที่สวยงามของเธอต้องมีน้ำตา
“อย่าร้องไห้ได้ไหมคะ ฉันไม่อยากเห็นมัน” เขาเอ่ยขอร้องพร้อมกับดวงตาของตัวเองที่ก็เริ่มจะพร่ามัว
“ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร” เธอเริ่มพรั่งพรูออกมาส่วนเปมิศาก็ได้แต่ตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด “ฉันรู้สึกดีกับเธอ ฉันแคร์เธอ ซึ่งฉันไม่ได้อยากจะมีความรู้สึกนี้เลย” เธอยกมือปาดน้ำตาออกลวก ๆ “ไม่ใช่แค่กับเธอ...แต่ฉันไม่อยากรู้สึกแบบนี้กับใคร”
“ทำไม...”
“เพราะฉันคิดไว้แล้วว่าสิ่งนี้มันจะทำให้ฉันดูเป็นคนอ่อนแอ!” เธอว่าจบก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
เปมิศาที่เริ่มจะเข้าใจคนตรงหน้า เขาจึงเดินเข้าไปโอบกอดร่างของเธอไว้อย่างถือวิสาสะ ซึ่งนั่นทำให้น้ำตาที่เธอสะสมมานานหลั่งไหลออกมาอย่างห้ามมันไว้ไม่อยู่
“คุณไม่จำเป็นต้องอ่อนแอ ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่แย่”
“ฮึก...”
“ฉันอยากให้คุณเชื่อใจฉันคุณญานิน” เปมิศาผละร่างของเธอออกมาก่อนจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาแสนสวยที่เขานั้นหลงใหลมันมาโดยตลอด
แววตาของเธอนั้นวูบไหว เธอไม่ใช่คนเข้มแข็งมากเกินมนุษย์ทั่วไป เธอยังมีมุมอ่อนแอและเปราะบางทั้งยังอ่อนโยน ซึ่งเปมิศาสัมผัสมันได้จากแววตาของเธอ แววตามันไม่เคยโกหกใคร...และนั่นมันคือความจริง
“ลองดูสักครั้งไหมคะ คนเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งเสมอไปนะ” เปมิศายกมือขึ้นมาเกลี่ยแก้มใสของเธออย่างรักใคร่และเกลี่ยคราบน้ำตาออกจากพวงแก้มสวยของเธออย่างเบามือ “ร้องไห้แบบนี้ไม่สวยเลยนะคะ”
“ใครจะไปสวยสู้คุณมีนของเธอล่ะ!” เธอผลักคนตรงหน้าออกก่อนจะยกมือปาดน้ำตาตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ
ซึ่งมันสร้างรอยยิ้มให้คนที่ตัวสูงที่ยืนมองเธออยู่ แก้มแดง ๆ จากใบหน้าคมสวยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์มันทำให้อีกคนดูน่ารักขึ้นมาอย่างไรชอบกล
ความรักทำให้เขาดูน่ารักขึ้นได้ด้วยเหรอ...
“จะคิดเสียว่าคุณหึงแล้วกันนะคะคุณญานิน” เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ส่วนคนตรงหน้าของเขาได้แต่หน้ามุ่ยเพราะดันพลาดท่าให้คนเจ้าเล่ห์ไปเสียได้!
“นี่! ใครหึงย่ะ มโนเก่งจริง!” หน้ามุ่ย ๆ ของเธอมันน่ารักไม่หยอก จนเขานึกเอ็นดูคนตรงหน้าที่กำลังทำตัวเป็นเด็กน้อนแสนเอาแต่ใจ
“งั้นฉันไปนอนกับคุณ...”
“อยากตกงานก็ไปสิ... ” สิ้นคำเย็นยะเยือกนั้นเปมิศาก็ได้แต่ยิ้มแหย่ก่อนจะดึงร่างของคนตรงหน้าออกไปที่หน้าระเบียง
“แปลว่าคุณให้โอกาสฉันแล้วใช่ไหมคะ?” เขากุมมือของเธอไว้แน่นและรอฟังคำตอบจากเธอ
แต่ก็อย่างว่า... เธอปากหนักเกินกว่าที่จะพูดอะไรเลี่ยน ๆ นะ
“คิดเองสิ โตแล้ว” ญานินว่าก่อนจะเบือนหน้าหนีคนกวนประสาทที่ยิ้มมองเธอจนตาปิด
รอยยิ้มของเขาไม่ดีต่อใจเธอเลยให้ตายเถอะ!
“งั้น...ขอจูบได้ไหมคะ?”
ตึกตัก ตึกตัก
ญานินหันมามองอีกคนเตรียมพร้อมจะโวยวาย แต่แววตาของเขานั้นคาดหวังและเปล่งประกายจนเธอนึกใจอ่อน เธอจ้องมองเขาราวกับถูกมนต์สะกด ใบหน้าของเขาเลื่อนเข้ามาใกล้ จมูกของเราคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง ที่ห่างก็คงเป็นเพียงริมฝีปางบางของเราที่เขารอให้เธอเป็นคนเอ่ยอนุญาต
“ใกล้ขนาดนี้ยังกล้าถามอีกเหรอ?”
ญานินหลับตาพริ้มรอรับสัมผัสจากเขา และเมื่อได้รับคำอนุญาตมีหรือที่คนอย่างเปมิศาจะปล่อยให้เธอรอเก้อ เขาเคลื่อนริมฝีปากเข้าไปประทับลงบนริมฝีปากบางของอีกคนอย่างเสน่ห์หา รสจูบที่หวานหอมจากไวน์ราคาแพงคงไม่หวานเท่ารสจูบที่มาจากริมฝีปากสวยของคนตรงหน้า ผู้หญิงที่หลับตาพริ้มตอบรับจูบของเขาอย่างน่าเอ็นดู ผู้หญิงที่เขานั้นตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบเห็น...
ผู้หญิงที่ชื่อญานิน...