แต่จางเหนียนก็ตั้งใจว่าจะเก็บมันไว้ก่อน อย่างน้อยก็อาจได้ใช้ประโยชน์จากมันในอนาคต
“ข้าชอบมากเลยต่างหาก” นางยิ้มตอบทั้งที่ในใจคิดไปในทางที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
คำตอบที่ได้ยินส่งผลให้จางอวี้สับสนมากกว่าเดิม “ในเมื่อเจ้าชอบ แล้วเหตุใดจึงทะเลาะกันเล่า”
“เพราะจางลี่ชอบหลี่เฉิงถิง” ถึงอย่างไรเสียนางก็บอกหลี่เฉิงถิงไปแล้ว พวกเขาทั้งสองเป็นสหายที่สนิทใกล้ชิด ดังนั้นก็ควรทราบเรื่องให้ตรงกันจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง “ท่านก็รู้ดีว่านางไม่ชอบข้าเป็นทุนเดิม ข้าจึงอยากหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเรื่องกับนาง”
จางอวี้นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย คล้ายนึกไม่ถึงว่าสาเหตุจะมาจากเรื่องนี้ “เจ้าทำตัวห่างเหินใส่เฉิงถิงก็ด้วยเหตุนี้เองหรือ”
นางพยักหน้า “ใช่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้...” ชายหนุ่มเอามือลูบคาง “ทีแรกที่เจ้าเรียกเฉิงถิงว่า ‘คุณชายหลี่’ ก็ยามที่จางลี่อยู่ด้วย และช่วงที่เจ้าทะเลาะกับเขาก็เป็นช่วงที่จางลี่เองก็อยู่ในงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน”
คุณชายใหญ่แห่งคฤหาสน์เชื่อมโยงเรื่องราวทุกอย่างเองเสร็จสรรพ รู้สึกว่าคำอธิบายของนางกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูสมเหตุสมผลกันดี โดยไม่รู้เลยว่ามันหาใช่เหตุผลที่แท้จริงไม่
“หากไม่ใช่ยามที่อยู่ต่อหน้าจางลี่ เจ้าก็จะทำตัวเหมือนเดิมใช่หรือไม่ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับเฉิงถิง เขาจะได้เข้าใจว่าที่เจ้าทำไปก็เพราะมีเหตุจำเป็น”
จางเหนียนส่ายหน้า “ไม่... ข้าคิดว่าหลังจากนี้ข้าควรรักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับเขาอย่างจริงจัง”
สีหน้าของผู้ฟังแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง “เหนียนเหนียน เจ้า...”
“พี่ชายใหญ่ ข้าถึงวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว หลังจากนี้หากท่านพ่อหมั้นหมายและแต่งข้าให้กับผู้ใด ข้าย่อมไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ดังนั้นหากสามีในอนาคตของข้ามารู้เอาภายหลังว่าข้าสนิทสนมกับบุตรชายของท่านแม่ทัพหลี่เข้าก็คงไม่สบายใจ” ใบหน้างามที่เชิดขึ้น ส่งผลให้จางอวี้เห็นภาพสะท้อนของตนเองบนดวงตาดอกท้อคู่สวย “พี่ชายใหญ่เองก็เป็นบุรุษ หากท่านทราบมาว่าฮูหยินหรือคู่หมั้นของท่านสนิทสนมกับบุรุษอื่นก็คงไม่สบายใจเช่นกันใช่หรือไม่”
จางอวี้อ้าปากคล้ายจะพูดบางสิ่ง ทว่าสุดท้ายกลับเถียงไม่ออก เนื่องจากสิ่งที่จางเหนียนพูดออกมานั้นเป็นจริงทุกประการ
ต่อให้ในอนาคตข้างหน้าเขาจำเป็นต้องแต่งงานกับสตรีที่ไม่ชอบ แต่หากเขาทราบว่านางเคยสนิทสนมกับชายอื่นมาก่อนก็คงอดไม่ได้ที่จะระแวงสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่มีต่อกัน
ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากให้หลี่เฉิงถิงถูกน้องสาวหมางเมินใส่ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากให้จางเหนียนมีปัญหาครอบครัวกับสามีในอนาคต
“แล้วถ้าหากเจ้าแต่งกับเฉิงถิง...”
“ไม่มีทางเจ้าค่ะ” จางเหนียนปฏิเสธทันทีแบบไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะไม่แต่งเข้าบ้านสกุลหลี่เป็นอันขาด”
จางอวี้ฟังถ้อยคำยืนกรานหนักแน่นของหญิงสาวก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาตรงๆ ที่ผ่านมาเขาคิดมาเสมอว่าน้องสาวพึงใจในตัวสหายของตนเสียอีก ก็นางเล่นเขินหน้าแดงและอายม้วนอยู่เป็นประจำ การกระทำอย่างโจ่งแจ้งแบบนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ต้องมองไปในทางเดียวกันทั้งนั้น
“เหนียนเหนียน มิใช่เพราะว่าจางลี่ชอบเฉิงถิง เจ้าจึงไม่อยากแต่งงานกับเขาหรอกใช่ไหม”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจางลี่เจ้าค่ะ”
“แล้วเฉิงถิงไม่ดีตรงไหน”
นางหลุบตามองต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงจากการสบตาพี่ชาย “เพราะเขาดีเกินไป ข้าจึงต้องรู้จักประมาณตน”
“เฮ้อ!” จางอวี้ถอนหายใจพลางเกาศีรษะแกรกๆ “เอาละ ข้าไม่ยุ่งเรื่องของพวกเจ้าแล้วก็ได้ แต่ว่า...หากเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาข้าเมื่อไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ พี่ชายคนนี้ก็พร้อมจะให้คำปรึกษาเจ้าทุกเมื่อ”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยอมถอย จางเหนียนก็ลอบยิ้มออกมาอย่างเบาใจ นางไม่อยากให้จางอวี้ต้องมากลุ้มใจเพราะตนเอง เพราะชีวิตนี้นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนที่นางรัก
“พี่ชายใหญ่ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากบอกท่าน”
“มีเรื่องอันใดอีก” คุณชายใหญ่ของคฤหาสน์ถามด้วยใบหน้างอง้ำ เนื่องจากยังอารมณ์ติดค้างกับสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันมาก่อนหน้านี้
จางเหนียนขยับตัวเข้าไปยืนข้างๆ เอามือกอดแขนพี่ชายอย่างสนิทสนมพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปั้นแต่งให้ดูน่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้ารักพี่ชายใหญ่ที่สุดเลย!”
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ยกมือกุมอกพลางเผยสีหน้าปวดร้าว “ฮึก!”
จางเหนียนเห็นอาการของอีกฝ่ายแปลกๆ ก็รีบผละตัวออกห่าง “พี่ชายใหญ่ ท่านเป็นอันใดไป!”
“ข้า...ข้า...” ทันใดนั้นสีหน้าเจ็บปวดของจางอวี้ก็เปลี่ยนเป็นทะเล้น “ข้าปวดใจที่น้องสาวของข้าน่ารักเกินไปอย่างไรเล่า!”
เขากล่าวอย่างร่าเริงพร้อมหยิกแก้มนุ่มของนางเบาๆ ไปหนึ่งที
จางเหนียนอึ้งไปเล็กน้อย ตั้งแต่ผ่านการใช้ชีวิตอันยาวนาน เกิดและตายวนกันมาหลายครั้ง นี่คงเป็นครั้งแรกที่นางได้มีเวลามาพูดคุยหยอกเย้ากับพี่ชายผู้เป็นที่รักแบบนี้
หญิงสาวคิดพลางหัวเราะไปพร้อมกับจางอวี้ บรรยากาศรอบตัวคนทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น จนกระทั่งซีเซี่ยสั่งให้คนมาเรียกพวกนางให้กลับเข้าไปในงานเลี้ยง
ล่วงเข้าปลายยามอู่[1] งานพิธีปักปิ่นและเลี้ยงน้ำชาเสร็จสิ้น จางเหมาซึ่งเป็นเจ้าบ้านกับซีเซี่ยอยู่ส่งแขกเหรื่อจนจบงาน บนใบหน้าของฮูหยินสามประดับด้วยรอยยิ้มชวนมอง ส่งผลให้นางดูอ่อนเยาว์ใกล้เคียงกับวัยสาว ในระหว่างที่ร่ำลาแขกสามีคอยโอบเอวโอบไหล่แทบตลอดเวลา บ่าวไพร่และคนนอกต่างได้ประจักษ์เห็นตรงกันว่าซีเซี่ยเป็นฮูหยินที่จางเหมาชอบพอมากที่สุด และคาดว่าคืนนี้ชายวัยกลางคนคงไม่พ้นไปค้างแรมที่เรือนของฮูหยินสาม
ด้านจางเหนียนซึ่งเป็นตัวเอกเองก็งดงามโดดเด่น ไม่ว่าจะก้าวเดินไปทางใดก็มีแต่คนชื่นชมไม่ขาดสาย ยิ่งได้พูดคุยเสวนาก็รู้สึกว่านางอ่อนหวาน รู้จักพูดและรู้จักวางตัว เรียกได้ว่าลบภาพสตรีโง่งมที่เลื่องลือกันมาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องที่นางได้รับความสนใจจากหลี่เหอและหลี่เฉิงถิงซึ่งเป็นที่จับตามองของคนทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนจึงพากันคิดว่านางมีคุณสมบัติพรั่งพร้อมจนดึงดูดสายตาของคุณชายจากตระกูลใหญ่
จ้าวชวนอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชาด้วยหัวใจอันร้อนรุ่ม ตาถลึงมองซีเซี่ยที่ได้รับความรักจากสามีอย่างอิจฉาริษยา ส่วนหูซึ่งได้ฟังคำชื่นชมที่มีต่อจางเหนียนก็ให้เกิดความรู้สึกขัดหูขัดใจ ส่งแขกยังไม่ทันจบก็มุ่งหน้ากลับเรือนของตนเอง
ครั้นเห็นสาวใช้สองคนรออยู่ที่หน้าประตู ฮูหยินรองก็ออกคำสั่ง
“ช่วยถอดเครื่องประดับให้ข้า”
ทั้งสองหันมามองหน้ากัน พวกนางทำงานรับใช้จ้าวชวนมานานหลายปีย่อมมองว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ไม่ดี คาดว่าเหตุการณ์ในงานเลี้ยงคงไม่ได้เป็นดังที่จ้าวชวนวาดหวัง
“เจ้าค่ะ”
พวกนางค้อมศีรษะพลางรีบเดินไปเปิดประตูห้องนอน สตรีวัยสามสิบแปดทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างหงุดหงิดขณะมองเงาสะท้อนของตนเองบนบานคันฉ่อง ใบหน้าของนางจัดว่างดงามแต่ก็เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นตามวัยที่เพิ่มพูน ริมฝีปากสีแดงสดซึ่งคว่ำลงทำให้ดูเป็นคนเจ้าอารมณ์
ปิ่นล้ำค่าที่เสียบประดับบนศีรษะถูกสาวใช้ปลดออกอย่างนุ่มนวล เรือนผมเงางามปล่อยตัวลงมายาวจนถึงสะโพก ครั้นจ้าวชวนเริ่มสบายตัวก็เพิ่งนึกได้ว่าช่วงท้ายงานเลี้ยงน้ำชาตนไม่เห็นหน้าบุตรสาวเลย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหายไปอยู่ที่ไหน หากจะออกจากงานเลี้ยงก็ควรบอกลากันสักคำ
ซีเซี่ยกับจางเหนียนสองแม่ลูกเปรียบเสมือนหนามยอกอกที่ขัดหูขัดตามาช้านาน วันนี้จางเหนียนยังได้เปิดตัวอย่างโดดเด่นไร้ที่ติอีก หากจางเหนียนเป็นที่ต้องตาต้องใจของคุณชายตระกูลเป๋ยหลี่กับหนานหลี่เช่นนี้ แล้วบุตรสาวของนางยังจะเหลือคุณชายสกุลดีที่ไหนให้แต่งงานด้วยได้อีกเล่า!
น่าตายนัก!
ดวงตาของจ้าวชวนหรี่ลงเมื่อนึกถึงยาพิษที่เถาเมิ่งมอบให้ตน คิดว่าหากปรึกษาเรื่องนี้กับบุตรสาวก็คงไม่เสียหาย
ไวเท่าความคิด นางหันไปยังสาวใช้ข้างกาย “รีบไปตามตัวคุณหนูสามมาพบข้า”
ในระหว่างที่สาวใช้ออกไปเชิญจางลี่ที่เรือนของนาง จ้าวชวนก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับล้างหน้า แต่พอสาวใช้กลับมาตามลำพัง นางก็ถลึงตาใส่
“เจ้าหูหนวกหรืออย่างไร ข้าสั่งให้เจ้าไปเรียกตัวคุณหนูสามมิใช่หรือ!”
“ขะ...ข้าไปถึงเรือนของคุณหนูสามแล้วเจ้าค่ะ แต่สาวใช้ที่นั่นบอกว่า เวลานี้คุณหนูสามไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น”
ปัง!
จ้าวชวนตบโต๊ะเสียงดังลั่น “ไม่อยากพบใคร...แม้กระทั่งข้าน่ะหรือ!”
เจ้าของเรือนกล่าวจบก็ยกมือขึ้นมานวดคลึงที่ข้างขมับ รู้สึกเวียนหัวขณะที่ภาพเบื้องหน้าเริ่มส่ายไปมา
เหล่าสาวใช้ต่างงุนงงที่จู่ๆ จ้าวชวนซึ่งกำลังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงเปลี่ยนเป็นขาวซีด ไม่นานก็เบิกตาโพลงเมื่ออีกฝ่ายล้มตึงลงไปนอนที่พื้น
“ระ...รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า ฮูหยินรองหมดสติไปแล้ว!”
[1] ยามอู่ คือเวลา 11.00 – 12.59 น. ในปัจจุบัน