เมื่อถึงเวลาเคลื่อนขบวนทัพ เหล่าทาสเชลยถูกผูกข้อมือและให้เดินตามท้ายขบวนอีกครั้ง
หญิงสาวเจ้าของร่างบอบบางเหมือนจะหักได้เดินโซซัดโซเซเนื่องจากไม่ได้พักผ่อน
แต่เมื่อได้เห็นทหารสังหารทาสที่หมดแรงอย่างโหดเหี้ยมแล้ว ก็ทำให้เธอต้องฝืนร่างกายเอาไว้เพราะไม่อยากตายลงที่ตรงนี้อย่างไร้ค่า
หากมีชีวิตรอดต่อไปได้ ขอแค่ได้ไปเป็นทาสในจวนใหญ่สักจวนก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อยในอาณาจักรโจว พวกทาสรับใช้ก็ยังพอมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ไม่ได้โดนกดขี่เหมือนสัตว์อย่างเช่นในนิยายเรื่องอื่น ๆ
ขบวนทัพเดินหน้ามาจนถึงป่าใหญ่ใกล้กับแม่น้ำ องค์รัชทายาทจึงสั่งให้ตั้งกระโจมที่นี่ เพราะเดินทางใกล้ถึงเขตเมืองหลวงแล้ว
ตลอดระยะเวลาสามสี่วันมานี้ พวกทาสไม่ได้รับอนุญาตให้ชำระล้างร่างกาย กลิ่นเหม็นของสิ่งปฏิกูลจึงรุนแรงมากขึ้นทุกวัน โชคดีที่จมูกของเฉินอวี้หรานไม่สามารถรับกลิ่นใด ๆ ได้เนื่องจากถูกผลักตกบันไดในครั้งเยาว์วัย ทำให้หญิงสาวไม่รังเกียจที่จะอยู่ใกล้กับเด็ก ๆ ที่มีกลิ่นแรงกว่า
“พี่สาว ข้าคิดว่าท่านควรจะพักผ่อน ดวงตาของท่านอ่อนล้าเสียยิ่งกว่าศพเดินได้เสียอีก”
ริมฝีปากบางซีดขยับยิ้ม ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงปนหยอกเย้า
“อย่างนั้นหรือ แต่ถ้าข้าหลับไปแล้ว จะไม่มีผู้ใดเล่านิทานให้พวกเจ้าฟังนะ”
“ท่านเล่าให้พวกข้าฟังหลายคืนแล้ว คืนนี้พวกข้าจะเล่าให้ท่านฟังบ้าง ดีไหม”
เฉินอวี้หรานหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะล้มตัวนอนลงอย่างคนหมดแรง
“แต่ข้าง่วงจนพวกเจ้าไม่ต้องกล่อมข้าแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านนอนเถอะ ข้าจะดูแลเด็ก ๆ แทนท่านเอง” เด็กชายที่อายุมากรองจากเธอเอ่ยอย่างห่วงใย
“ข้านอนแล้ว”
“ฮือ ๆ ๆ ๆ”
“ลากมันมาตรงนี้! ข้าจะตีตราทาส!”
เฮือก!
เฉินอวี้หรานสะดุ้งขึ้นเมื่ออยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายผสานกับเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของเด็กน้อย
ทันทีที่ลืมตาขึ้น หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน
นี่มันเรื่องอะไร!
ทำไมเด็ก ๆ ถึงได้ถูกจับขึงกับเสาเช่นนั้น!
อีกทั้งยังมีกองไฟข้าง ๆ อีก!
ดวงตากลมสีอำพันเบิกกว้างเมื่อมองเห็นแท่งเหล็กหลอมไฟอย่างชัดเจน
นั่นมันตราประทับทาสเชลย!
“พวกเจ้าจะทำอะไร!” เสียงหวานใสหวีดร้องอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นว่ามีทหารคนหนึ่งกำลังเฆี่ยนเด็กชายที่เธอฝากให้ดูแลน้อง ๆ จนเลือดอาบไปทั้งตัว
“ฮือออออ พี่สาวววว ข้ากลัวววว”
เสียงเด็กน้อยที่เหลือต่างร้องระงมเต็มไปด้วยความกลัวสุดหัวใจ ใบหน้ากลมเหล่านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาราวกับตกอยู่ในฝันร้าย
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นสักที”
เฉินอวี้หรานหันมองทางต้นเสียง และพบว่าเจ้าของเสียงนั้นก็คือแม่ทัพหานเซ่อผู้กำลังเหยียดยิ้ม พร้อมกับมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามไม่ต่างจากมองสัตว์เดรัจฉานในคอกปศุสัตว์
“ท่าน!” หญิงสาวร้องออกมาอย่างตกใจ แต่เมื่อจะขยับตัวเข้าไปช่วยเด็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้า กลับพบว่าตนก็ถูกมัดติดเอาไว้กับต้นเสาไม่แตกต่างกัน
นี่มันเรื่องระยำอะไรกัน ทำไมเธอถึงต้องตื่นมาเจอกับสถานการณ์วิปริตเช่นนี้ด้วย
เมื่อวานก็ถูกบังคับให้ดูการเสพสังวาสจนไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้ก็ถูกมัดไว้กับเสาเพื่อดูเหล่าน้องน้อยของเธอถูกทรมานเนี่ยนะ แล้วนั่น! เด็กคนนั้นก็กำลังจะตายอยู่แล้ว ตรงหน้าเธอ เพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น...
เธอเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้
“ท่านต้องการอะไร” เสียงหวานเอ่ยถาม ทั้งแผ่วเบาและอ่อนแรง
แม่ทัพหานเซ่อเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าของหญิงสาว ใช้มือหยาบกระด้างเชยคางเล็กขึ้น ดวงตาคู่คมมองคนที่อยู่ในอุ้งมือราวกับสัตว์ตัวเล็ก แค่ออกแรงบีบก็ทำให้หมดลมหายใจได้แล้ว
ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
หานเซ่อใช้นิ้วโป้งสัมผัสลงบนริมฝีปากสีซีดอย่างหนักหน่วง พร้อมกับเอ่ยความต้องการของตน
“สิ่งที่ข้าต้องการ คือเสียงของเจ้า”
ใบหน้าหวานขึ้นสีจางด้วยความรู้สึกอับอายหลังจากได้ฟังคำพูดราวกับเสียงกระซิบของเขา อย่าบอกนะว่าไอ้บ้านี่อยากให้เธอไปทำเรื่องบนเตียงด้วย!
แต่เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าแค่ต้องการเธอ แค่ฉุดเธอไปก็ได้แล้วนี่ ไม่เห็นจำเป็นต้องข่มขู่และทรมานเธอทั้งทางร่างกายและจิตใจเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ หรือว่าสิ่งที่เขาต้องการจะเป็นสิ่งอื่นที่เกี่ยวกับเสียงของเธอ
และการกระทำนี้ก็คือการต่อรองอย่างหนึ่ง เพื่อทำให้เธอยอมจำนนอย่างนั้นหรือ
ดวงตาอัญมณีสีอำพันเงยขึ้นมองเจ้าคนที่จับตัวเธอมาอีกครั้ง
หานเซ่อมองดวงตาอัญมณีสีอำพันแปลกตาอย่างประหลาดใจ ดวงตาสีอำพันของคนอาณาจักรเฉินส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันหมด ทว่าดวงตาอัญมณีเช่นนี้กลับแตกต่างออกไป ราวกับว่าเขาเคยเห็นดวงตาเช่นนี้จากที่ใดมาก่อน ก่อนที่ริมฝีปากจะเหยียดยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าตนนั้นเคยเห็นมาจากที่ใด
จากใบหน้าของเจ้านครอาณาจักรเฉิน... กษัตริย์ที่ตนสังหารไปก่อนหน้านี้ หากเป็นเช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็คงจะเป็นสายเลือดของราชวงศ์
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ฆ่าพวกมัน”
หัวใจดวงน้อยเหมือนหล่นลงไปกองกับพื้นหลังจากได้ยินประโยคเย็นชาโหดเหี้ยม
แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความรู้สึกรักหรือผูกพันกับเด็ก ๆ เหล่านี้มาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะทนเห็นพวกเขาถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาได้
ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองภาพทหารกำลังจะใช้เหล็กลนไฟแทงร่างเล็กที่มีลมหายใจรวยริน
“อย่า!”
เฉินอวี้หรานเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำสั่งนั้นอย่างยอมจำนนหมดจด ขอบตาร้อนผ่าวเต็มไปด้วยหยาดน้ำไหลริน ขยับปากเอ่ยขอร้องอย่างศิโรราบ
“ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว... ได้โปรดปล่อยพวกเขาไปเถอะ พวกเขาไม่รู้สิ่งใด... เกี่ยวกับตัวข้า”
“...”
“ได้โปรด...”
หานเซ่อแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ สุดท้ายนางก็แค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
“ประทับตราทาสพวกมัน” เสียงทุ้มเปลี่ยนคำสั่ง ก่อนจะใช้ดาบเฉือนเชือกที่รัดตัวของหญิงตรงหน้าออก พร้อมกับสั่งพลทหารที่ยืนคุมอยู่ข้างหลัง “ลากนางไปที่กระโจมของข้า”
ร่างบอบบางทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง ก่อนจะหลับตาแน่นหลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็ก ๆ ที่รอดจากความตาย แต่ก็ต้องถูกทรมานจากการประทับตราอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
เฉินอวี้หรานกัดริมฝีปากล่างของตนแน่นด้วยความรู้สึกขมขื่นและเจ็บใจในโชคชะตาของตน ชาติก่อนก็ถูกคนรักหักหลัง ชาตินี้ก็ยังถูกตีตราเป็นทาสสงครามไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานให้ย่ำยี
แม้ว่าอยากจะยอมแพ้ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมปล่อยให้เธอตายง่าย ๆ อีกเป็นครั้งที่สอง ราวกับกำลังลงโทษเธอให้รู้สึกถึงความทรมานในการมีชีวิตอยู่ต่อ
หากต้องการอยู่รอดก็จงใช้สมองดิ้นรนจนสุดกำลังเสีย ทว่าการเป็นทาสนั้นไม่ต่างจากการถูกหักแขนหักขาทิ้ง ไร้ซึ่งอิสระ แล้วเธอจะมีชีวิตเป็นของตนเองได้อย่างไร