บริรักษ์เดินเข้ามาใกล้ทันทีและกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูเขา นั่นทำเอาคนฟังตาวาวขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะหันกลับมาจ้องเธอเขม็ง
นั่นทำให้ข้าวหอมเริ่มมองซ้ายมองขวาอย่างไม่ไว้ใจสถานการณ์ ที่จริงเธอควรหนีไป แต่นี่อยู่ในที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน เขาคงไม่หน้ามืดแบบเมื่อคืนหรอกมั้ง แต่ทว่า
มือหนาคว้าหมับที่ข้อมือน้อยของเธอ ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินไปตามทางที่เขาต้องการจะไป ไม่สนใจว่าอีกคนจะตกใจมากแค่ไหน
“คุณจะพาข้าวไปไหน ปล่อยข้าวนะ”
“เงียบเถอะน่า ถึงแล้วก็รู้เอง”
เขาลากดึงเธอไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวาย ไม่สนด้วยว่าเธอจะก้าวทันขายาวๆ ของเขาไหม หรือจะเดินส้นพลิกหกล้มหรือไม่
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ คนนิสัยไม่ดี มีเมียแล้วยังมาทำทะลึ่งกับเค้า ข้าวไม่ใช่ดอกไม้ริมทางนะ จะเด็ดจะหิ้วไปไหนก็ได้ตามใจชอบ”
คนไม่ใจดีเหมือนหน้าตาชะงักเท้า ก่อนจะหันมาจ้องเธอ เพียงครู่ก็ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ไม่ตอบโต้อะไร มีเพียงข้าวหอมที่ตอบโต้เขาได้ทางวาจา แต่ทางกายกลับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้สักอย่าง ต้องถูกเขาลากจูงมาขึ้นรถคันใหญ่ พร้อมกับที่คนของเขาก็ขับแล่นออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว...
“คุณพาข้าวมาที่นี่ทำไมคะ”
หันไปถามเขา เมื่อไม่เข้าใจเจตนาของผู้ชายคนข้างๆ เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้นเขาทำมันไปเพื่ออะไร เมื่อไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย ข้าวหอมจึงได้เอ่ยถามต่อ
“นี่ที่ทำงานของคุณเหรอคะ ข้าวเคยขับรถผ่านตึกนี้ตั้งหลายครั้ง”
“......”
“ดูหรูหราจัง”
ดวงตากลมโตยิ่งเบิกโตประกอบคำพูดเมื่อเดินเข้าไปด้านในอาคาร ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
“ทำไมไม่มีโต๊ะทำงานอะไรเลยอะ”
ที่ข้าวหอมเห็นคือมีแต่คนนั่งทำงานตรงมุมนั้นมุมนี้บนโซฟาคุณภาพดีที่น่าจะนุ่มมากกับแล็ปท็อปประจำตัวของใครของมัน บางคนก็เกาะกลุ่มยืนคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่เหมือนกำลังทำงานกันเลยสักนิด และดูเหมือนจะมีใครหลายๆ คนรู้จักเธอ เมื่อเห็นเธอถูกจับจูงเข้ามาพร้อมกับเจ้าพ่อคนนี้ ทุกคนต่างก็หยุดชะงักกิจกรรมที่กำลังทำกันทั้งหมดทันที
“เขามองข้าวกันหมดแล้ว เพราะคุณคนเดียวเลย”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน” ชายหนุ่มโต้กลับอย่างไม่ยี่หระ
ทำเอาคนฟังรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า...แค่ประโยคแรกก็กวนตีนแล้ว!
“ถ้าพรุ่งนี้มีคนเขียนข่าวด่าข้าวนะ ข้าวจะฆ่าคุณ”
“มีข่าวกับฉันสิเป็นวาสนาของเธอ”
“ข้าวไม่ได้อยากเป็นข่าวกับคุณนี่” ต่อว่าเขาหน้าเง้าหน้างอ เขาคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสนักหรือไง
“หึๆ”
“ไปไหนอีกคะ”
ถามไปก็ไร้คำตอบ เมื่อตอนนี้ข้าวหอมถูกบังคับให้เข้ามาอยู่ในลิฟต์กับเขา ใช้เวลาแป๊บๆ ก็ขึ้นมาถึงชั้นยี่สิบห้า เดินเลี้ยวมาก็เจอกับห้องทำงานส่วนตัวโอ่อ่า มีเลขานุการแสนสวยนั่งประจำที่ พอเห็นเจ้านายเดินมาก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ
ข้าวหอมมองซ้ายมองขวาอย่างสนใจ เธอไม่เคยเข้ามาในตึกนี้ ไม่นึกเลยว่าภายนอกที่ดูดี พอเข้ามาอยู่ในนี้ยิ่งดูดีกว่าเป็นร้อยเท่า แอบมองป้ายชื่อหน้าห้องเขาได้ทันพอดี
ศิลา วัฒนาวงศ์อเนกอนันต์
นามสกุลหรือกลอนสุภาพ ยาวได้อีก!
พอเขาพาเธอเข้ามาในห้องทำงานได้ พวกบอดี้การ์ดทั้งหมดก็เดินออกไป รวมทั้งคนหล่อๆ ที่น่าจะเป็นหัวหน้าเหล่าการ์ดทั้งหมดนั้นด้วย
เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง ข้าวหอมก็หันไปต่อว่าคนที่ทิ้งเธอให้ยืนโด๋เด๋กลางห้องกว้าง ส่วนเขาเดินไปนั่งสง่าผ่าเผยบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“คุณพาข้าวมาที่นี่ทำไมคะ...คุณศิลา”
เหมือนเขาจะชะงักมือที่กำลังจะหยิบแฟ้มงานมาอ่าน แต่แล้วก็เหมือนเดิม นิ่งไม่สนใจ ปล่อยให้เธอพูดไปคนเดียว
“งานเยอะหรอ”
ข้าวหอมเดินมาเลียบๆ เคียงๆ ถามเขา ด้วยเห็นปริมาณแฟ้มที่วางบนโต๊ะแล้วยอมรับว่าทึ่ง ราวๆ สามสิบแฟ้มได้ ทุกแฟ้มติดด่วน ด่วนมาก และด่วนที่สุด แล้วแต่กรณีอีกด้วย
“ใช่”
“ชอบเหรอคะ ทำงานเยอะๆ”
“ไปนั่งรอที่โซฟา อย่ามาวุ่นวายตรงนี้” เขาดุเสียงห้วน
“คนบ้า ไม่อยากให้วุ่นวายแล้วพาเค้ามาทำไมเล่า ฮึ!”
ข้าวหอมสะบัดก้นเดินห่างออกมาจากเขาทันทีที่โดนต่อว่า ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับทำหน้าบูดหน้าบึ้ง จากนั้นก็หยิบนิตยสารต่างๆ ที่วางตรงนั้นมาเปิดอ่านเล่นฆ่าเวลา
เพียงครู่สักราวๆ สองนาทีได้ มีเสียงเคาะประตู แล้วเลขาฯ สาวของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร วางเสิร์ฟให้ข้าวหอมเสร็จก็เดินจากไปอย่างรู้หน้าที่
ข้าวหอมหันไปมองเจ้าของห้อง เห็นเขากำลังขะมักเขม้นอยู่กับแฟ้มบ้าแฟ้มบอนั่นแล้วก็สะบัดหน้ากลับมามองของว่าง มีชาเขียวร้อนและผลไม้ตัดแต่งอย่างประณีตน่ากินมากเลยทีเดียว
จับส้อมขึ้นมา ก่อนจะจิ้มแตงโมเข้าปากอย่างไม่มีอะไรจะทำ แต่แล้วใบหน้าที่บูดบึ้งก็พลันเปลี่ยนเป็นเริงร่า ด้วยว่าผลไม้อร่อยกินเพลินเหลือเกิน
จิ้มๆ แป๊บๆ ก็หมดจาน ซดชาเขียวร้อนโฮกๆ ไม่มีความเป็นกุลสตรี สุดท้ายทุกอย่างก็หายกลายเป็นอาหารว่าง คือไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้กินอีกแล้ว
พอเริ่มอิ่มข้าวหอมก็เริ่มวุ่นวายอีก อาจเพราะตอนแรกเธอมัวแต่หงุดหงิดที่โดนเขาลากถูมาที่นี่จนลืมนึกคิดว่าเครื่องปรับอากาศในห้องนี้เย็นมาก ตอนนี้พอไม่มีอะไรให้ทำก็เริ่มขนลุกเพราะความหนาวแล้ว