“เด็กดี” ฮูหยินสามลูบศีรษะของนางอย่างนุ่มนวล
เมื่อมั่นใจว่าตนได้ทักทายแขกทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางเหนียนก็ค่อยมีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของอาหารที่ปรุงมาอย่างพิถีพิถันในวันนี้
...พรุ่งนี้คงต้องไปชมเชยพ่อครัวเสียหน่อย
“เหนียนเหนียน!” จางอวี้มาถึงงานเลี้ยงค่อนข้างช้า บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจประดับกว้าง ด้านหลังมีบ่าวชายสองคนเดินตามพร้อมหอบของบางสิ่งที่ดูใหญ่เทอะทะ ทั้งยังหุ้มด้วยผ้าแดงทำให้มองไม่ออก
จางเหนียนสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันต่างจากอดีตจึงทำให้นางไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ชายคนโตคิดจะทำอันใด แต่มีความเป็นไปได้สูงว่ามันคงเป็นของขวัญวันเกิดที่เขาเตรียมไว้ให้นาง
นอกจากของขวัญที่หลี่เฉิงถิงมอบให้นางแล้ว จางเหนียนจำไม่ได้เลยว่าของขวัญชิ้นอื่นๆ ที่คนเคยมอบให้ตนในวันเกิดครบรอบสิบห้าปีมีสิ่งใดบ้าง ความรักช่างทำให้คนหูตามืดบอดได้อย่างน่ากลัว เปรียบเสมือนดาบสองคม
“อาอวี้ เจ้านำสิ่งใดมา” จางเหมาเอ่ยปากถามบุตรชายที่ยิ้มร่าไม่ยอมหุบ
“ท่านพ่อ นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ข้าเตรียมไว้ให้เหนียนเหนียน” ชายหนุ่มกล่าวจบก็ดีดนิ้วหนึ่งที ส่งผลให้บ่าวไพร่วางวัตถุขนาดใหญ่ลงบนพื้นห้อง เครือญาติที่มาร่วมงานต่างลุกออกมาจากที่นั่ง ยืนล้อมรอดูด้วยความสนอกสนใจ
ภาพคลุมสีแดงถูกจางอวี้กระชากดึงออกภายในคราเดียว เผยให้เห็นป้ายหินแกะสลักรูปดอกมู่ตันและเมฆา
อา...มันคือป้ายหินแกะสลักที่ประดับตกแต่งอยู่ในสวนหลังเรือนของนางในชีวิตก่อนนั่นเอง
ความจริงคนทั่วไปมักจะไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกหรือมีของใช้ที่เกี่ยวข้องกับดอกมู่ตัน เนื่องจากมันถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่สำหรับตระกูลจางนั้นเป็นข้อยกเว้นเพราะความร่ำรวยที่เกื้อหนุนราชวงศ์มาหลายรุ่น
จางเหนียนที่เพิ่งนึกขึ้นได้หันไปยิ้มหวานส่งให้จางอวี้ “ขอบคุณพี่ชายใหญ่เจ้าค่ะ”
ดอกมู่ตันเป็นบุปผาที่นางโปรดปรานมากที่สุด การแกะสลักแผ่นหินต้องใช้เวลานานเป็นเดือนๆ กว่าจะแล้วเสร็จ ย่อมเป็นของขวัญที่จัดเตรียมให้ด้วยความจริงใจ
จางอวี้สบตานางพลางเดินเข้ามาหา “ฮึๆ ชอบของขวัญของข้าหรือไม่”
หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลง หากเป็นสิ่งที่ผู้รักใคร่ห่วงใยนางตั้งใจเตรียมให้ มีหรือที่นางจะไม่ชอบ
“แม่เองก็มีของขวัญให้เจ้า” ซีเซี่ยหยิบถุงสีแดงที่มีขนาดเท่าฝ่ามือยื่นให้จางเหนียน “เหนียนเอ๋อร์ สุขสันต์วันเกิด”
นางรับของขวัญจากมารดาแล้วเปิดปากถุงออก พอเทสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาก็พบว่าเป็นแหวนวงหนึ่ง
ดวงตาดอกท้อของผู้มองกะพริบคราหนึ่ง ครั้นหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาสังเกตดูใกล้ๆ ก็เบิกตากว้าง
แหวนทองคำวงนี้ดูผิวเผินอาจเหมือนแหวนธรรมดาทั่วไป แต่ตรงหัวแหวนประดับด้วยอัญมณีสีแดงแปลกตาซึ่งหาไม่ได้ในดินแดนแคว้นฉิน
“ท่านแม่...แหวนวงนี้?”
“มันคือแหวนประจำตัวของแม่” ซีเซี่ยจับพวงแก้มนุ่มของบุตรสาวก่อนจะโน้มใบหน้ามากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน “หลังจากนี้แม่ไว้วางใจให้เจ้าดูแลสินเดิมก่อนแต่งงานของแม่ และหากแม่เป็นอะไรไป ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็จะตกเป็นของเจ้า”
คำยืนกรานจากปากของมารดา ส่งผลให้จางเหนียนรู้สึกปวดหน่วงๆ ขึ้นมาในอก
ซีเซี่ยคงเพิ่งตัดสินใจมอบของขวัญชิ้นนี้ให้นางหลังจากเห็นเหตุการณ์ในพิธีปักปิ่นเมื่อช่วงเช้า ในสถานการณ์ปกติ ทรัพย์สินเดิมของภรรยาจะตกเป็นของสามีหากอีกฝ่ายเสียชีวิต ทว่าการที่ซีเซี่ยมอบแหวนให้นางก็เท่ากับว่า จางเหนียนคือผู้สืบทอดสมบัติดังกล่าวและมีสิทธิ์ในมรดกส่วนนั้นอย่างถูกต้อง
ในชีวิตที่ผ่านมา หลังจากซีเซี่ยถูกวางยาพิษจนตาย จางเหมาก็ได้รับสินเดิมของภรรยาและเมินเฉยต่อบุตรสาวที่โง่เขลา แต่หลังจากนี้ ต่อให้ซีเซี่ยไม่อยู่แล้ว ผู้เป็นมารดาก็คาดหวังจะไม่ให้นางต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบาก
ขอบตาของจางเหนียนร้อนผ่าว โผเข้ากอดมารดาแน่น “ท่านแม่...”
ฮูหยินสามกอดตอบหญิงสาวพลางลูบหลังนางอย่างอ่อนโยน มิวายหันไปขยิบตาส่งให้จางอวี้ที่ยืนอ้าปากอึ้ง นึกไม่ถึงว่าของขวัญชิ้นเล็กๆ ของมารดาจะทำให้จางเหนียนดีใจมากกว่าของตน
“ท่านแม่ขี้โกง...”
ไม่ยุติธรรมเลย วันนี้มารดาถูกจางเหนียนโผกอดถึงสองครั้งสองหน เขาเองก็อยากโดนนางกอดบ้าง
“ฮ่าๆๆ” ซีเซี่ยผละอ้อมกอดจากบุตรสาวแล้วหันไปเอามือตบไหล่จางอวี้เบาๆ อย่างปลอบใจ
ภาพอันสนิทสนมของคนทั้งสามที่แสดงออกมาอย่างออกนอกหน้าอยู่ในสายตาของผู้คนในงานเลี้ยง ในใจมีความคิดมากมายแล่นผ่าน ก่อนที่ความสนใจของพวกเขาจะถูกดึงกลับมาที่จางเหมาซึ่งกระแอมไอเสียงดัง
“เหนียนเอ๋อร์” ชายร่างท้วมผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์เดินเข้ามาโอบไหล่บางของจางเหนียน “วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะปรารถนาอยากได้สิ่งใด ต่อให้ราคาแพงหรือหายากเพียงใด พ่อก็จะพยายามหามาให้เจ้า”
สิ้นเสียงของผู้เป็นบิดา บรรยากาศในห้องโถงตกอยู่ภายใต้ความเงียบ ทุกสายตาต่างเคลื่อนไปจับจ้องจางเหนียนเป็นตาเดียว
ตามธรรมเนียมของสกุลจาง เมื่อบุตรชายอายุครบยี่สิบปี และบุตรสาวอายุครบสิบห้าปี ผู้นำตระกูลซึ่งเป็นบิดาจะอนุญาตให้พวกเขาร้องขอสิ่งที่ต้องการหนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง เครื่องประดับ หรือแม้แต่ที่ดินสิ่งปลูกสร้างก็สามารถเนรมิตให้ได้
สายตาของจางเหนียนเคลื่อนไปจับจ้องจางเหม่ย พี่สาวคนโตของครอบครัวซึ่งกำเนิดจากฮูหยินสี่ เมื่อสองปีก่อนของขวัญที่จางเหม่ยร้องขอจากบิดาคือตำราโบราณที่วางประมูลในราคาอันสูงลิ่ว
หญิงสาวเจ้าของวันเกิดคิดพลางดึงสายตากลับมายังบิดา ในชีวิตแรก สิ่งที่จางเหนียนขอจากบิดาคือคำอนุญาตให้นางได้แต่งงานกับบุรุษที่ตนยอมรับ ทว่าสำหรับครั้งนี้ นางมีแผนการอยากได้ของขวัญที่แตกต่างออกไป
“สิ่งที่ข้าอยากได้...” นางหลบสายตาราวกับเด็กน้อยที่กำลังเขินอาย “ท่านพ่อรับปากว่าจะทำให้ปรารถนาของข้าเป็นจริงใช่ไหมเจ้าคะ”
“ด้วยเกียรติของสกุลจาง พ่อจะไม่ตระบัดสัตย์เป็นอันขาด” จางเหมายืนกรานเสียงหนักแน่น ต่อหน้าแขกเหรื่อและเครือญาติ เขาจะยอมให้ตนเองในฐานะผู้นำตระกูลต้องขายหน้าได้อย่างไร
“เช่นนั้น ข้าอยากให้ท่านพ่อเจียดเวลาว่างให้ข้าสักวันหนึ่งได้หรือไม่”
“เจียดเวลาว่าง?” ชายวัยกลางคนทวนอย่างมึนงงเล็กน้อย
“คือข้าอยากไปกินอาหารอร่อยๆ ชมการแสดงในโรงงิ้วและเดินเที่ยวชมเมืองกับท่านพ่อ...” จางเหนียนกล่าวจบก็ช้อนสายตามองบิดาอย่างออดอ้อน “ได้หรือไม่เจ้าคะ”
จางเหมาหรี่ตาพิจารณาจางเหนียนอย่างละเอียดลออ ครั้นเห็นอีกฝ่ายมองตนอย่างวาดหวัง ริมฝีปากก็ยกยิ้มเอ็นดู “โอกาสนี้มีเพียงครั้งเดียว เจ้าแน่ใจนะว่าเลือกใช้คำขอกับอะไรแบบนี้”
“ปกติท่านพ่อยุ่งมาก ทุกคนในคฤหาสน์ต่างก็รู้ดีกันทั้งนั้นว่าทุกลมหายใจของท่านมีค่ามากกว่าทองคำพันชั่ง ดังนั้นการที่ข้าได้รับโอกาสให้ใช้เวลาร่วมกับท่านพ่อถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากกว่าอะไรทั้งมวล”
การชมเชยยกยอปอปั้นเป็นสิ่งที่จางเหมาได้ยินมาจนชิน แต่เขาก็ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะฟัง ทั้งยังทำให้อารมณ์ดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“ฮ่าๆๆ ได้! ในเมื่อเป็นคำขอของเจ้า พ่อก็จะจัดการตารางงานเพื่อว่างเว้นมาอยู่กับเจ้าหนึ่งวันตามสัญญา”
จางเหนียนคลี่ยิ้มกว้าง “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านพ่อ!”
การมอบของขวัญตามธรรมเนียมของสกุลจางถือว่าได้ข้อสรุป ผู้คนทั้งหลายต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป
บ้างก็มองว่าจางเหนียนโง่เขลาที่ร้องขอเรื่องแบบนี้กับคหบดีที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง บ้างก็คิดว่าจางเหนียนอาจมีแผนการบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายหลัง