ตอนที่ 5 ว่าที่คนปลูกผักกับโลกใบใหม่

2562 Words
เมื่อขึ้นมาถึงห้องพักพอเปิดประตูเข้าไปก็จะเจอกับห้องขนาดใหญ่ มีเตียงที่คนตัวโตๆนอนสามคนได้ไม่เบียด มีโต๊ะตั้งอยู่กลางห้องมีกาน้ำชาที่ยังมีควันลอยอยู่วางเอาไว้ เมื่อเดินสำรวจรอบๆห้องก็จะพบห้องเล็กด้านหลังที่ใช้สำหรับทำธุระและถังน้ำใบใหญ่ที่คนสองคนลงไปนอนได้เลยทีเดียว ยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดคนงานของโรงเตี้ยมก็ยกน้ำสำหรับอาบมาให้ ข้าจึงให้สองแฝดไปอาบน้ำกันก่อนและให้คนงานนำอาหารขึ้นมาให้บนห้อง เมื่อจัดการกินอาหารและให้สองแฝดเข้านอนแล้วจึงให้คนงานช่วยนำน้ำอาบมาให้อีกครั้ง เมื่อคนงานจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ข้าเดินไปดูสองแฝดที่ตอนนี้นอนหลับสนิทไปแล้ว ช่างโชคดีที่เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ช่างรู้ความและสามารถจัดการดูแลตนเองได้ไม่อยากจะคิดภาพเลยถ้าต้องให้ข้ามาคอยดูแลจะเป็นอย่างไร เมื่อดูแลสองแฝดแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องดูแลตนเองบ้าง ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้นอกจากชื่อและอายุ ก็ยังไม่มีโอกาสเห็นหน้าตาของร่างนี้เลย ข้าเดินไปที่โต๊ะกระจกตัวใหญ่ที่วางอยู่ปลายเตียง กระจกที่นี่ทั้งใสและชัดไม่ต่างจากกระจกที่เคยใช้เลย เดินไปยืนและมองไปที่กระจกบานใหญ่นั้น กระจกสะท้อนเงาของเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ในนั้น ดวงตากลมโตช่างดูสดใส คิ้วไม่เข้มมากแต่ได้รูปสวย จมูกเล็ก ปากกระจับ แก้มป่อง ใบหน้ากลม ซึ่งโดยรวมถือว่าหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมากทีเดียว รูปร่างไม่ได้บอบบางดูอวบอิ่มกำลังดี หุ่นแบบนี้น่าจะช่วยทำให้มีเรี่ยวแรงที่ดี ซึ่งตลอดระยะเวลาเจ็ดวันที่ข้าฟื้นขึ้นมาอยู่ในร่างนี้นอกจากรอยแผลรูเล็กๆสองรอยตรงหลังเท้าซึ่งน่าจะเป็นรอยโดนงูกัดที่ทำให้เจ้าของร่างเสียชีวิตแล้ว ร่างนี้ก็ดูปกติและแข็งแรงมากทีเดียว ผิวพรรณก็ดูขาวเนียนอย่างคนที่ได้รับการดูแลรักษามาอย่างดี เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของตนเองแล้วก็รู้สึกพอใจมากทีเดียว ร่างเก่าของเธอมันผอมแห้งแทบจะเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูก แถมผิวก็ไม่ขาวแต่คล้ำและกระดำกระด่างอีกด้วย ถ้าข้าได้เห็นหน้าตนเองตั้งแต่ฟื้นคงจะรู้ได้ทันทีเลยว่าทั้งสองแฝดเป็นน้องของตนแน่นอน ดูดวงตากับแก้มกลมๆนี่ซิ แต่ดีที่สองแฝดมีจมูกโด่งชัดเจนไม่เช่นนั้นพวกเราก็อาจจะกลายเป็นแฝดสามเลยก็ได้ "อิอิ" ข้าคิดและก็ขำออกมา เมื่อหยุดความคิดของตนเองลงแล้วก็หย่อนตัวลงไปแช่น้ำในอ่างที่เริ่มจะเย็นแล้ว เพราะมัวแต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย การได้อาบน้ำจริงๆหลังจากที่ทำได้แค่เช็ดเนื้อตัวมาตลอดนี่มันดีจริงๆ เมื่อขัดเนื้อตัวจนพอใจแล้วจึงลุกขึ้นและแต่งตัว เมื่อจัดการตนเองเรียบร้อยก็เดินไปตรวจดูประตูหน้าต่างอีกครั้ง เห็นพวกพยาบาลที่เข้ามาดูตอนกลางคืนจะต้องทำทุกคนเลยจำมาทำบ้าง ซึ่งก็ถือว่าดีทีเดียว เพื่อความปลอดภัยของตนเอง ถึงแม้ลุงเฉินจะบอกว่าที่โรงเตี้ยมนี่มีความปลอดภัยสูงแค่ไหน แต่ก็ควรจะฝึกตนเองให้เคยชินเอาไว้ด้วย เมื่อตรวจดูเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปดับเทียนและเข้านอนซึ่งก็หลับไปในทันที เช้าวันนี้ลุงเฉินจะพาไปดูที่ดินเพื่อจะเตรียมสร้างบ้าน ซึ่งที่ดินที่ท่านพ่อซื้อเอาไว้นั้นตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่นอกกำแพงเมือง ที่ดินผืนนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหนิงซานอยู่ห่างจากกำแพงเมืองหนิงเซียนประมาณสิบลี้(1ลี้=500ม.) ที่ดินมีขนาดถึง 25หมู่(2.4หมู่=1ไร่)หลังที่ดินมีลำธารที่มาจากภูเขาหนิงซานไหลผ่าน และตั้งอยู่ห่างจากทางขึ้นเขาสี่ลี้ซึ่งนับว่าเป็นที่ดินทำเลดีจริงๆ หมู่บ้านหนิงซานจากที่ลุงเฉินบอกมีคนอาศัยอยู่ไม่เกิน 50ครัวเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่เลี้ยงวัว ทั้งวัวเนื้อ วัวนม และวัวใช้แรงงานซึ่งวัวสองชนิดแรกซื้อมาจากแคว้นหวงหลง เมื่อได้ยินคำว่าวัวนมก็ให้ดีใจนัก ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถหานมให้ตนเองและสองแฝดกินได้นะซิ จึงรีบถามรายละเอียดเรื่องนมวัวทันที ลุงเฉินจึงบอกว่าไว้พรุ่งนี้จะไปลองสอบถามดูให้ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงที่ดินที่มีการถางที่และล้อมรั้วหินไว้รอบที่ดินเรียบร้อยแล้ว รั้วหินมีความสูงมากกว่าหนึ่งจั้ง(3.3ม.) เหลือแค่เพียงตัวบ้านที่ยังไม่ได้สร้าง ท่านลุงเฉินบอกว่าท่านพ่อตั้งใจจะกลับไปปรึกษากับพวกข้าแต่ก็ไม่ทัน ข้าจึงให้ท่านลุงเฉินพากลับเข้าเมืองก่อนเห็นที่ดินคร่าวๆแล้ว จะได้กลับไปวางแผนและจ้างช่างมาสร้างบ้านอีกที ระหว่างนี้คงต้องหาบ้านเช่าอยู่เพราะถ้าจะพักโรงเตี้ยมก็ดูจะสิ้นเปลืองเกินไป "พี่ใหญ่ท่านพ่อกับท่านแม่ละขอรับ พวกท่านไปรอพวกเราที่ไหน" ระหว่างที่นั่งรถม้ากลับน้องเล็กก็เอ่ยขึ้น "ลุงเฉินบอกว่าท่านพ่อกับท่านแม่เกิดอุบัติเหตุ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนขอรับ" น้องรองเอ่ยบ้าง "อืม..รอให้บ้านใหม่ของพวกเราสร้างเสร็จก่อนนะ แล้วพี่สาวจะพาท่านพ่อกับท่านแม่มาอยู่ด้วย เพราะตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะให้พวกท่านมาอยู่น่ะ" ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบเด็กน้อยทั้งสองไป "ท่านพ่อกับท่านแม่บาดเจ็บหนักหรือขอรับพี่ใหญ่" น้องรองเอ่ยถาม "ท่านพ่อกับท่านแม่เจ็บมากไหมขอรับพี่ใหญ่" น้องเล็กถามพร้อมเสียงสั่นๆ "ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ท่านพ่อกับท่านแม่ตอนนี้พวกท่านไม่เจ็บไม่ปวดและสบายดีแล้ว ระหว่างนี้พวกเจ้าทั้งสองต้องดูแลตัวเองให้ดีพอพวกท่านมาถึงจะได้ไม่เป็นห่วงเข้าใจไหม" ข้าพูดพร้อมกับบีบแก้มกลมๆของทั้งสองเบาๆ ทั้งสองคนพยักหน้าตอบรับพร้อมกับเอามือกุมแก้มที่ถูกบีบแล้วหัวเราะคิกคักกันสองคน ข้าหันไปมองลุงเฉินที่บังคับเกวียนวัวอยู่ด้านหน้า ซึ่งก็หันมามองสองแฝดอยู่ก่อนแล้วด้วยดวงตาเศร้าสร้อยหลังจากที่ได้ยินข้าตอบทั้งสองไป "แดดเริ่มแรงแล้วลุงเฉินท่านช่วยเร่งอีกหน่อยเถิด แล้วถ้าอย่างไรลองไปดูเกวียนที่มีหลังคาด้วยก็ดี ถ้าต้องออกมาดูงานบ่อยๆเด็กๆจะไม่สบายได้" ข้าเอ่ยขัดลุงเฉินเพราะกลัวว่าน้องรองที่ค่อนข้างฉลาดจะสังเกตุเห็นและก็เพื่อให้ลุงเฉินปล่อยวางลงด้วย เรื่องของท่านพ่อกับท่านแม่คนที่เสียใจมากที่สุดอีกคนก็ไม่ใช่ใครลุงเฉินนั้นเอง ลุงเฉินเข้ามาอยู่ข้างกายท่านพ่อตั้งแต่เจ็ดหนาว ทั้งสองอายุเท่ากันเติบโตมาด้วยกัน ลุงเฉินเป็นทั้งเพื่อน พี่ น้อง และคนสนิทที่ท่านพ่อไว้ใจมากที่สุด และลุงเฉินก็เห็นท่านพ่อเป็นเช่นกันแต่มีความเคารพเทิดทูนในฐานะเจ้านายอีกด้วย เพราะพอได้ฟังที่ลุงเฉินเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆของร่างนี้ที่ข้างกองไฟในวันนั้น ข้าก็สัมผัสถึงความเศร้าเสียใจและจงรักภักดีได้จากลุงเฉิน ข้าถึงยอมไว้ใจให้ลุงเฉินมาเป็นลุงของพวกเราและคาดว่าถ้ามีสิ่งใดคงจะให้ช่วยออกหน้าในอนาคตอีกด้วย สงสารก็แต่เด็กน้อยทั้งสองคนที่ต้องมาเสียพ่อแม่และพี่สาวคนเดียวไปโดยที่ไม่ได้รับรู้สิ่งใดเลย ข้าได้แต่ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะดูแลทั้งสองคนให้ดีที่สุด ตอบแทนเจ้าของร่างที่ให้ข้าได้มาอยู่มาใช้ชีวิตและทำความฝันทั้งหลายที่มีให้เป็นจริง เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะดูแลเด็กน้อยทั้งสองคนให้ดีที่สุด จะว่าไปแล้วข้าก็ยังไม่มีเวลาสำรวจข้าวของและทรัพย์สินทั้งหมดเลย ถึงแม้จะมีเงินจากการขายกิจการ แต่รีบขายแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะถูกกดราคาไปมากน้อยแค่ไหน ข้าจึงหันไปถามเรื่องการเบิกเงินกับลุงเฉิน ลุงเฉินจึงบอกให้เอาป้ายรับฝากที่โรงรับฝากสาขาเมืองหลวงออกให้ไปยื่นได้เลย คงน่าจะอยู่ในห่อผ้าในหีบสักใบของเด็กน้อยทั้งสอง สรุปได้ว่าอย่างไรก็ต้องรื้อเอาข้าวของเหล่านั้นออกมาดูอยู่ดี เอาเถอะจะได้รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่บ้างจะได้วางแผนวางอนาคตถูก เมื่อคิดเช่นนั้นก่อนจะกลับไปโรงเตี้ยมข้าจึงให้ลุงเฉินพามาที่โรงรับฝากหวงหลงก่อน เพื่อจะมาเอาข้าวของที่ลุงเฉินฝากเอาไว้กลับไปด้วย อาคารโรงรับฝากเป็นตึกไม้ขนาดใหญ่ดูหรูหรา ตั้งอยู่ติดกับสำนักคุ้มภัยหวงหลง โดยใช้รั้วเดียวกันเพียงแค่แยกทางเข้า ลุงเฉินนำข้าและทั้งสองแฝดเดินเข้าไปด้านในซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านเดินเข้าออกมากมาย และยังได้เจอพวกผู้คุ้มกันที่พาพวกเราเดินทางมาที่นี่อีกด้วย แต่ก็ทำเพียงแค่พยักหน้าทักทายออกไปเท่านั้น เมื่อรับข้าวของเสร็จก็กลับโรงเตี้ยม เมื่อมาถึงก็ให้คนงานช่วยเตรียมน้ำอาบและสำรับอาหารขึ้นไปส่งที่ห้อง เพราะตอนนี้ก็น่าจะบ่ายคล้อยแล้ว ส่วนนาฬิกาข้าบอกลุงเฉินว่าข้าขอดูข้าวของๆท่านพ่อกับท่านแม่ก่อนเผื่อมีจะได้ไม่ต้องหาซื้อ เมื่อจัดการให้สองแฝดอาบน้ำและกินอาหารเรียบร้อย ก็ให้ทั้งสองคนนอนกลางวันเพราะวันนี้ตื่นออกไปกันแต่เช้า ข้าให้คนงานช่วยขนของที่ไปรับมาจากโรงฝากมาไว้บนห้อง โชคดีที่เลือกห้องใหญ่เผื่อเอาไว้ข้าวของจึงสามารถวางได้หมด ข้าวของของท่านพ่อกับท่านแม่ไม่มีสิ่งใดมากมีแค่หีบไม้ไม่กี่ใบเท่านั้นเพราะเป็นช่วงเดินทางกลับแล้วและรอบนี้ทั้งสองก็ไม่ได้คิดจะนำสิ่งใดกลับไปขายอีก เพราะเตรียมจะย้ายไปที่อื่นอยู่แล้ว ข้าเริ่มเปิดข้าวของของทั้งสองก่อน พบว่าเป็นข้าวของทั่วๆไป พวกเสื้อผ้าเครื่องประดับ และก็มีพวกเอกสารต่างๆเกี่ยวกับการค้า ซึ่งได้ทำการขายไปทั้งหมดแล้ว ข้าจึงเก็บข้าวของส่วนตัวรวมทั้งเอกสารทั้งหมดใส่หีบรวมกันเอาไว้ ส่วนพวกของมีค่าทั้งเงินและตั๋วเงินก็นำเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้ก่อน และในกองข้าวของๆทั้งสองคนก็มีนาฬิกาพกรวมอยู่ด้วย ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นของท่านแม่เพราะมีการสลักลวดลายงดงาม ข้าจึงเอามาแขวนที่สายคาดเอวไว้ก่อน ไว้ค่อยไปถามลุงเฉินว่าเค้าพกกันยังไงอีกที และก็เจอสิ่งสำคัญที่หาอยู่ป้ายวิญญาณทั้งสามป้าย ข้าเอามาวางไว้ตรงโต๊ะมุมห้องและยกมือประสานกันแล้วก้มตัวคารวะไปสามครั้งอย่างที่เคยเห็นในทีวี "ตอนนี้บุตรสาวและหลานสาวของท่านได้จากไปแล้ว ทำให้ข้าได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ที่นี่ในร่างนี้ ในเมื่อข้ามาอยู่แล้วก็ขอสัญญาว่าจะดูแลเด็กน้อยทั้งสองและใช้ชีวิตที่ได้มานี่อย่างดี ขอให้พวกท่านวางใจและเดินทางต่อไปด้วยความสบายใจเถอะ" พอกล่าวจบก็ทำการก้มตัวคารวะอีกรอบ เมื่อทำการเคารพทั้งสามเรียบร้อยแล้ว ข้าจึงมองหาหีบใบเล็กที่พอจะนำป้ายวิญญาณทั้งสามใส่ลงไปได้ เอาไว้บ้านใหม่เสร็จค่อยบอกความจริงและเอาไว้ให้สองแฝดกราบไหว้ ตอนนี้อยู่ในโรงเตี้ยมคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ เมื่อจัดการเก็บป้ายวิญญาณเรียบร้อยก็นึกถึงแบบบ้านและการจัดสรรที่ดินและคนงานอีก มีแต่เรื่องที่ไม่เคยทำทั้งนั้น ไม่รู้จะเป็นอย่างไรพอคิดได้อย่างนี้แล้วคงต้องเอาพวกของมีค่ามาตรวจนับดูก่อน จะได้วางแผนการในอนาคตของตนเองและสองแฝดต่อไป ข้าจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะ แยกตั๋วเงินไว้รวมกัน พวกเครื่องประดับต่างๆ ตำลึงเงินและตำลึงทองก็แยกเอาไว้ ข้าถามลุงเฉินมาแล้วเรื่องค่าเงินของที่นี่ 1000อีแปะ เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน 10 ตำลึงเงิน เท่ากับ 1 ตำลึงทอง ข้าวขาวอย่างดีตกชั่งละ(500กรัม) 45 อีแปะ เนื้อหมูชั่งละ 55 อีแปะ ค่าแรงต่อวันอยู่ที่ 30อีแปะ อืมค่าแรงหนึ่งวันยังไม่พอซื้อข้าวขาวอย่างดีสักชั่งเลย แล้วข้าผู้ซึ่งทำได้เพียงแค่ดูมาอย่างเดียวเกือบตลอดชีวิตจะใช้ชีวิตที่นี่ได้หรือไม่นะ ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มใจไม่สู้ลงมือเลยดีกว่า ว่าแล้วก็แกะห่อผ้าต่างๆดู จนในที่สุดก็พบป้ายของโรงรับฝากทั้งของที่เป็นชื่อข้าและของที่เป็นชื่อท่านพ่อ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปยื่นขอตรวจสอบจำนวนเงิน เมื่อแยกข้าวของทั่วไปและจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็มาตรวจดูพวกของมีค่าต่างๆ พวกเครื่องประดับพอจัดเก็บรวมกันก็ได้ถึงสองหีบใหญ่ ส่วนตำลึงเงินมีถึงสองร้อยตำลึง ส่วนตำลึงทองมีอีกร้อยยี่สิบตำลึง ส่วนตั๋วเงินมีอยู่สองร้อยตำลึงทอง เมื่อตรวจนับจำนวนเงินรวมกันแล้วตกประมาณสามร้อยกว่าตำลึงทอง คงไม่น่าจะพอค่าสร้างบ้านแน่ๆ คงต้องหวังพึ่งตั๋วเงินในโรงรับฝากแล้ว กว่าจะตรวจดูอะไรเรียบร้อยนี่ก็น่าจะดึกแล้ว ข้าจึงหยิบนาฬิกาพกออกมาดูเวลา ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นจะสามทุ่มแล้ว ส่วนพวกเด็กๆมีตื่นมากินข้าวเย็นแล้วก็กลับไปนอนต่อกันนานแล้ว คงจะเพลียจากการเดินทางสะสมกัน เมื่อคิดแบบนี้ตัวข้าเองก็เริ่มรู้สึกเพลียๆเหมือนกัน จึงจัดการเก็บข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อย ตรวจดูประตูหน้าต่างและดับไฟเข้านอนและก็หลับไปทันที *********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD