ตอนที่ 4

1380 Words
รองใต้ร่างของเธอและเขา แลเห็นสายรุ้งรำไร ดวงดาวผุดพราย และสะพานทอดยาวไปสู่ประตูสวรรค์คล้ายภาพลวงตา พร่าเลือนอยู่ตรงหน้า หากความรู้สึกก็สัมผัสได้ถึงความมีอยู่จริงของมัน           เดลรีบเร่งจังหวะเพื่อส่งเธอไปสู่อีกความรู้สึก หล่อนส่งสัญญาณด้วยการจิกปลายเล็บจนเจ็บเนื้อ ทว่าเดลก็เต็มใจที่จะรับความเจ็บปวดนั้นไว้ กระทั่งเสียงหายใจของเธอและเขาขาดหายไปเป็นห้วงๆ กระท่อนกระแท่นเหมือนหัวใจจะขาด จากนั้นไม่นาน โซเฟียก็เป็นฝ่ายปลดปล่อยเสียงครางยาวออกมาก่อน แผ่วเบาจนเกือบกลืนกลบไปกับเสียงลมที่พัดอื้ออึงอยู่ภายนอก ในหูของเธอได้ยินแต่เสียงบทเพลงที่บรรเลงจากเครื่องดนตรีอันประกอบขึ้นด้วยเนื้อกระทบเนื้อ เดลเหมือนคนอดอยาก ทุกรอยประทับของเขาที่ฝากเอาไว้ จึงแน่นหนักจนริมฝีปากของเธอเผยออ้า กัดเม้มกลีบปากของตัวเองไปมา พยายามกลืนเสียงครางลงลำคอไปช้าๆ มือน้อยๆไขว่คว้าได้แต่ต้นคอหนาและแผ่นหลังเรียบลื่นชื้นเหงื่อของเขา มือสากใหญ่ของเดลคลึงเคล้าเต้าทรวงสล้างทั้งสองข้างของเธอ บีบจนหนั่นเนื้อปูดปลิ้นออกมาตามช่องว่างระหว่างซอกนิ้ว สลับกับก้มลงเชยชมทั้งซ้ายขวา นึกในใจว่าไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตนี้ ที่เขารู้สึกอิ่มหนำในเนื้อหนังมังสาของเธอถึงเพียงนี้           อยู่ๆ…ในจังหวะที่เสียงหัวเตียงกำลังกระทบกระแทกผนังอยู่นั้น เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงที่เดินร้องเพลงเข้ามาช้าๆด้วยอาการเริงร่าอารมณ์ดี ก็ดังแว่วมาจากหลังครัว           “แม่คะ…ทำอะไรอยู่คะ หม้อไหม้หมดแล้วค่ะ”           ซาบรีน่าทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นซุปข้าวโพดที่แห้งกรังอยู่ในหม้อ กลิ่นไหม้ลอยกรุ่นไปทั้งหลังครัว แลเห็นควันสีขาวพวยพุ่ง กระเจิงกระจาย คลุ้งอยู่ในบรรยากาศใกล้ค่ำ ลอยขึ้นสู่เพดานครัวที่เต็มไปด้วยเขม่าฟืนจับเป็นคราบอยู่ใต้หลังคาสังกะสีเก่าคร่ำ   โซเฟียตกใจ รีบผลักร่างของเดลที่คว่ำหน้า หายใจรวยริน รดซอกคอของเธออยู่           “ฉันรักเธอ” เดลซึ่งอยู่ในอาการของคนที่ยังไม่หมดความในใจ รีบกล่าวคำนั้นออกมา ราวกับกลัวว่าชายอื่นจะชิงตัดหน้าเขาเสียก่อน อยากให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เขาและเธอได้ทำร่วมกัน มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการและความอ้างว้างเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากความรัก เดลครุ่นคิดอยู่ในใจว่าอีกสองเดือนข้างหน้า เมื่อเสร็จงาน…เขาจะรีบกลับมาขอเธอแต่งงานทันที            “…….” โซเฟียไม่ได้กล่าวอะไร เธอนิ่งเหมือนทุกครั้งเมื่อเดลเอ่ยถึงความรัก จากนั้นจึงรีบคว้าเสื้อมาใส่           เดลพลิกร่างเปลือยล่อน นอนหงาย พ่นลมหายใจรวยริน รู้สึกโปร่งโล่ง สบายเนื้อสบายตัวขึ้นนมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนเรือสำราญลำใหญ่ได้แล่นเข้าจอดเทียบท่า รอให้คลื่นลมแห่งความปรารถนาค่อยๆสงบลง ขณะปลายจมูกยังได้กลิ่นสวาทคละคลุ้ง เหลือบสายตามองตามสะโพกผายของโซเฟียที่สะบัดผ่านประตูห้องออกไปด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยหยัดร่างขึ้นนั่ง ก้าวเดินไปที่ท้ายเตียง ก้มลงคว้ากางเกงที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมาสวมใส่ สวมเสื้อ แล้วก้าวออกมาจากห้องนอน เดินตามโซเฟียไปที่หลังครัว           “ลุงเดล” น้ำเสียงหวานใสของเด็กหญิง ตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่น ประกายตาสดใสบ่งบอกถึงความดีใจที่เห็นเขายังไม่กลับ           “ได้ขนมสมใจแล้วละสิ” เดลส่งยิ้มตอบซาบรีน่า           เด็กหญิงทำหน้าเป็น หันมาอวดลูกกวาดที่เพิ่งไปซื้อมาจากร้านขายของชำ โซเฟียรีบยกหม้อซุปที่เคี่ยวข้นจนไหม้ ลงจากเตาไฟ ทอดสายตามองดูอาหารมื้อค่ำ ซึ่งเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวที่มี จากนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ           “วันนี้คงต้องกินซุปไหม้แล้วหละลูก” น้ำเสียงของโซเฟียเต็มไปด้วยความสำนึกผิด เธอไม่ควรเร่งรีบไปกับเดล ไม่ควรเผลอเลอถึงเพียงนี้ แต่ดวงตาของซาบรีน่าก็ไม่ได้แสดงความผิดหวังแต่อย่างใด ท่าทางของเธอสนใจขนมที่เพิ่งซื้อมา มากกว่าซุปไหม้ที่แม่กำลังบ่นถึง           เดลก้าวออกมาทันเห็นภาพ และได้ยินประโยคที่โซเฟียกล่าว             “ใครว่ามื้อนี้จะมีแต่ซุปไหม้?...” เขาเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ดวงตาของเขายิ้มได้           ซาบรีน่าทำตาโต ราวกับคาดเดาได้ว่าเดลหมายถึงสิ่งใด           “หมายความว่ายังไงคะ…ลุงเดล” คิ้วน้อยๆขมวดมุ่น ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ           เดลยิ้มแทนคำตอบ ปล่อยให้ซาบรีน่ามองตามร่างสูงใหญ่ของตน เดินลับหายไปที่หน้าบ้าน ตรงไปยังม้าซึ่งผูกล่ามเอาไว้ ชั่วอึดใจก็แลเห็นร่างสูงใหญ่ ก้าวไหวๆกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษสีน้ำตาลในมือ           “ลุงเดล…”           ซาบรีน่าร้องเสียงดังด้วยความดีใจ กระโดดโลดเต้นพร้อมกับวิ่งเข้าไปรับขนมปังในถุงกระดาษสีน้ำตาลจากมือของเดล มาอุ้มเอาไว้ด้วยมือน้อยๆของเธอเอง           ตอนมาถึง เดลรีบร้อนจนลืมของฝาก           หลังอาหารค่ำซึ่งดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แววตาของซาบรีน่าดูมีความสุขกว่าทุกวัน…ในวันที่ครอบครัวอยู่เกือบพร้อม ทั้งตัวเอง แม่ และลุงเดล           แม้เดลจะไม่ใช่พ่อ หากทุกครั้งที่เดลมา ซาบรีน่าก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด บางทีซาบรีน่ารู้สึกอบอุ่นมากกว่าตอนที่คีธซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของเธออยู่ด้วยซ้ำ             ที่หน้าบ้าน โซเฟียทอดกายอยู่บนเก้าอี้ไม้สีซีดเก่า สายตาเหม่อลอยไปที่หน้าฟาร์ม ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดโรยตัวไปทั่วทุกหัวระแหงของฟาร์ม โลกที่ไร้แสงสว่าง ช่างดูหดหู่ ซึมเซา ไม่ว่าจะกวาดสายตามองไปทางไหน ยิ่งรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยว ราวกับว่าชีวิตของเธอและลูกกำลังถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง           โซเฟียรำพึงออกมาเป็นเสียงถอนใจเบาๆ   เดลเดินมาทันได้ยิน เขาทรุดร่างสูงใหญ่ลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่าง มองดูเธอทอดสายตาอาลัยให้กับผืนฟาร์มที่กำลังจะร้างลงในเร็ววัน           แม้เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขมาได้ไม่นาน ทว่าเดลก็จับความรู้สึกเศร้าที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตาคมประกายของโซเฟียได้ อดไม่ได้ให้นึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินว่า ‘ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน’           “มีข่าวเศร้า...เรื่องคีธ”  เขาเปรยขึ้นลอยๆ สายตาห่วงใยลอบชำเลืองรอดูว่าเธอจะทำสีหน้าเช่นไร           เดลนิ่งรออยู่ชั่วครู่ ฆ่าเวลาในช่วงสั้นๆด้วยการควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางลงบนโต๊ะ           โซเฟียดึงบุหรี่ในซองที่เดลเพิ่งวางเอาไว้ออกมาจุดสูบ ทั้งที่จริงเธอสูบไม่เป็น แต่ทำไปเพียงต้องการประชดประชันชีวิตมากกว่า           เดลแปลกใจที่เห็นเธอไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายกับข่าวของคีธผู้เป็นสามี แต่เขาก็ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่ได้ยินมาจากนายอำเภอ           “มีคนลือกันว่ามีการดักปล้น” “ที่ไหน” เธอถาม น้ำเสียงไม่ได้แสดงอาการอยากรู้นัก “ที่คิมเบอร์เลย์ เกิดเหตุยิงกันตายนั่น” เดลบอก มองดูโซเฟียสำลักควันบุหรี่ค่อกแค่ก ก่อนจะเอื้อมเขี่ยก้นบุหรี่ลงในขวดน้ำอัดลมที่มีก้นบุหรี่เก่าๆของเดล ทับถมกันอยู่ในนั้น           คีธเป็นสามีของโซเฟีย เขาหายสาบสูญไปเกือบปี ภายหลังจากรับงานไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์จากนายทุนคนหนึ่ง เพื่อจะย้ายฝูงสัตว์ไปยังที่ราบสูงคิมเบอร์เลย์ แต่มีข่าวน่าเศร้าออกมาในภายหลังว่าการเดินทางในครั้งนั้น กองคาราวานที่มีคีธร่วมอยู่ด้วย ถูกกองโจรดักปล้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD