เจ็ด
รวมญาติ
แสงนวลจากเปลวเพลิงที่ถูกจุดขึ้นหลังข้ามผ่านช่วงตะวันตกดินส่องสว่างภายในเรือนฮูหยินรองแห่งคฤหาสน์สกุลจาง
จ้าวชวนที่เพิ่งรู้สึกตัวกะพริบตาถี่เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่าง ความรู้สึกปวดหัวในทีแรกบรรเทาลงเล็กน้อย ก่อนที่สายตาของนางจะปะเข้ากับร่างที่นั่งอยู่ข้างเตียงเป็นอันดับแรก
“ลี่เอ๋อร์...” นางเรียกบุตรสาวเสียงแหบ
ใบหน้างดงามของจางลี่เปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตา ดวงตาเรียวบวมเป่งไม่น่ามอง ชุดที่สวมใส่ยังเป็นชุดเดิมที่ขอยืมมาจากจางเหนียนในงานพิธีปักปิ่นช่วงเช้าที่ผ่านมา
นี่นางหลับไปนานเพียงใดกัน?
จ้าวชวนคิดพลางยื่นมือให้บุตรสาวช่วยประคองตนเปลี่ยนไปนั่ง สายตาจับจ้องไปที่บานหน้าต่างซึ่งเปิดแง้มให้ลมด้านนอกโชยเข้ามา ในความสงบของผืนฟ้ายามราตรีมีเสียงดนตรีจากงานเลี้ยงดังคลอมาพอให้ได้ยิน คาดว่าผู้คนในเรือนรับรองน่าจะกำลังสนุกสนานมากทีเดียว
“ลี่เอ๋อร์ แม่ขอโทษ...” นางกุมมือบุตรสาว “เพราะเจ้าอยากอยู่ดูแลแม่ เจ้าจึงไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานเลี้ยง”
จางลี่กุมมืออีกฝ่ายกลับพร้อมกับส่ายหน้าถี่ แม้ภายนอกนางจะพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง แต่ถึงอย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสี่ “ข้าไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยง!”
น้ำเสียงอันสั่นเครือที่ตอบกลับมา ส่งผลให้จ้าวชวนชะงัก นางรู้นิสัยของบุตรสาวดี สาเหตุที่จางลี่ไม่ไปงานเลี้ยงคงไม่ใช่เพราะเป็นห่วงนาง แต่มันเกิดจากสาเหตุอื่นต่างหาก
ครั้นพบว่าภายในห้องนอนไม่มีบ่าวรับใช้อยู่สักคน จ้าวชวนก็เอ่ยปากถาม “ผู้ใดกันที่กล้ารังแกเจ้า บอกแม่มาประเดี๋ยวนี้ แม่จะจัดการให้เจ้าเอง!”
จ้าวชวนกล่าวเช่นนั้นทั้งที่เสียงยังแหบแห้ง ความรักที่นางมีให้แก่บุตรสาวเพียงคนเดียวดุจท้องฟ้ามหาสมุทร
“คุณชายหลี่บอกว่า...ฮึก!” จางลี่โผกอดมารดาขณะที่น้ำตาไหลพราก “ให้ข้าเลิกหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
“อะไรนะ! แค่กๆ!”
“ทะ...ท่านแม่” เด็กสาวได้ฟังมารดาไอออกมาเสียงดังก็ตกใจจนผละตัวออกห่าง “ข้า...ข้าจะสั่งให้บ่าวเรียกท่านหมอมาตรวจดูอาการของท่าน”
ร่างบนเตียงยกมือปิดปากพลางส่ายหน้า “แม่ไม่เป็นไร เพียงแค่คอแห้งเล็กน้อยเท่านั้น”
“ข้าจะรินน้ำมาให้ท่าน” ผู้เป็นบุตรสาวเดินตรงไปที่โต๊ะกลม สาวใช้เพิ่งนำน้ำชามาเปลี่ยนให้เมื่อไม่นานมานี้จึงยังอุ่นอยู่ แต่เนื่องจากจางลี่มีคนรับใช้คอยทำให้จนเคยชิน นางจึงรินน้ำชาให้มารดาด้วยท่าทีงกๆ เงิ่นๆ สุดท้ายยังพลาดทำหกลงบนโต๊ะ
แทนที่จ้าวชวนจะมองว่าบุตรสาวของตนเองไม่เอาไหน นางกลับมองว่าการกระทำดังกล่าวนั้นน่าเอ็นดู
“ลี่เอ๋อร์ เรื่องแบบนี้เจ้าควรเรียกให้สาวใช้ทำให้จึงจะถูก หากน้ำหกลวกมือเจ้าจะทำอย่างไร”
“แต่ข้า...ข้าอยากทำให้ท่านแม่ด้วยตนเอง” นางกล่าวจบก็ยื่นถ้วยชาส่งให้มารดาพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงตามเดิม “ท่านแม่ คุณชายหลี่ยังพูดอีกว่า ข้าไม่ควรเป็นสตรีใจแคบ เอาแต่นึกถึงตนเองจนทำให้คนในครอบครัวที่รักข้าต้องลำบากใจ”
หลี่เฉิงถิงเป็นบุรุษที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นมิตรและใจดี แต่เขากลับทำร้ายน้ำใจของจางลี่อย่างโหดร้าย ไม่ใช่แค่หนเดียวแต่เป็นสองหน
จ้าวชวนดื่มชาเสร็จก็วางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง แม้จะโมโหที่บุรุษอื่นมาว่ากล่าวบุตรสาวของตน ทว่านางก็งุนงงอยู่ว่าบุตรชายท่านแม่ทัพกำลังกล่าวถึงผู้ใด
หลี่เฉิงถิงเป็นสหายสนิทของจางอวี้ หรือว่าเขาจะหมายถึงจางอวี้?
“คนในครอบครัวที่รักเจ้า คุณชายหลี่หมายถึงจางอวี้น่ะหรือ”
เนื่องจากจ้าวชวนแอบไปพบกับเถาเมิ่งในระหว่างที่หลี่เฉิงถิงกับจางเหนียนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในงานเลี้ยง นางจึงไม่ทราบว่าผู้ที่หลี่เฉิงถิงพาดพิง แท้จริงแล้วเป็นคุณหนูรองแห่งสกุลจางต่างหาก
“ท่านแม่ตาบอดหรือโง่เขลากันแน่เจ้าคะ!” จางลี่ตะเบ็งเสียงดังกว่าเดิมด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน “คุณชายหลี่หมายถึงสตรีแพศยาจางเหนียนนั่นต่างหาก!!”
ม่านตาของผู้ฟังหดลีบลง “จางเหนียน...เด็กโง่คนนั้นน่ะหรือ ลี่เอ๋อร์ ตกลงเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”
“นางแสร้งทำตัวเป็นคนโง่ต่อหน้าผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วนางคืออสรพิษร้าย” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “ในงานเลี้ยงนางใช้มารยายั่วยวนคุณชายหลี่ยังไม่พอ นางยังวางแผนทำให้คุณชายหลี่ทราบความในใจของข้า คุณชายหลี่ถูกนางมารล่อลวงจนหลงผิด เขาจึงมาปฏิเสธข้าเพื่อเอาใจนาง!”
นางเกลียด! เกลียดจางเหนียนเข้ากระดูกดำ!
“ท่านแม่...ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ให้ข้านะ!” จางลี่กล่าวเสียงสะอึกสะอื้น น้ำตาที่ไหลเปื้อนหน้าทำให้สภาพของนางแทบดูไม่ได้ “ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าจางเหนียนอีก ท่านจัดการให้นางแต่งงานกับคนเฒ่าตัณหากลับสักคน หรือหากเป็นขอทานยาจกไปได้เลยก็ยิ่งดี!”
ผู้เป็นบุตรสาวเรียกร้องกับจ้าวชวนอย่างเอาแต่ใจ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องใดขัดใจ จ้าวชวนก็มักจะจัดการให้นางเสมอ ดังนั้นจางลี่จึงเชื่อว่าครั้งนี้ผู้เป็นมารดาต้องกำจัดจางเหนียนให้ตนได้แน่
“นางมารสองแม่ลูกนี้ร้ายกาจด้วยกันทั้งคู่”
จ้าวชวนนึกถึงสามีที่กอดเอวซีเซี่ยตลอดเวลาที่ส่งแขกก็กัดฟันกรอด ปลอบประโลมบุตรสาวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่สายตาทอดมองออกไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าด้วยแววตาอันโหดเหี้ยม
“ไม่ต้องห่วงหรอกลี่เอ๋อร์ ในเมื่อจางเหนียนกล้ามารังแกเจ้า แม่ก็จะทำให้ชีวิตของนางต้องพังพินาศ ไม่จำเป็นต้องปรานีนางอีกต่อไป!”
ทางด้านหนึ่งสองคนแม่ลูกซึ่งพักอยู่ในเรือนกำลังผูกใจเจ็บแค้น ทางงานเลี้ยงสังสรรค์ยามราตรีเองก็มีบรรยากาศรื่นเริงสนุกสนาน กลิ่นฉุนของสุราและเสียงพูดคุยหัวเราะมีให้ได้ยินไม่ขาดสาย
ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม ภายในเรือนรับรองซึ่งจัดงานเลี้ยงน้ำชาเมื่อช่วงเช้าก็ถูกบ่าวไพร่เนรมิตให้กลายเป็นที่จัดเลี้ยงอาหารสำหรับมื้อค่ำ บนโต๊ะกลมทุกตัวปูด้วยผ้าสีแดงสด อาหารคาวหวานถูกวางเรียงรายละลานตา สุราเลื่องชื่อจากต่างเมืองถูกนำมารินเติมให้อย่างต่อเนื่อง
ภายในงานเลี้ยงมีโต๊ะใหญ่ทั้งหมดสามโต๊ะ โต๊ะเล็กอีกสี่โต๊ะ
โต๊ะใหญ่แรกเป็นของจางเหมาซึ่งเป็นเจ้าบ้าน คุณชายใหญ่ ฮูหยินสาม ฮูหยินสี่ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรอง
โต๊ะใหญ่ลำดับที่สองมีฮูหยินห้า ฮูหยินเจ็ด คุณชายรอง คุณชายเล็กกับคุณหนูเล็ก
โต๊ะใหญ่ลำดับที่สามเป็นที่นั่งของญาติลำดับอื่นๆ ในตระกูลจาง เป็นพี่น้องต่างมารดาของจางเหมาซึ่งแต่เดิมไม่ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลักในเมืองหลวง แต่ตั้งถิ่นฐานในเมืองต่างๆ เพื่อขยายกิจการการค้าของตระกูลจางในเขตแดนอื่นๆ ต่อ
ส่วนโต๊ะเล็กที่เหลือจะเป็นญาติของเหล่าฮูหยินทั้งหลายที่แต่งงานเข้ามาเกี่ยวดอง
เนื่องจากจ้าวชวน จางลี่กับฮูหยินหกไม่มาร่วมงาน โต๊ะใหญ่ทั้งสามจึงมีที่ว่างอยู่สี่ที่
สาเหตุที่คนหายไปสาม แต่กลับมีที่นั่งว่างเปล่าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่า จางเหมาให้เกียรติฮูหยินเอกที่ล่วงลับไปแล้ว กระทั่งจ้าวชวนซึ่งบัดนี้ควรเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นภรรยาเอกเพราะคอยจัดการดูแลความเรียบร้อยภายในคฤหาสน์ จางเหมาก็ยังสั่งให้คนเรียกนางว่า ‘ฮูหยินรอง’ เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนให้ความสำคัญกับภรรยาคนแรกซึ่งมาจากตระกูลซีมากเพียงไร
จางเหนียนสวมใส่ชุดสีส้มโดยตัดชายกระโปรงให้สั้นเท่าเข่า เสริมผ้าสีส้มที่อ่อนกว่าเป็นกระโปรงระบายยาวด้านใน เย็บระบายชายผ้าด้วยสีขาวบริสุทธิ์เพื่อให้ดูน่ารักสดใส และเย็บผ้าสีขาวอีกจำนวนหนึ่งเป็นบุปผาเล็กๆ เพื่อประดับตกแต่งชายกระโปรงและชายแขนเสื้อให้ดูเข้าชุดกัน
ฝีมือการดัดแปลงของหญิงสาวทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่ามันเป็นชุดเก่าที่นางไม่ได้ใส่มาปีกว่า
ในฐานะเจ้าของวันเกิด จางเหนียนไม่ค่อยมีเวลาได้กินข้าวเท่าไรนักเพราะต้องคอยลุกขึ้นคารวะญาติผู้ใหญ่ที่มาพร้อมกับของขวัญและคำอวยพร แต่ถึงกระนั้นบนใบหน้างามพริ้มก็มีรอยยิ้มบางประดับอยู่ตลอดเวลา แลดูเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของผู้อาวุโสกว่า
“ฮูหยินสามเจ้าคะ” สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาซีเซี่ยพลางกระซิบบอกบางอย่างด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ซีเซี่ยฟังตั้งแต่ต้นจนจบก็ตอบรับเสียงขรึม “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ท่านแม่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ” จางเหนียนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เหนียนเอ๋อร์” ซีเซี่ยลูบหลังนาง “ท่านตาของเจ้ากำลังส่งคนเดินทางมาร่วมอวยพรวันเกิดของเจ้าอยู่ เพียงแต่การเดินทางล่าช้าจึงยังมาไม่ถึง คาดว่าอีกสามสี่วันจึงจะได้พบหน้า”
นางไม่ต้องการให้จางเหนียนรู้สึกว่าครอบครัวฝ่ายมารดาไม่ได้ให้ความสำคัญกับตนเอง
“ข้าเข้าใจดีเจ้าค่ะ ท่านแม่” จางเหนียนยิ้มหวานส่งให้มารดา แน่นอนว่าตนไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไปคิดมาก
ท่านตาที่อยู่ในความทรงจำของนางในชีวิตที่สี่คือท่านตาที่เข้มงวด แต่แท้จริงแล้วเป็นผู้อาวุโสที่อ่อนโยนมากที่สุดที่นางเคยพบ