ความเดิม- "ได้ครับนาย เชิญทางนี้เลยครับ นายอั๋นกำลังเอารถมารับให้ผมมาเชิญนายไปที่รถครับ เชิญครับ" ชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมพร้อมกับเดินนำหน้า ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาถึงไร่เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่เพราะระยะทางไกลมากเกินไปนะ เพราะสาว ๆ ขอให้พลขับแวะจอดซื้อของกินตลอดทางน่ะซิ
………………………………………
@ไร่สหศิลป์ปรีชา
รถตู้คันหรูแล่นมาจอดที่เรือนไทยประยุกต์ที่จัดเป็นเรือนรับรองของแขก เปรมมนัส กานต์ธิดาและอัญญารินทร์ถูกเชื้อเชิญให้มาพักที่เรือนรับรองไว้ก่อน ส่วนกรพัฒน์-ปาริดาและปกรณ์แยกไปพบปะพูดคุยที่บ้านของปพัฒน์ลูกชายคนเล็กของครอบครัวซึ่งอยู่ถัดไปจากเรือนรับรอง
"ที่นี่อากาศสดชื่นจังเลยนะคะอานัท ต้นไม้ร่มรื่นจัง" อัญญารินทร์เอ่ยขึ้นพร้อมกับกางแขนเพื่อให้ปอดขยายสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าจนเต็มปอด
"อือ..อากาศดี ขนาดฤดูร้อนที่นี่จะร้อนมากเลยนะ แต่ในไร่นี่ต้นไม้เยอะเลยเย็นสบายดี" เปรมมนัสที่นั่งชิลล์อยู่กับโต๊ะม้าหินอ่อนเอ่ยกับหลานสาวแต่เหลือบตาไปมองคนตัวบางอยู่เป็นระยะ ๆ เพราะกลัวว่าคนตัวบางจะไม่สบายจากการเดินทาง
"ทำไมเงียบจังยัยบี เมารถเหรอ"
"คงงั้นมั๊ง เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ นั่งใต้ต้นไม้สักพักสูดอากาศบริสุทธิ์คงดีขึ้นมั๊ง" กานต์ธิดาเอ่ยยิ้ม ๆ แต่เป็นยิ้มที่ดูฝืน ๆ เต็มที
"ไม่ไหวก็อย่าฝืน มานี่ซิ๊" เปรมมนัสดึงเด็กสาวไปนั่งบนตักแล้วนวดบริเวณขมับสลับกับนวดบริเวณบ่าไหล่ไล่ลงไปที่สะบักให้เป็นการนวดบำบัดไปในตัว
"เอ่อ..ไม่เป็นไรค่ะ พักแป๊บเดียวก็หาย" กานต์ธิดาเอ่ยแย้งพร้อมกับพยายามจะลุกจากตักแกร่งแต่ถูกกดบ่าไว้มั่นจึงต้องจำยอมนั่งนิ่ง ๆ ให้คนตัวโตทำตามอำเภอใจ
"รู้สึกดีขึ้นบ้างมั๊ย หายเวียนหัวบ้างหรือยัง" เปรมมนัสโน้มตัวเข้าไปใกล้จนจะชิดติ่งหูหญิงสาวเพื่อถามไถ่อาการที่เป็นอยู่
อีกด้านของคนที่รื่นรมย์กับการสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หันมาเห็นภาพน่าหวาดเสียวพอดีจึงทำทีเดินเข้าบ้านเพื่อทำธุระส่วนตัวเสียอย่างนั้น
ว๊า..ปวดฉี่ ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมาใหม่.. ว่าแล้วหลานสาวคนสวยของคุณอาหนุ่มก็เดินเข้าบ้านไปอย่างรู้งาน
ตัดมาที่คนที่ถูกล็อคตัวไว้บนตักแกร่งได้แต่นั่งตัวเกร็งแทบไม่กล้าหายใจ
"น้ำหนักไม่ขึ้นเลยเหรอ ตอนนี้น้ำหนักเท่าไรแล้ว กินยาบำรุงบ้างหรือเปล่า ยังปวดท้องตอนมีประจำเดือนอยู่มั๊ย" เปรมมนัสยิงคำถามเป็นชุด
"สี่สิบกิโลฯ เศษ ๆ ค่ะ ขึ้นมาอีกนิดหน่อย ยาบำรุงกับยาปรับฮอร์โมนอยู่นะคะ ไม่ค่อยปวดท้องแล้วค่ะ" หญิงสาวตอบไปตามความรู้สึก
"อะไร ยาบำรุงตั้งเยอะ ได้น้ำหนักมาไม่ถึงหนึ่งกิโลฯ นี่นะ วัน ๆ กินอะไรเข้าไปบ้างเรา กินของมีประโยชน์บ้างหรือเปล่า หรือกินแต่พวกขนมกรุบกรอบหรือขนมปังที่มีแต่ยีสต์ ที่ทำให้เนื้องอกมันโตกันแน่" เปรมมนัสพูดอย่างรู้ทัน
"ไม่ค่อยกินแล้วค่ะ ยัยเอ๋ยก็คอยบ่นหนูอยู่บ่อย ๆ"
"ต้องออกกำลังกายบ้างน๊า ห้ามเครียดด้วย ความเครียดเป็นต้นน้ำของโรคหลาย ๆ โรคนะ รวมถึงโรคที่เรากำลังเป็นอยู่ด้วย แค่เรื่องเรียนก็เครียดอยู่แล้ว อย่าหาเรื่องอื่นมาใส่หัวให้มาก" เปรมมนัสพูดไปมือก็นวดบ่าไหล่ หลังคนตัวเล็กไปอย่างสนุกมือ
"เอ่อ..อานัทคะ พอแล้วค่ะ บีหายเวียนหัวแล้ว ขอไปหายัยเอ๋ยในบ้านก่อนนะคะ" คนตัวเล็กหาทางเลี่ยงจากคนตัวโตแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ทำเอาคนฟังได้แต่ยิ้มและยอมปล่อยมือในที่สุด
ตัดมาที่เปรมมนัสเมื่อคนตัวบางลุกจากตักแกร่งไปเขาจึงยกมือขึ้นประสานกันแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะแล้วสูดอากาศสดชื่นเข้าจนเต็มปอดแล้วกลั้นลมหายใจเอาไว้สักพักจึงผ่อนลมหายใจออกทางปากเป็นการผ่อนคลายอีกทางหนึ่งเป็นการกักเก็บออกซิเจนไว้ในปอดให้มากที่สุด แล้วเดินเข้าไปในเรือนรับรองเพื่อไปทำธุระส่วนตัวบ้าง
อีกด้านของผู้มาใหม่
เบียร์หรือบารมีคนสนิทของปพัฒน์น้องชายของปกรณ์เดินเข้ามาหยุดที่หน้าเรือนรับรองแล้วเอ่ยทักทายแขกที่พักที่เรือนรับรองอย่างสุภาพ
"ขออนุญาตครับ คุณปพัฒน์ให้ผมมาเชิญคุณ ๆ ไปที่บ้านพักส่วนตัวของคุณปพัฒน์เพื่อรับประทานอาหารเช้าได้แล้วครับ คุณปกรณ์ กับนายพ่อและนายแม่รออยู่ที่นั่นแล้วครับ เชิญครับ"
"ได้ซิ ขอบคุณมาก/เด็ก ๆ ไปทานข้าวกับผู้ใหญ่กัน ปะเร็ว ๆ อย่าให้ผู้ใหญ่รอนาน" เปรมมัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วหันมาสบตากับชายหนุ่มยิ้ม ๆ อย่างเป็นมิตร
"ค่า/ค่า" สองสาวประสานเสียงตอบรับคุณอาหนุ่มอย่างว่าง่าย พร้อมกับยกมือกระพุ่มไหว้ชายหนุ่มที่มาใหม่แล้วเดินตามชายหนุ่มมาเงียบ ๆ ส่วนอีกคนมองนั่นมองนี่จนสะดุดก้อนหินเกือบจะล้ม
"โอ๊ะ.." เด็กสาวพลั้งปากร้องขึ้นอย่างตกในเพราะสะดุดก้อนหินจนเสียหลักในท่าหน้าคะมำ
พรึ่บ! ชายหนุ่มที่เดินรั้งท้ายใช้ความไวเข้ารวบเอวคนตัวบางไว้ไม่ให้ล้มไปเสียก่อน
"เดินดูทางมั่งซิ หันหน้าหันหลังกลัวใครจะเอาไปขายเหรอ ไม่มีใครซื้อหรอกผอมแห้งขนาดนี้" เปรมมนัสทำทีเป็นบ่นคนที่เดินไม่ดีไปอย่างนั้นเอง ใจจริงก็อยากจะกอดปลอบเสียด้วยซ้ำเพราะรู้ว่าคนตัวบางตกใจมากจริง ๆ สังเกตได้จากอาการหน้าซีดตัวสั่น