ร่างเล็กถูกลากมาจนถึงกระโจมแม่ทัพหานเซ่อ จากนั้นก็ถูกผลักเข้าไปข้างในซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างจากแดนประหาร โดยมีเพชฌฆาตนั่งรออยู่
บุรุษหนุ่มเจ้าของร่างสูงกำยำเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับโน้มตัวลงเพ่งมองดวงตาอัญมณีอย่างสนใจ
“ดวงตาของเจ้า คือดวงตาของสายเลือดราชวงศ์ใช่หรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยถามราบเรียบ
เฉินอวี้หรานเม้มริมฝีปากแน่น
หากเธอไม่ตอบออกไป อายุของเด็ก ๆ พวกนั้นอาจจะสั้นลงไปมากกว่านี้ก็ได้
แต่ถ้าเธอตอบตามความจริง ชีวิตของเธอก็คงจะสั้นลงทันตาเช่นเดียวกัน
แต่... ตายไปเสียได้ก็ดี จะได้หลุดพ้น หากตอบไปแล้วหานเซ่อเอาปลายดาบจ่อคอเธอ เธอนี่แหละจะเป็นคนเคลื่อนตัวเข้าหาคมดาบนั้นเอง
“ใช่” เสียงหวานใสตอบ พร้อมกับเบือนหน้าไปทางอื่น ทว่ากลับถูกฝ่ามือหยาบกร้านบีบแก้มไว้แน่น
ดวงตากลมสีอำพันสั่นระริกเมื่อเห็นคนตรงหน้าแสยะยิ้ม เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะอยากทรมานเธอมากกว่าฆ่าให้ตายในคราวเดียว
“ฮะ ๆ ๆ ๆ”
คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ คนตรงหน้าก็หัวเราะออกมา ทว่าเสียงหัวเราะนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“สั่งให้นางรับใช้ข้างนอกเข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงทุ้มตะโกนออกคำสั่ง
เพียงครู่เดียวนางรับใช้ก็เข้ามาในกระโจมทันที
“ข้ามาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
เฉินอวี้หรานมองหญิงรับใช้หน้าตาสะสวยอย่างแปลกใจ ก่อนหัวใจเกือบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“เอานางไปชำระร่างกายให้สะอาด แล้วนำมาให้ข้า”
นางรับใช้ไม่ใคร่พอใจนักเมื่อต้องรับคำสั่งทำความสะอาดชำระล้างร่างกายให้ทาสซึ่งมีสถานะต่ำกว่าตน ทว่าเมื่อเห็นผิวกายและใบหน้าภายใต้ความสกปรกอย่างชัดเจนแล้ว จึงหายข้องใจว่าเหตุใดท่านแม่ทัพถึงต้องการตัวนางทาสผู้นี้
แม้ว่าร่างกายจะดูบอบบางขี้โรค แต่ผิวหนังกลับขาวเนียนละเอียดดั่งหยกงามชั้นดี
ใบหน้าหวานล้ำงดงามเสียยิ่งกว่านางคณิกาชั้นสูง องค์ประกอบบนใบหน้านั้นรับกันหมดจดราวกับสวรรค์สร้าง ยิ่งได้สบตากับนัยน์ตาแปลกสีอำพันนั้นแล้ว ยิ่งทำให้ตนรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด
ครั้นกำจัดกลิ่นสาบโสมมออกจากร่างแล้ว ยังไม่ทันได้พรมน้ำดอกไม้ ผิวกายของนางกลับมีกลิ่นหอมหวานปานน้ำผึ้งโชยออกมาจนไม่อยากจะกลบกลิ่นนั้นด้วยเครื่องประทินผิวให้เสียดาย
นางเช็ดเรือนผมดำสนิทที่เคยเหนียวเหนอะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะมองหญิงสาวร่างเล็กอย่างประหลาดใจ
ความรู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้มาจากที่ใดกัน
นางรับใช้สวมใส่อาภรณ์สีขาวให้หญิงทาสตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ ก่อนจะรีบนำนางไปที่กระโจมทันที
เฉินอวี้หรานไม่สามารถขัดขืนได้ จึงได้แต่เดินตามนางรับใช้ไปจนถึงสถานที่ที่ตนเรียกมันว่าลานประหาร ทว่าเมื่อเดินเข้าไปแล้ว กลับไร้ซึ่งนางคณิกาเหมือนเมื่อคืนก่อน ทว่าหลังจากได้สบตากับสายตาอ่านยากคู่ตรงหน้า แผ่นหลังเล็กกลับเย็นวาบขึ้นมาในทันที
“มาหาข้า” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบนิ่ง
คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อย แม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะไม่ได้ฟังดูดุดันเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่จะให้วางใจคนที่ใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องมือข่มขู่เธอน่ะเหรอ เห็นทีจะยาก
“จะมาหาข้าดี ๆ หรือจะให้ข้าผูกเชือกที่ข้อเท้าเจ้าแล้วลากมา”
เฉินอวี้หรานสะอึกเมื่อถูกขู่ และเธอรู้ว่าหากไม่ทำตาม เขาจะไม่ใช่แค่ขู่ แต่อาจจะถึงขั้นทำให้ขาของเธอพิการไปทั้งชีวิตเลยก็ได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้จะมียศเป็นถึงองค์หญิง แต่เมื่ออาณาจักรล่มสลาย พวกของนอกกายเหล่านั้นก็เป็นได้แค่ขยะที่ต้องกำจัดทิ้ง
“อ๊ะ!” เสียงหวานร้องขึ้นหลังจากเดินเข้าไปใกล้ ก่อนที่ข้อมือจะถูกมือใหญ่ของคนตรงหน้าฉุดเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม
นัยน์ตาอัญมณีเหลือบมองดวงตาคมคู่ตรงหน้าอย่างหวาดกลัว
แม่ทัพหานเซ่อมองร่างเล็กตรงหน้าที่กำลังสั่นราวกับลูกนกอย่างประหลาดใจ เพราะเมื่อใดที่เขาเห็นน้ำตาเหล่านั้น เขาจะไล่พวกนางออกไปให้ห่างทันทีอย่างนึกรำคาญ แต่กับสตรีผู้นี้ เขากลับรู้สึกอยากทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิม
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเหวี่ยงร่างเล็กบางจนน่าหงุดหงิดนั้นลงบนเตียงนุ่มทันที
“ท่านจะทำอะไร” เสียงหวานร้องถามอย่างหวาดกลัวขณะยันกายขึ้นและขยับถอยหนีไปชิดหัวเตียงทันที
ท่าทางของนางในเวลานี้ไม่ต่างจากสัตว์เล็กที่กำลังจะถูกราชสีห์จับกินเป็นอาหาร
เพียงแต่เวลานี้ไม่ถึงเวลาอาหารแต่อย่างใด อีกอย่างเขานั้นไม่นิยมกินอาหารที่ยังไม่สุกเต็มที่ หากเป็นสัตว์เล็กก็ต้องเลี้ยงให้โตเสียก่อน อย่างไรเสียก็หนีออกจากกรงของเขาไม่ได้อยู่ดี
นิ้วเรียวเคลื่อนไปแตะปอยผมข้างแก้มอย่างแผ่วเบา
“องค์หญิง... ข้าบอกไปแล้วว่าต้องการเสียงของท่าน”
เฉินอวี้หรานมองการกระทำราวกับคนละคนของแม่ทัพหนุ่มอย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ เธอจะไว้ใจท่าทางอ่อนโยนนั้นไม่ได้เด็ดขาด
เจ้าคนที่บังคับให้เธอดูการเสพสังวาสของตนกับผู้หญิง คนที่ข่มขู่เธอด้วยชีวิตของเด็กไร้เดียงสา ไม่มีทางที่จะเข้าหาเธอโดยไม่หวังผลตอบแทน
“ข้าไม่ใช่องค์หญิงแล้ว”
สิ้นเสียงตอบ นิ้วเรียวที่เกลี่ยปอยผมของหญิงสาวนั้นชะงักลงและเปลี่ยนเป็นบีบแก้มนุ่มนั้นทันที
ดวงตากลมสั่นระริกขณะมองริมฝีปากหยักตรงหน้าแสยะยิ้มราวกับกำลังเจอสิ่งของต้องใจ และสิ่งนั้นก็คงจะเป็นความใจกล้าของเธอ
“ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าแค่กลัว แต่เจ้านี่พยศยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก ศักดิ์ศรีขององค์หญิงมันค้ำคอหรืออย่างไร” หานเซ่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม กระนั้นสิ่งที่ได้รับกลับมาจากคนตรงหน้ากลับเป็นรอยยิ้มแสนอิดโรยแทน
ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลบันดาลให้เธอคิดไปว่าคนตรงหน้าคงจะไม่ทำร้ายเธอในเวลานี้ อีกทั้งยังหาญกล้า ต่อปากต่อคำโดยไม่คำนึงว่าตนอาจจะถูกจับไปประทับตราทาสจนตายก็เป็นได้
ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะแรงบีบจากนิ้วของเขากระมัง คงยั้งมือเอาไว้ เธอถึงได้ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด อย่างมากก็แค่หันหนีไม่ได้เท่านั้นเอง
“นับตั้งแต่อาณาจักรเฉินล่มสลาย ข้าก็มิใช่องค์หญิงอีกต่อไปแล้ว” เฉินอวี้หรานตอบกลับไม่เต็มเสียงนัก
คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างแปลกใจหลังได้ฟังคำตอบ ไม่เชิงว่าถูกใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด ในเมื่อสิ่งที่นางเอ่ยออกมานั้นก็ถูกต้องทุกประการ
คนตัวเล็กรู้สึกหายใจลำบากเมื่อความเงียบเข้ามาเยือน จนกระทั่งฝ่ามือเรียวนั้นได้ผละออกไป
ทว่ายังไม่ทันได้สูดลมหายใจจนเต็มปอด ใบหน้าคมคายตรงหน้ากลับยื่นเข้ามาประชิดจนไม่สามารถหลบได้ทัน
เจ้าของดวงตาคู่คมสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีอำพันตรงหน้า
“แต่ดวงตาอัญมณีของเจ้านั้นเป็นหลักฐานยืนยันการเป็นเชื้อสายราชวงศ์ ซึ่งความจริงข้าควรจะฆ่าเจ้าเสีย เพื่อไม่ให้เกิดการคิดกบฏในภายภาคหน้า แต่ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า หากคืนนี้เจ้าทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายได้”
คิ้วเรียวเล็กของหญิงสาวขมวดเข้าเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจถึงความหมายทั้งหมดเมื่อคนตรงหน้าขยายประโยคของตน