แต่นั่นแหละ ได้เงินมาเท่าไหร่ก็โดนรีดไถไปจนหมด เธอไม่ให้ก็โดนมารดาด่ากราดจนอับอาย
ซึ่งน้ำ¬รินรู้ข้อนี้ดี...
“เป็นอะไร ไหนบอกมาสิ”
“เอ่อ...” สารภีอึกอัก น้ำ¬รินเข้าใจว่าเพราะกริชอยู่ด้วย เธอเลยหันมาจับมือเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเบาะด้านหลัง
“เอาไว้ค่อยคุยกันนะ” พอถึงบ้านน้ำ¬รินก็หาห้องพักให้สารภี เอ่ยถามอะไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปริปากบอก สารภีไม่เคยด่าว่าบิดามารดาให้ใครฟังเพราะอาย น้ำ¬รินรู้ข้อนี้ดีจึงให้แม่บ้านหาข้าวหาปลาให้กิน และหาเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยนหลังจากอาบน้ำ
“ขอบคุณคุณน้ำมากนะคะ” สารภียกมือไหว้น้ำ¬รินขอบคุณอีกฝ่ายจากใจ
“นอนหลับให้สบายนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะชวนเข้าเมืองแต่เช้า”
“ไปทำไมคะ”
“ไปซื้อของจ้ะ หาคนช่วยถือของอยู่พอดี” น้ำ¬รินพูดยิ้ม ๆ สารภีรีบพยักหน้ารับในทันที อย่างน้อยก็ได้ค่าขนม
พอเจ้านายสาวออกไปแล้ว สารภีก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง เธอร้องไห้เบา ๆ สะอื้นฮัก ๆ กอดตัวเองด้วยความหนาวเหน็บในจิตใจ
รู้สึกอ่อนล้าไร้ค่า รู้สึกถึงการไร้ตัวตน หลายครั้งที่เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
ความเงียบเหงาในหัวใจทำให้สารภีรู้สึกเหว่ว้าอย่างบอกไม่ถูก ก้อนความขมขื่นแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย ไม่รู้ว่าอนาคตเธอจะเป็นเช่นไร มันมืดมนไร้จุดหมายเสียเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเช่นนี้ รู้สึกเหมือนโดนเข็มนับพันทิ่มตำจนเป็นแผลเหวอะหวะเมื่อคิดถึงสิงห์
เธอจะไปคิดถึงผู้ชายใจร้ายคนนั้นทำไมกัน!
บิดามารดาก็คงเหมือนเดิมไม่เคยสนใจไยดีว่าเธอจะไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหน จะไปทำอะไร เจอหน้ากันก็ขอเงินเพียงอย่างเดียว
ส่วนสิงห์... เขาคงกำลังโกรธเธอที่เธอไปทำร้ายเพื่อนของเขา
แค่คิดถึงสิงห์หัวใจก็เจ็บแปลบหนักกว่าเดิม คนไร้ค่าอย่างเธอไม่ควรที่จะเสนอหน้าไปตอแยอะไรเขาอีก
สารภีนอนเอามือเกยหน้าผากขบคิดเรื่องราวมากมายให้วุ่นไปหมด
เธอต้องเข้มแข็ง ต้องยิ้ม อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังเศร้า ไม่อย่างนั้นก็จะมีคนเห็นเธออ่อนแอแล้วอยากซ้ำเติม เธอเอากำแพงที่ก่อขึ้นมาปิดบังปมด้อยในชีวิตเรื่อยมา เธอไม่อยากให้ใครมาสมเพชเวทนา
สารภีตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าอิดโรย แต่เธอก็กุลีกุจอไปช่วยงานในบ้านและคุยจ้อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
น้ำ¬รินเห็นดังนั้นก็ไม่ถามไถ่อะไรอีก เพราะปกติสารภีเป็นเด็กที่พูดเยอะและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นอยู่แล้ว
“ไปในเมืองกันกล้วย ฉันจะไปรับชุดที่สั่งตัดเอาไว้”
“ค่ะ เดี๋ยวกล้วยไปช่วยถือของ” สารภีรู้ดีว่าจะได้ค่าขนมจากน้ำ¬รินอีกไม่มากก็น้อย ดีกว่าไปทำงานในไร่เพราะทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ใช่ว่าเธอจะไม่สู้งาน แต่งานในไร่ก็มีคนงานอยู่แล้ว เธอไม่ได้มีหน้าที่อะไร ส่วนใหญ่ก็ช่วยบ้านใหญ่รับใช้ทั่วไปแล้วแต่เจ้านายจะเรียกใช้
“น้าสิงห์มาพอดีเลย วันนี้พี่กริชไม่ว่างเลยให้น้าสิงห์ขับรถไปให้” น้ำ¬รินพูดขึ้นเมื่อเห็นสิงห์เดินมาแต่ไกล สิงห์เป็นหัวหน้าคนงานที่เธอสนิทสนมด้วยเพราะเป็นคนที่สามีไว้ใจมากที่สุด
สารภีตัวแข็งทื่อ ตัวชาไปหมด เธออยากวิ่งหนีแต่ก้าวขาไม่ออก
น้ำ¬รินรู้ความสัมพันธ์ของสิงห์กับสารภีดี และคนในไร่เองก็รู้ แต่ที่ไม่รู้คือสิงห์คิดอย่างไรกับเด็กสาวกันแน่หรือแค่จะหลอกเล่นไปเรื่อยเท่านั้น ความสัมพันธ์ของสิงห์กับสารภีจึงดูอึมครึมในความรู้สึกของน้ำ¬ริน
สิงห์ชะงักเมื่อเห็นเด็กสาว เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สารภีชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวกล้วยไปนั่งรอบนรถนะคะคุณน้ำ” พูดจบสารภีก็รีบหนี เธอกลัวสิงห์ด่าเธอเรื่องเมื่อคืน เด็กสาวหนีไปนั่งด้านหลังสุด หลบฉากไม่กล้ามองสบตาใคร
น้ำ¬รินนึกสงสัยไม่น้อยปกติสารภีจะชอบไปนั่งหน้ากับสิงห์เพื่อคุยจ้อกับหัวหน้าคนงานของเธอ
น้ำ¬รินขึ้นไปนั่งเงียบ ๆ ในหัวขบคิดเรื่องของคนทั้งสอง สิงห์เห็นดังนั้นก็ขึ้นไปสตาร์ตรถ ก่อนจะขับออกจากบ้านไป
สารภีนั่งมองมือตัวเองนิ่ง จิตใจล่องลอยไปไกล รู้สึกเจ็บหน่วงวูบโหวงในอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
บางทีการทำตัวสดใสร่าเริงเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตก็ทำให้เธอเหนื่อย
เธออยากร้องไห้ อยากหนีไปไกล ๆ อยากบอกว่าเจ็บ อยากบอกว่าปวด อยากบอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่พูดแต่ว่าไม่เป็นอะไรอยู่แบบนี้
“กล้วย กล้วยจ๊ะ”
“คะคุณน้ำ” สารภีสะดุ้งรีบเงยหน้าขึ้นมอง
“เป็นอะไรจ๊ะ นั่งใจลอยไปไหน ฉันเรียกไม่ได้ยิน”
“ขอโทษค่ะ” สารภีรีบลุกจากเบาะรถลงมาจากรถทันที เธอไม่กล้ามองหน้าสิงห์ มองแค่น้ำ¬รินเท่านั้น
“น้าสิงห์เอารถไปจอดก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวน้ำซื้อของเสร็จจะโทรหา”
“ครับ” สิงห์รับคำ สารภีได้ยินน้ำเสียงอ่อนน้อมของเขา แต่เธอไม่กล้ามองหน้าหรือสบตาเขา พอน้ำ¬รินบอกว่าจะเข้าไปดูชุดที่ร้านตัดเสื้อเธอก็รีบจ้ำอ้าวเดินตามเจ้านายสาวไปในทันที
สารภีมองเสื้อผ้าสวย ๆ มากมายอย่างตื่นตาตื่นใจ เธอสัมผัสแล้วนึกฝันว่าสักวันต้องมีร้านตัดเสื้อเป็นของตัวเอง แค่ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ ก็ยังดี มันเป็นอาชีพที่เธอใฝ่ฝัน
สักวันเธอต้องทำให้ได้ เธอเรียนไม่เก่ง หัวไม่ดีเรื่องวิชาการ แต่ถ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเธอชอบ เธออยากมีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง เกิดมาไม่เคยมีอะไรเป็นของตัวเองเลย
“ชอบเหรอจ๊ะกล้วย”
“ชอบค่ะคุณน้ำ กล้วยอยากเป็นช่างตัดเสื้อจัง” สารภีสัมผัสเสื้อผ้าพวกนั้นด้วยความสุข
“อยากเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าเหรอ”
“ค่ะ”
“แล้วทำไมไม่เรียนล่ะ”
“กล้วยไม่มีเงินหรอกค่ะ” คนพูดก้มงุดสีหน้าเศร้า เผลอจิกมือกับกางเกงยีนเก่า ๆ ของตัวเอง น้ำ¬รินยิ้มอย่างเอ็นดู
“ให้ยืมเงินไปเรียนเอาไหม”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ เรียนตัดเย็บเสื้อผ้าน่าจะมีสถาบันสอนอยู่ เรียนหลักสูตรระยะสั้นก็ได้ ถ้าใจรักยังไงก็ต้องทำได้”
“คุณน้ำ กล้วยขอบคุณมาก ๆ นะคะ” สารภียกมือไหว้เจ้านายสาวปลก ๆ เธอวาดฝันถึงอาชีพที่รักด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก กล้วยชอบไม่ใช่เหรอ เผื่อมันจะเป็นอาชีพให้กล้วยในอนาคตไง”
“ขอบคุณนะคะ” สารภีร้องไห้เบา ๆ น้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งใจ อย่างน้อยน้ำ¬รินก็คิดถึงอนาคตของเธอ อย่างน้อยก็มีคนห่วงเธอ
“ร้องไห้ทำไม เด็กขี้แยเอ๊ย” แม้อายุจะห่างกันไม่มากแต่น้ำ¬รินก็เอ็นดูกล้วยเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง สารภีปาดน้ำตาทิ้งยิ้มให้เจ้านายสาวอย่างขอบคุณอีกครั้ง
“เดี๋ยวฉันเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ กล้วยไปรอฉันที่รถก่อนแล้วกัน โทรบอกน้าสิงห์แล้วเห็นว่าจอดรถอยู่โซนเอ”
“กล้วยรอคุณน้ำดีกว่าค่ะ”
“แต่ของหนักนะ ฉันซื้อไปเยอะเลย กล้วยจะเมื่อยเสียเปล่าๆ”
“เดี๋ยวกล้วยหาที่นั่งหน้าห้องน้ำก็ได้ค่ะ”
“เอาอย่างนั้นเหรอ” น้ำ¬รินเอ่ยถามเด็กสาว เธอกลัวอีกฝ่ายหิ้วของหนักนั่นเอง ถ้าไปรอในรถจะได้จัดของเอาไว้ท้ายรถด้วย
“ค่ะ” สารภีไม่อยากอยู่กับสิงห์ตามลำพัง แต่น้ำ¬รินนึกแปลกใจไม่น้อย เพราะรู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน เขาก็รู้กันไปทั่วไร่ แต่ทำไมวันนี้สารภีถึงไม่คุยกับสิงห์เลย แถมยังหนีไปนั่งเสียไกล
น้ำ¬รินอยากรู้ว่าสองคนนี้มีอะไรกัน เธอเลยโทรให้สิงห์มาช่วยขนของระหว่างเข้าห้องน้ำ
สารภีนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะนั่งรอน้ำ¬รินอยู่หน้าห้องน้ำ แต่ปลายรองเท้าบูตสีน้ำตาลเข้มคุ้นเคยก็ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง
สิงห์เองก็กำลังมองเธออยู่ สีหน้าของเขาเรียบเฉยเย็นชาไม่เคยเปลี่ยน แต่ดูเหมือนเขามีอะไรจะพูดกับเธอ เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้และหนีไม่พ้นเธอเลยชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ลุงสิงห์คงอยากด่ากล้วย เพื่อนของลุงสิงห์แจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายหรือเปล่าคะ แต่ถึงแจ้งกล้วยก็ไม่มีเงินจ่ายหรอก ถ้านอนคุกก็คงได้” เธอพูดอย่างขมขื่น ก่อนจะก้มมองมือตัวเองนิ่ง