ตอนที่ 4 ว่าที่คนปลูกผักกับตระกูลหลิว

2311 Words
ได้ยินดังนั้นลุงเฉินจึงเริ่มเอ่ยปากเล่าเรื่องราวให้ฟัง ซึ่งแรกๆก็เหมือนที่น้องรองเคยเล่าให้ฟัง ทั้งชื่อและครอบครัว รวมถึงเรื่องที่พวกเราสามพี่น้องต้องย้ายออกจากเมืองหลวง สาเหตุหลักเลยก็คือครอบครัวของร่างนี้เป็นครอบครัวสายรองหรือก็คือครอบครัวของภรรยารอง ท่านผู้เฒ่าหลิวหรือก็คือท่านปู่เป็นขุนนางระดับสองตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการ มีภรรยาสองคนคนแรกคือนางอันซื่อเป็นภรรยาเอกมีศักดิ์เป็นท่านย่าใหญ่ มีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคน บุตรชายรับราชการเป็นขุนนางระดับสามรองหัวหน้ากรมพิธีการ ส่วนบุตรสาวอีกคนเป็นอดีตพระสนมชั้นโทและได้เสียชีวิตไปแปดปีแล้ว ท่านย่าใหญ่มีหลานสองคนจากบุตรชายปีนี้หลานชายคนโตอายุ 16ปี หลานสาวอายุ 10ปี ส่วนท่านย่าของนางหรือนางกุ้ยซื่อมีศักดิ์เป็นภรรยารองจึงเรียกว่าท่านย่ารอง เป็นบุตรสาวของคหบดีที่ทำการค้าเกลือกับต่างแคว้น ท่านตาทวดจึงไม่ค่อยจะอยู่ที่เมืองหลวงนัก ท่านปู่กับท่านย่ารองเป็นคนรักกันมาก่อน ก่อนที่ท่านปู่ต้องมาแต่งกับท่านย่าใหญ่เพราะท่านพ่อของท่านย่าใหญ่ในตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีสามารถส่งเสริมท่านปู่ได้ และท่านปู่ก็แต่งท่านย่ารองเข้าตระกูลตอนที่ท่านย่าใหญ่ตั้งครรภ์บุตรคนแรกได้ห้าเดือน แค่เรื่องที่ท่านย่ารองเป็นคนรักของท่านปู่มาก่อน ก็ทำให้ท่านย่าใหญ่ไม่พอใจมากอยู่แล้ว ท่านย่ารองยังมาให้กำเนิดบุตรชายซึ่งก็คือท่านพ่อที่อายุห่างจากบุตรชายคนโตเพียงแค่หกเดือนยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ท่านย่าใหญ่มากยิ่งขึ้น จนกระทั่งเติบโตท่านพ่อก็ยิ่งแสดงความโดดเด่นกว่าบุตรคนโตอีกหลายเรื่องทั้งการเรียน ความสามารถ และหน้าตา แต่ท่านย่าใหญ่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้เพราะเกรงกลัวท่านปู่ เพราะพอท่านพ่อที่เป็นเสนาบดีของท่านย่าใหญ่สิ้น ตระกูลของท่านย่าใหญ่ก็ตกต่ำไม่เป็นที่นับหน้าถือตาอีก เมื่อท่านพ่ออายุ 15 ปีก็เป็นคนดูแลรับผิดชอบกิจการต่างๆของท่านย่ารอง ที่ท่านตาทวดยกให้ทั้งหมด เพราะท่านตาทวดมีท่านย่ารองเป็นบุตรเพียงคนเดียว จึงยกทุกอย่างให้ซึ่งก็นับได้ว่าท่านย่ารองมีฐานะมั่งคั่งและมีหน้ามีตามากทีเดียว และพอถึงวัยแต่งงานท่านพ่อก็แต่งให้กับหลานสาวที่เป็นญาติห่างๆของท่านย่ารอง จึงยิ่งทำให้ท่านย่าใหญ่ไม่พอใจท่านพ่อ เพราะท่านย่าใหญ่อยากให้ท่านพ่อแต่งงานกับหลานสาวของตนเป็นฮูหยินเอกแทนท่านแม่ เพื่อหวังในทรัพย์สมบัติของท่านพ่ออีกด้วย ท่านพ่อไม่ยินยอมจึงขอท่านปู่แยกตระกูลซึ่งท่านย่ารองที่ตอนนั้นกำลังป่วยหนักจึงช่วยร้องขออีกคน ท่านปู่จึงยอมให้ท่านพ่อแยกตระกูลออกมา ไม่นานท่านย่าก็จากไปและตามด้วยท่านปู่ แต่ความคิดที่จะให้หลานสาวของตนแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของท่านพ่อของท่านย่าใหญ่ยังคงมีอยู่ ทั้งวางแผนสร้างเรื่องและสร้างสถานะการณ์ต่างๆเพื่อให้ท่านพ่อตกหลุมพราง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ประสบผลสำเร็จเลย กลายเป็นว่าหลานสาวคนนั้นกลับได้แต่งเป็นภรรยารองของท่านลุงใหญ่แทนแต่ก็เสียไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อจึงไม่ค่อยอยู่ในเมืองหลวงพาท่านแม่เดินทางออกไปทำการค้าตามที่ต่างๆอยู่เสมอ และจนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนท่านย่าใหญ่กลับยิ่งมาระรานหนักขึ้น เหตุเพราะท่านลุงใหญ่ไร้ความสามารถทรัพย์สินที่มีก็ถูกใช้จ่ายจนเกือบหมด แต่เดิมก็มีท่านย่ารองคอยช่วยเหลือ ตระกูลหลิวถึงยังคงมีหน้ามีตาอยู่ได้ แต่เมื่อสิ้นท่านย่ารองและท่านพ่อออกจากตระกูล เงินทองที่เคยนำมาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่มีแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ตระกูลหลิวสายหลักก็เหลือเพียงแค่เปลือกแล้ว ท่านพ่อได้ใช้โอกาสที่เดินทางอยู่ตลอด หาที่ปลอดภัยเพื่อจะย้ายครอบครัวไปอยู่ให้ห่างจากท่านย่าและตระกูลสายหลัก เสียดายก็แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ของร่างนี้ยังไม่ทันได้ทำตามที่ตั้งใจ ก็กลับมาจากไปเสียก่อน แต่ยังดีที่ได้มีการติดต่อพูดคุยเรื่องการขายกิจการเอาไว้บ้างแล้ว พอลุงเฉินกลับมาแจ้งข่าวจึงสามารถจัดการได้ทันที เมื่อข้าได้ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะความอิจฉาริษยาและหวังในทรัพย์สินของผู้อื่นแท้ๆเรื่องราวต่างๆถึงได้วุ่ยวายเพียงนี้ ข้ายังได้ถามว่าสาเหตุที่พ่อกับแม่ของร่างนี้จากไปสาเหตุใช่เกิดจากพวกตระกูลหลักหรือไม่ ท่านลุงเฉินบอกว่าไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุจริงๆตอนนั้นทั้งสองกำลังจะเดินทางกลับแล้ว และท่านพ่อได้สั่งให้ลุงเฉินออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น ลุงเฉินพอรู้ข่าวก็รีบย้อนกลับไป จึงพบว่าทั้งสองคนเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุก็เพราะเรือที่ทั้งสองนั่งไปท่องเที่ยวในทะเลโดนคลื่นซัดจนล่มทำให้มีคนเสียชีวิตหลายคน ลุงเฉินจึงจัดการเรื่องศพของทั้งสองคน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงรีบเดินทางกลับมา ก่อนที่ข่าวนี้จะมาถึงหูคนตระกูลหลัก และโชคดีที่จัดการทุกอย่างทันและออกเดินทางเรียบร้อยไม่เช่นนั้นเรื่องคงยุ่งยากและเลวร้ายยิ่ง "ลุงเฉินแล้วป้ายวิญญาณของท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะเจ้าค่ะ" ข้าเอ่ยถามตามความเข้าใจว่าคนจีนยุคโบราณให้ความสำคัญกับเรื่องบรรพบุรุษมาก "ตอนนี้ป้ายวิญญาณของฮูหยินรอง นายท่านและฮูหยินน้อย อีกทั้งพวกข้าวของจากการเดินทาง บ่าวได้ให้ผู้คุ้มกันนำไปไว้ที่โรงรับฝากเงินหวงหลงในอำเภอหนิงเซียนชั่วคราวก่อนขอรับ เพราะต้องรีบเดินทางกลับไปแจ้งข่าวคุณหนูจึงไม่สะดวกที่จะนำติดตัวไปด้วย ขอคุณหนูโปรดอภัย" ลุงเฉินพูดจบก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นทันที ข้าเห็นเช่นนั้นก็ตกใจและรีบห้ามปรามทันที "ลุงเฉินอย่าทำเช่นนี้อีก ต่อไปข้าคงต้องให้ท่านออกหน้ากลายเป็นลุงของพวกข้าทั้งสามคนแล้ว" ข้าเอ่ยขึ้น "บ่าวไม่กล้า บ่าวเป็นแค่ทาสที่นายท่านผู้เฒ่าซื้อให้มาดูแลนายท่านเท่านั้นขอรับ" ลุงเฉินกล่าวขึ้นด้วยความเจียมตัว "ข้าเห็นท่านเป็นดั่งญาติผู้ใหญ่ และในภายภาคหน้าข้าคงต้องให้ท่านช่วยออกหน้าให้อีกหลายเรื่อง นอกจากท่านแล้วพวกข้าก็ไม่มีใครที่ไว้ใจได้อีก ท่านทำให้พวกข้าได้หรือไม่ลุงเฉิน" ข้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปที่ลุงเฉินอย่างแน่วแน่ "บ่าวจะดูแลคุณหนูและคุณชายทั้งสองด้วยชีวิตของบ่าวเองขอรับ" ลุงเฉินพูดด้วยสายตาแน่วแน่เช่นกัน "ไม่ต้องถึงกับชีวิตหรอกเจ้าค่ะ ขอแค่ท่านไม่ทรยศหักหลัง หรือทำร้ายพวกเราพี่น้อง ข้าก็พอใจแล้ว และต่อไปท่านต้องเลิกแทนตัวเองว่าบ่าว ให้แทนตัวเองว่าลุง ต่อไปจะไม่มีตระกูลหลิวสายรองอีกแล้ว จะมีแต่ตระกูลหลิวแห่งเมืองหนิงเซียนแค่นั้น" ข้าพูดขึ้นด้วยสายตามุ่งมั่น "ขอรับ..เอ่อได้ ลุง..จะพยายาม" ข้าหันมองตาขวาง ทำให้ลุงเฉินที่เห็นสายตาของข้าถึงกับพูดติดขัด "เอาเถอะค่อยๆพยายามปรับเปลี่ยนเอา แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นท่านอย่าได้พูดผิดให้ผู้คนสงสัยเป็นอันขาด นี่ก็เริ่มดึกแล้วท่านไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันอีก" ข้ากล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินไปนอนบนเกวียน โดยนำผ้าคลุมเกวียนใช้เชือกผูกตรงมุมผ้าแล้วเอาไปผูกไว้กับต้นไม้ เพื่อทำเป็นหลังคากันน้ำค้าง การเดินทางยังคงเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้คุ้มกันของสำนักคุ้มภัยหวงหลงทำงานดีมาก มีการรายงานถึงการเคลื่อนไหวของพวกตระกูลหลักในเมืองหลวงส่งมาทุกวัน และรายงานล่าสุดคือทางตระกูลหลักยกเลิกการตามหาพวกข้าแล้ว เพราะไม่อาจจะเสียเงินจำนวนมากได้อีก ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับพวกข้าทีเดียวจะได้ไม่ต้องมาคอยระแวงพวกนั้นอีก การเดินทางตอนนี้ผ่านมาเจ็ดวันแล้วตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง และวันที่ข้าฟื้นนั้นเป็นวันที่สามที่เริ่มออกเดินทาง ลุงเฉินแจ้งว่าอีกสามวันคงถึงเมืองหนิงเซียน เมืองหนิงเซียนเป็นเมืองติดชายแดนแคว้นหวง ที่ดินค่อนข้างมีราคาสูงมีความอุดมสมบูรณ์เพราะติดภูเขาและมีลำธารไหลผ่าน ไม่เหมือนพื้นที่ส่วนอื่นที่เป็นดินทรายหรือไม่ก็ติดทะเลนับเป็นเมืองทำเลทองเลยก็ว่าได้ ลุงเฉินเล่าว่ากว่าที่ท่านพ่อจะได้ที่ดินพื้นนี้มาต้องติดต่อพูดคุยกับเจ้าของที่ถึงสามปีกว่าที่อีกฝ่ายจะยินยอมตกลงขายให้ และพอจะย้ายมาอยู่ก็มาจากไปเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นพวกเธอพี่น้องได้มาอยู่กันเพียงลำพังเท่านั้น ระหว่างเดินทางข้ายังได้รับรู้ข้อมูลของดินแดนแห่งนี้อีกด้วย ดินแดนแห่งนี้หรือเรียกว่าแผ่นดินซื่อหลิงตั้งอยู่มานานนับหมื่นๆปีหรืออาจจะถึงแสนปีเลยก็ได้ และยังมีตำนานเล่าขานด้วยว่าเดิมแผ่นดินนี้เป็นดินแดนแห่งสัตว์เทพทั้งห้า มังกรทองหวงหลง มังกรฟ้าชิงหลง เสือขาวไป๋หู่ หงษ์ไฟจูเสวี่ย และเต่าดำเสวี่ยนอู่ เมื่อก่อนเป็นแผ่นดินที่ผู้คนมีการฝึกพลังปราณและพลังธาตุ มีการใช้อักขระ และค่ายกล มีพวกสัตว์อสูรที่สามารถทำพันธะกับคนได้อีกด้วย แต่ตอนนี้ผู้คนในแผ่นดินเป็นแค่คนปกติทั่วไป อาจจะมีพวกที่มีวรยุทธ์ในการต่อสู้บ้างเท่านั้น ส่วนพวกอักขระ หรือค่ายกล ไม่มีผู้ใช้งานได้อีกแล้ว แต่พวกของที่เป็นมิติจัดเก็บยังมีอยู่แต่หายากและมีราคาสูงมาก คนที่มีในครอบครองคือพวกตระกูลเก่าแก่มากอำนาจบารมี หรือพวกราชวงค์ ส่วนสัตว์ต่างๆก็เป็นแค่สัตว์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ดินแดนแห่งนี้ยังคงแบ่งเป็นห้าแคว้น มีแคว้นหวง แคว้นชิง แคว้นไป๋ แคว้นจู และแคว้นเสวี่ยนที่พวกเราอาศัยอยู่ตอนนี้ โดยแต่ละแคว้นก็จะมีผู้ปกครองเป็นพวกราชวงค์ของแคว้นนั้นๆยกเว้นแคว้นหวงที่เป็นคนของตระกูลหลงปกครองอยู่ เมื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆแล้ว ก็คิดถึงกระเป๋าผ้าของคุณยายซาน ข้ามั่นใจว่ามันเป็นอุปกรณ์มิติแน่ๆ เพราะฉะนั้นจะให้ใครมารับรู้เรื่องนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด เดินทางกันต่ออีกสามวันพวกเราก็มาถึงเมืองหนิงเซียน โชคดีที่ท่านพ่อทำป้ายประจำตัวให้พวกเราสามพี่น้องแล้ว ส่วนลุงเฉินก็มีป้ายประจำตัวเช่นกัน การเข้าเมืองจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย เมืองหนิงเซียนเป็นเมืองทางใต้ของแคว้นเสวี่ยน อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นช่วงหน้าร้อนแล้วก็ตาม แต่ลุงเฉินบอกว่าถึงหน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะตกแต่ไม่บ่อยและก็ไม่หนักเท่าที่เมืองหลวง เพราะเมืองนี้อยู่ติดกับแคว้นหวง ซึ่งมีอากาศเย็นสบายตลอดปี เมื่อเข้ามาในเมืองแล้วลุงเฉินจึงพาไปพักที่โรงเตี้ยมหวงซาน เป็นโรงเตี้ยมที่มีทั่วแผ่นดินซื่อหลิงนี้เลยทีเดียว กิจการที่มีคำขึ้นต้นว่าหวงล้วนมั่นใจได้เพราะเป็นกิจการของแคว้นหวงที่มีมายาวนานนับหมื่นๆปี เมื่อติดต่อเรื่องห้องพักได้แล้วพวกเราจึงแยกย้ายกันเข้าพัก โดยข้าให้สองแฝดมานอนด้วยกัน ที่ดินแดนนี้ไม่เคร่งครัดเรื่องชายหญิงมากนัก อีกทั้งเด็กทั้งสองก็พึ่งจะหกขวบย่างเจ็ดขวบเท่านั้น ยังถือเป็นเด็กน้อยอยู่เลย เมื่อขึ้นมาบนห้องพักข้าก็ให้เด็กน้อยทั้งสองจัดการอาบน้ำเสียก่อน ซึ่งเด็กทั้งสองก็สามารถจัดการอาบน้ำแต่งตัวได้ด้วยตนเอง และยังบอกว่าข้าสอนให้พวกเขาทำเองมาตั้งแต่ห้าขวบ ช่างเป็นพี่สาวที่มองการไกลเหลือเกิน ระหว่างที่รอเด็กน้อยทั้งสองอาบน้ำ ข้าก็ลงไปสั่งอาหารรอเพื่อจะได้ให้ทั้งสองกินก่อนแล้วค่อยเข้านอน เพราะตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้ว ข้ายังแบ่งเวลาของที่นี่ไม่ถูกแต่ลุงเฉินบอกว่ามีนาฬิกาบอกเวลาที่แคว้นหวงทำขาย พรุ่งนี้จะไปซื้อมาให้เอาติดตัวไว้จะได้รู้เวลา แคว้นหวงนี่น่าจะมีคนทะลุมิติมาแน่ๆ ทั้งแหจับปลา และนาฬิกา อยากรู้ว่าจะมีอะไรอีกบ้างจัง ***********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD