อย่าไปนะ

1413 Words
บรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัดนี้มันก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ที่เปมิศาเจอหน้าของญานินแล้ว เขาพยายามพูดคุยและทักทายเป็นปรกติที่เขานั้นเคยทำกับอีกคน แต่อีกคนเอาแต่นิ่งเงียบและเมินเฉยทำเหมือนเขาเป็นธาตุอากาศอย่างไรอย่างนั้นไป ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ข้างกันแท้ ๆ ทำไมรู้สึกเหมือนเธอช่างอยู่ไกลแสนไกลออกไปเลยล่ะ... ระยะเวลาบนเครื่องบินเกือบหกชั่วโมงนั้นไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย หลังจากที่เราลงมาจากเครื่องและมีคนของทางโรงแรมมารับ ก็ยังไร้บทสนทนาหรือคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากคนข้างตัวของเขา มันยิ่งทำให้เขาอึดอัดและรู้สึกไม่โอเค จนคิดว่าคงต้องหาทางเคลียร์ให้ได้เร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน “ฉันจะไปนอนอีกห้อง” เธอเอ่ยจบก็ลากกระเป๋าออกไปโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดที่มองเธออยู่ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เราต้องคุยกัน” เขาวิ่งมาคว้าข้อมือของอีกคนไว้และเผลอออกแรงบีบอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอก็ข่มอารมณ์ความเจ็บปวดนั้นไว้ “ปล่อย! เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน นอกจากเรื่องงาน” เธอพยายามฝืนแรงออกจากการกอบกุมของเขา แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินให้ตายเถอะ! “เราต้องคุยกันค่ะ คุณจะมาทำเมินเฉยแบบนี้ใส่ฉันไม่ได้!” เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธออย่างคนที่สุดจะทนจริง ๆ นั้นทำให้เธอเองก็เริ่มจะใจอ่อนแต่ก็ยังคงต้องวางฟอร์มไว้ “โอเค เราจะคุยกัน” เธอบิดข้อมือออกจากการกอบกุมของเขาได้สำเร็จ “แต่ไม่ใช่ตรงนี้” เธอปรายตาไปมองรอบ ๆ ก่อนจะพบว่ามีคนหลายคนกำลังจับจ้องที่เราอยู่ ซึ่งเขาเองก็หันมองไม่ต่างจากเธอ ก่อนจะผงกหัวเป็นเชิงขอโทษผู้คนในโรงแรมและเอ่ยขอโทษเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนที่ผู้คนเหล่านั้นจะเลิกสนใจแล้วเดินจากไป “ไปที่ห้องนะคะ ไปคุยกัน” เสียงของเปมิศาอ่อนลงจนเธอเองก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ แววตาของเขานั้นแสดงถึงความเศร้าออกมาอย่างไม่ปิดบัง และเธอก็ตอบรับเขาด้วยการเดินไปทางล็อบบี้ของโรงแรมเพื่อทำการเช็คอินและกลับไปที่ห้อง...ของเรา “คุณเป็นอะไรทำไมไม่คุยกับฉัน...” ทันทีที่สองร่างผ่านเข้ามาภายในห้อง คนที่ค้างคาใจอย่างเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้หนีอีกต่อไป “ฉันสบายดี แล้วเราไม่จำเป็นต้องทำความสนิทชิดเชื้อกันเกินกว่าคำว่าเจ้านายและลูกน้อง” เธอยืนกอดอกพูดเสียงเรียบที่เธอนั้นมักจะใช้โทนเสียงนี้เป็นประจำ แต่พอเห็นแววตาที่เศร้าหมองของคนตรงหน้าเธอกลับรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไรชอบกล “คุณญานินคะ?” เขาเอ่ยเรียกเธอเสียงแผ่วเบา เบาจนเธอแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ “ฉันชอบคุณ...” ประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของเขาทำให้เธอได้แต่ยืนนิ่ง ไม่กล้าขยับไปไหน เธอเคยคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้เธอ แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะมาสารภาพกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ “ฉันไม่ได้หวังอะไรเลยนะคะ ฉันแค่อยากบอกให้คุณรู้” เขาว่าทั้งยังก้มหน้าหงุดไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาของเธอ “ฉันไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้ ฉันไม่อยากให้คุณทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน” น้ำตารื้นชื้นเกาะดวงตาเขาไว้ทั้งสองข้าง แล้วมันกำลังทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะขาดใจ... “ฉันตกหลุมรักคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเจอคุณ จริง ๆ ฉันไม่ได้อยากจะบอกคุณเพราะฉันรู้ว่าเรื่องของเรามันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่พอคุณมาทำเหมือนแคร์หรือเหมือนจะไม่แคร์ ไม่เห็นฉันมีตัวตนเหมือนธาตุอากาศ มันทำให้ฉันรู้สึกจุกอกเหมือนจะหายใจไม่ออก ซึ่งฉันไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น” เขาพูดทั้งน้ำตาไหลอาบแก้มของเขาทั้งสองข้าง ญานินได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะไม่มีคำพูดใด ๆ ที่เธอคิดออกในตอนนี้ “คุณยิ้มสวยมากนะคะคุณญานิน คุณต้องยิ้มบ่อย ๆ นะคะ” เขายกยิ้มให้เธอทั้งน้ำตาก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปภายในห้องนอน ทิ้งให้ญานินได้แต่ยืนอยู่กับที่อยู่แบบนั้น ทุกเรื่องในชีวิตที่ผ่านมาของเธอ...เธอผ่านมันไปได้หมดด้วยตัวของเธอเองเสมอ เธอมักจะคิดและตัดสินใจทำมันได้ด้วยตัวของเธอเอง แต่ทำไมพอเป็นเรื่องของเขาเธอกลับลังเลและสับสน... เธอไม่เคยมีความรักและเธอก็ไม่ได้กลัวความรักเหมือนอย่างที่หลาย ๆ คนคิด เธอแค่ไม่อยากเอาตัวเองไปจมอยู่กับเรื่องราวไร้สาระที่เธอคิดว่ามันเป็นแค่นิยายน้ำเน่าเธอมักจะมองข้ามและตัดเยื้อใยกับคนที่เข้าหาเธออย่างให้เขาได้รู้ตัวในทันทีว่าเธอไม่ต้องการจะสานสัมพันธ์ แต่ทำไมตอนนี้หัวใจของเธอมันกลับปวดหนึบเมื่อมองเห็นน้ำตาจากคนที่มีรอยยิ้มให้เธอเสมอ...หรือเธอควรจะตัดสินใจใหม่กลับความรู้สึกงี่เง่าของตัวเองกันแน่นะ คนในห้องเงียบหายไปหลายชั่วโมงแล้ว เธอทำได้เพียงแต่เดินวนไปมาและเป็นกังวล เธอไม่กล้าแม้แต่จะเคาะประตูเดินเข้าไปหาเขาด้วยซ้ำ เพราะเธอมีทิฐิมากเกินกว่าจะเป็นฝ่ายเข้าหาใครก่อน ตัวเองเลยต้องมานั่งกระวนกระวายจวนจะเป็นคนบ้าอยู่เช่นนี้... แกร๊ก! เสียงเปิดประตูพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวออกมาจากห้องนั้นสภาพดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ดวงตาของเขาบวมช้ำจนเธอได้แต่มองอย่างเป็นกังวลปนความรู้สึกห่วงใยที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในก้นบึ้งของหัวใจ “ตาเธอบวม” ญานินชี้ไปที่ดวงตาของเขา ซึ่งเขาก็ได้เพียงแค่เปรยตามามองเธอและกลับไปก้มหน้าก้มตาไว้อย่างเดิม “ค่ะ ฉันทราบ” เขาว่าจบก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง มันยิ่งทำให้ญานินกระวนกระวายเข้าไปใหญ่ “จะ จะไปไหน?” น้ำเสียงโทนอ่อนลงถูกเปล่งออกมาจากปากของคนปากแข็งอย่างญานิน และเปมิศาก็หันหน้ามาหาเธอก่อนที่เธอจะเห็นดวงตาสวยของคนตรงหน้ากำลังมีน้ำตาเอ่อนองอีกครั้ง เธอไม่ชอบมันเลยจริง ๆ ... “ฉันจะไปนอนห้องอื่น คุณคงไม่สะดวกใจจะนอนกับคนคิดไม่ซื่อแบบฉัน” เขาว่าก่อนจะพยายามเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะมือของใครบางคนมาฉุดรั้งเอาไว้ “อย่าไปนะ...” เสียงอ้อนวอนเชิงขอร้องนั้นทำเอาเปมิศาใจอ่อนยวบยาบ เธอกำลังเล่นสนุกหรือเธอกำลังปั่นหัวเขากันแน่? “หากคุณไม่ได้คิดอะไร ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ” เสียงสั่นครือของคนที่หันหลังให้เธอนั้นทำเอาเธอแทบใจสลาย หัวใจของเธอปวดหนึบไปหมด เธอแคร์เขามากเธอรู้ตัวเองดีแต่เธอจะไม่มีวันพูดคำนั้นออกไป...ไม่มีวันเด็ดขาด “ฉัน…” “ปล่อยฉันเถอะค่ะ!” เสียงตะคอกจากคนด้านหน้าทำเอาเธอสะดุ้งโหยง เธอเริ่มรู้สึกว่าขอบตาของเธอร้อนผ่าวๆ และน้ำตากำลังบดบังสิ่งตรงหน้าให้พร่ามัว “ฉันเจ็บเกินจะทนไหวแล้ว...” สิ้นคำนั้นเขาก็เดินออกห่างจากเธอไป เหลือเพียงร่างกายของเธอที่ทรุดลงอยู่ที่หน้าประตู น้ำตาเอ่อนองและไหลอาบแก้มของเธอเหมือนคนอ่อนแอที่พ่อของเธอไม่เคยสอนให้เธอเป็น เขามีอิทธิพลต่อเธอมากและเธอเองก็แคร์เขามากไม่ต่างกัน เธอเองก็รู้สึกดีกับเขา แต่ทำไมปากมันหนักเกินกว่าจะพูดคำนั้นออกไป...  อย่าหายไปจากชีวิตของฉันเลยนะเปมิศา...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD