เมื่อลุงเจินแบกไม้ไผ่ลำใหญ่ๆ จำนวนหกลำมาวางไว้ที่ด้านหลังของบ้านแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวก็จัดการทำรางสำหรับเลี้ยงจิ้งโกร่งเช่นเดียวกับรางเลี้ยงจิ้งหรีด คราวนี้นางได้รางเลี้ยงจิ้งโกร่งจำนวน 3 ราง
“ท่านแม่ เราจะเลี้ยงจิ้งโกร่งด้วยหรือเจ้าคะ?” เด็กน้อยชะโงกหน้าเข้ามามองในรางที่ทำเสร็จแล้ว
ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มพลางลูบหัวบุตรสาวเบาๆ
“ใช่แล้วลูก ที่เราเลี้ยงทั้งจิ้งหรีดและจิ้งโกร่งเพราะเราต้องเผื่อเอาไว้”
“เผื่อเอาไว้ เผื่อเอาไว้อย่างไรหรือเจ้าคะ?” ฝูฟางหรงถามอย่างสงสัย
“เผื่อเอาไว้ว่าหากจิ้งหรีดหรือจิ้งโกร่งเลี้ยงแล้วไม่ได้ผล มันตายหมด เราก็ยังเหลืออีกหนึ่งอย่าง หรือถ้าเราเอาไปขายแล้วอาจจะมีบางอย่างขายดี หรือขายไม่ดี เราจะได้มีอีกอันสำรองเอาไว้ นี่คือความหมายของคำว่าเผื่อเอาไว้ แม่พูดไปตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไรนะ โตขึ้นเจ้าจะเข้าใจเอง”
“ข้าอยากโตเร็วๆ เจ้าค่ะ อยากช่วยท่านแม่ทำรางเลี้ยงจิ้งหรีดกับจิ้งโกร่ง”
ฝูเฟยเมี่ยวลูบหัวฝูฟางหรงเบาๆ ก่อนเอ่ยสอน
“เจ้าเก่งตั้งแต่ยังเล็กเลยลูกแม่ มีความตั้งใจดีตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ แม่จะบอกอันใดให้ ไม่ว่าวันข้างหน้าเราจะไปได้ไกลหรือไปได้สูงสักเพียงใด อย่าลืมตอบแทนผู้มีพระคุณเด็ดขาด อย่างท่านป้ากับท่านลุงเจินนี้ขาดไม่ได้ หากไม่มีพวกเขาเราสามแม่ลูกคงแย่”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” เด็กน้อยรับคำด้วยเสียงที่ใสปานแก้ว
เสียงใสๆ ของเด็กเล็กๆ เช่นนี้ทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งปานหินผาของฝูเฟยเมี่ยวอ่อนยวบลงได้ ต้องเป็นบิดาเช่นไรนะถึงตัดใจทิ้งลูกเล็กๆ ทั้งสองคนเช่นนี้ไปได้ เจ้าฉีห่าวซวนขุนนางกระจอก ฮึ!ปกติแล้วฝูเฟยเมี่ยวนั้นก็มิใช่คนที่จะชอบดูถูกดูแคลนผู้คนหรอกนะ แต่กับเจ้าอดีตสามีชั่วของเจ้าของร่างเดิมนี้นางขอยกเว้นคนหนึ่ง ด่าได้ก็ขอด่าเถอะ
หลังจากทำรางจิ้งโกร่งเสร็จแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวก็นำจิ้งโกร่งทั้งตัวผู้และตัวเมียมาเลี้ยงในรางทั้งสาม ขั้นตอนและวิธีการก็เหมือนกับการเลี้ยงจิ้งหรีด เพียงแต่จิ้งโกร่งนั้นจะใช้เวลาในการเติบโตช้ากว่า โดยใช้เวลาราวๆ50 วัน ในขณะที่จิ้งหรีดใช้เวลาเลี้ยงราวๆ1 เดือน ถึงเดือนครึ่ง
“เราจะต้องซื้อผ้าตาข่ายมาเพิ่ม เพื่อที่จะกันนกและจิ้งจกไม่ให้มากินจิ้งหรีดกับจิ้งโกร่งของเรา ฟางหรงมาดูนี่สิ ไข่ของจิ้งหรีดฟักเป็นตัวอ่อนแล้ว”
เมื่อผู้เป็นมารดากวักมือเรียกเด็กน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น
“โห!มันเป็นตัวเล็กๆ อย่างนี้หรือเจ้าคะ”
“ใช่จ้ะ อีกหน่อยมันก็โต และเราก็จะจับมากินได้ เจ้าเห็นหรือไม่เรามีตั้งหลายราง ถ้าจิ้งหรีดกับจิ้งโกร่งทั้งหมดนี้โตเต็มที่เราจะได้กินจนเบื่อ แถมยังขายได้อีก”
“ท่านแม่ของข้าเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยดีใจเมื่อได้ยินว่าจะได้กินจิ้งหรีดกับจิ้งโกร่งทุกวันจนเบื่อไปเลย เพราะก่อนหน้านี้อาหารที่นางได้กินเป็นเพียงข้าวต้มกับเศษปลาแห้งเท่านั้น
เวลานี้ฝูฟางหรงนั้นหลับอยู่ข้างๆ เปลของน้อง ทั้งเจ้าก้อนแป้งและพี่สาวต่างก็พากันกรนเสียงเบาๆ ฝูเฟยเมี่ยวมองดูแล้วทั้งให้นึกรักใคร่เอ็นดูและรู้สึกสะท้อนใจ
‘ข้าจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้พวกเจ้าเอง’ นางให้สัญญา
หญิงสาวจัดการนำปลีกล้วยที่เก็บมาได้ไปล้างและหั่นเป็นชิ้นพอหยาบๆ ส่วนขิงนั้นก็ล้างน้ำและปอกเปลือกออก จากนั้นนำมาหั่นหยาบๆ เช่นกัน ฝูเฟยเมี่ยวจัดการก่อไฟในเตาทั้งสองเตาแล้วต้มน้ำในสองหม้อ จากนั้นจึงใส่ปลีและขิงลงในหม้อคนละใบ จนกระทั่งน้ำเดือดปุดๆ นางจึงเปิดฝาหม้อและลองชิมรสชาติดู หลังจากนั้นก็นำผ้าขาวบางมากรองกากออก และนำน้ำต้มหัวปลีและน้ำขิงมาดื่มกินทั้งวัน นี่คือเคล็ดลับการเพิ่มน้ำนมแม่ที่นางได้เรียนรู้มาจากกองถ่ายละคร ต้องขอบคุณอาชีพในชาติภพที่แล้วสินะที่ให้ทั้งประสบการณ์และความรู้ที่หลากหลายกับนางที่นางสามารถนำมาใช้ในชาติภพนี้เพื่อเอาตัวรอดได้
“อาเมี่ยว วันนี้ข้าจะไปตัดไม้ไผ่เพิ่ม เจ้าอยากได้ไม้ไผ่อีกก็บอกข้าได้ อ้อ เห็ดหลินจือที่เจ้าเอาไปให้ป้าของพวกเจ้าวันนั้นนางก็ต้มให้ข้ากินด้วย กินแล้วรู้สึกว่ากำลังวังชาดี กระปรี้กระเปร่าดียิ่ง ฮ่าๆๆๆ”
เมื่อท่านลุงเจินพูดถึงเห็ดหลินจือก็ทำให้ฝูเฟยเมี่ยวนึกขึ้นมาได้ นางเกือบลืมไปเลย เห็ดหลินจือนั่นจะเรียกว่าบ่อเงินบ่อทองก็อาจจะไม่ผิดนัก หากว่านางสามารถเพาะเห็ดหลินจือแดงได้ คราวนี้นางและลูกๆ ก็จะรวยใหญ่เลย
“อ้อ ท่านลุงเจิน หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปนัก ข้าอยากได้ไม้ไผ่อีกสัก 10 ลำเจ้าค่ะ และจะขอจ้างงานท่านลุงมาช่วยข้าทำโรงเรือนด้วยจะได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าให้ค่าแรงท่านวันละ 30 อีแปะ ไม่ทราบว่าน้อยไปหรือไม่ หากท่านรู้สึกว่าน้อยไปก็บอกข้าได้นะเจ้าคะ”
“เจ้าจะทำโรงเรือนอะไรรึ?หรือว่าจะเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่” ลุงเจินถามอย่างสงสัย เขาเห็นว่าระยะหลังๆ มานี้ฝูเฟยเมี่ยวนั้นทำอะไรแปลกๆ หลายๆ อย่าง
“ข้าจะทำโรงเรือนปลูกเห็ดเจ้าค่ะ”
“อ้อ!เห็ดรึ น่าสนใจดีนี่” ลุงเจินนึกไปถึงเห็ดฟางและเห็ดหูหนู
“แต่ไม่รู้ว่ามันจะเพาะได้หรือไม่ ต้องลองดูก่อนเจ้าค่ะ”
“ดีๆ มีความคิดดีๆ ข้าชอบ แต่ว่าข้าไม่เอาค่าจ้างหรอก เราคนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไป”
ฝูเฟยเมี่ยวมีสีหน้ากระอักกระอ่วน นางคิดว่าตนเองรบกวนสองสามีภรรยามากเกินไป จึงอยากจะให้ค่าตอบแทนพวกเขาเป็นเงินบ้าง
“ข้าเกรงใจพวกท่านยิ่งนัก หากว่าท่านลุงไม่รับเงิน ข้าก็ไม่กล้าขอความช่วยเหลือหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะไปจ้างคนอื่น”
“ได้อย่างไรกัน ไปจ้างคนอื่นเขาอาจจะคิดราคาแพงกว่านี้ หรือไม่ก็อาจจะทำงานให้พอส่งๆ เอาเช่นนั้นก็ได้ เดี๋ยวข้าจะรับงานนี้ไว้เอง เจ้าจะได้สบายใจ”
ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มอย่างโล่งอก นางรู้ว่าสองสามีภรรยาสกุลเจินนั้นบางครั้งก็มีปัญหาเรื่องชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่บ้าง
โรงเรือนเพาะเห็ดหลินจือของฝูเฟยเมี่ยวนั้นมีขนาดราวๆ3 ผิง คูณ1 ผิง (1 ผิง = 3.33 เมตร) หลังคามุงด้วยไม้ตับหญ้าคาซึ่งลุงเจินทำเอาไว้จำนวนมาก แต่คราวนี้ลุงเจินบอกว่าไม่คิดเงิน
ฝูเฟยเมี่ยวบอกว่าโรงเรือนของนางนั้นต้องทำฝาผนังด้วยตับหญ้าคาด้วย ประตูทางเข้าก็ทำจากหญ้าคา เมื่อทำเสร็จลุงเจินถึงกับออกปากแซว
“ถ้ามองเพียงผิวเผินข้านึกว่าเป็นบ้านคน เจ้าไม่ทำหน้าต่างด้วยรึ?”
ฝูเฟยเมี่ยวหัวเราะเบาๆ
“โรงเห็ดไม่ต้องมีหน้าต่างเจ้าค่ะ มีแค่ประตูเข้าออกทางเดียวก็พอ”
“อ้อ…แล้วข้าจะรอดูเห็ดของเจ้านะ” ลุงเจินนั้นลึกๆ แล้วก็ช่วยลุ้นในสิ่งที่สตรีหม้ายสามีทิ้งผู้นี้กำลังทำอยู่ ทั้งเขาและภรรยาต่างอยากให้ฝูเฟยเมี่ยวมีชีวิตที่ดีขึ้น สามีที่หลงผิดอย่างฉีห่าวซวนจะได้เสียใจอย่างไรล่ะ
“คราวนี้ก็ถึงเวลาทำก้อนเชื้อเห็ดแล้ว ว่าแต่…เราจะหาขี้เลื่อยได้จากที่ใดกันนะ?”
ตอนเย็นฝูเฟยเมี่ยวนำฝูเฟยหลงไปฝากไว้กับป้าเจินเช่นเคย ส่วนตัวนางกับฝูฟางหรงนั้นเดินถือตะกร้าใบใหญ่เข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อหาว่าที่ใดมีขี้เลื่อยอยู่บ้าง อันที่จริงขี้เลื่อยจากการสร้างโรงเรือนเห็ดของนางก็พอมีแต่มันน้อยมากเพราะเป็นขี้เลื่อยจากไม้ไผ่ ตอนนี้นางคำนวณไว้แล้วว่าเห็ดหลินจือรอบแรกจะทำก้อนเชื้อเห็ดสักสองร้อยก้อน
สองแม่ลูกเดินสอดส่ายสายตามองหาขี้เลื่อยไปตลอดทางจนกระทั่งมาเจอคนผู้หนึ่งยืนดักขวางทางเอาไว้
“พากันมองหาอันใดกันหรือ?” เสียงแข็งๆ ฟังดูแล้วกระด้างหูเช่นนี้คงมิใช่ใครอื่น นอกจาก… หูเยี่ยหลิน
“หาขี้เลื่อยเจ้าค่ะ” ฝูฟางหรงตอบซื่อๆ ตามประสาเด็ก
“ฮึ!น่าขันยิ่งนัก มองหาขี้เลื่อย จะหากันไปทำไมก็ขี้เลื่อยน่ะอยู่ในหัวของพวกเจ้าสองคนแม่ลูกนั่นอย่างไรเล่า ฮ่าๆๆๆ”
ฝูฟางหรงนั้นตกใจกับท่าทีของสตรีที่ปรากฏตัวตรงหน้า จะว่าคนดีก็ไม่ใช่ คนบ้าก็ไม่เชิง เด็กน้อยรู้สึกหวาดกลัวจนต้องวิ่งไปหลบด้านหลังมารดา
ฝ่ายหูเยี่ยหลินนั้นบัดนี้ได้ลืมไปแล้วว่าฉีเจียวเหม่ยมานินทาอดีตน้องสะใภ้ว่าเปลี่ยนไปกลายเป็นหัวแข็งขึ้น นางยังคงนึกว่าสตรีตรงหน้าที่มาพร้อมกับลูกน้อยนั้นยังคงเป็นสตรีหัวอ่อนที่ทั้งอ่อนแอและโง่งมเช่นเดิม
“ไม่ต้องกลัวหรอกฟางหรง นางก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง เราอย่าไปใส่ใจให้เสียเวลา ที่หมู่บ้านนี้ก็มีทั้งคนดีและคนบ้า มา…แม่จะสอนเจ้า หากเจอคนเช่นนี้ให้คิดเอาไว้เลยว่าเป็นคนบ้า อย่าเข้าไปใกล้ เดี๋ยวมันกัดเอา”
หูเยี่ยหลินที่ได้ยินดังนั้นก็เลือดขึ้นหน้า นี่สตรีโง่งมผู้นี้กล้าดีอย่างไรมาบอกว่านางเป็นคนบ้า อีกทั้งยังบอกว่านางจะกัดเหมือนสุนัขอีก เช่นนี้มันหยามกันเกินไปแล้ว ต้องตบล้างน้ำให้หลาบจำ
หูเยี่ยหลินตรงปรี่เข้าไปเตรียมจะกระชากฝูเฟยเมี่ยวมาตบตีเหมือนที่เคยทำในอดีต ครั้งนั้นฝูเฟยเมี่ยวคนเก่าที่ไม่กล้าต่อกรกับผู้ใดนั้นสู้ไม่ได้ เพราะไม่กล้าสู้กลับจึงยอมให้ผู้อื่นตบตีเอาง่ายๆ
“ฟางหรง ถอยไปก่อนลูก” ฝูเฟยเมี่ยวพูดพลางผลักลูกสาวออกไปให้ห่างจากตัวเอง
ในจังหวะที่หูเยี่ยหลินจู่โจมเข้ามาประชิดตัว ฝูเฟยเมี่ยวก็ใช้เทคนิคการป้องกันตัวและการเอาคืนคู่ต่อสู้จากศิลปะการป้องกันตัวที่เคยร่ำเรียนมาทั้งเทควันโดและมวยไทยเข้ามาใช้ในครั้งนี้ หูเยี่ยหลินที่ไม่ทันระวังตัวเพราะคิดว่าตนเองเป็นต่อนั้นถูกบิดข้อมือและโดนรวบแขนทั้งสองข้างไขว้หลัง จากนั้นฝูเฟยเมี่ยวก็ใช้ทั้งศอก เตะ ถีบ จนกระทั่งคู่อรินั้นร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างสะบักสะบอมพร้อมกับร้องขอให้คนช่วย แต่ฝูเฟยเมี่ยวไวกว่า
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย หูเยี่ยหลินจะทำร้ายลูกข้า ช่วยด้วย ช่วยด้วย นางต้องถูกผีเข้าแน่ๆ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ตอนนี้ฝูเฟยเมี่ยวนั้นรวบตัวบุตรสาวเข้ามากอดเอาไว้ ส่วนอีกฝ่ายนั้นนอนลงไปกองกับพื้นยังลุกไม่ขึ้น แม้แต่จะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือยังยากลำบาก
เสียงร้องอันดังของฝูเฟยเมี่ยวนั้นเป็นผล ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นต่างพากันวิ่งมาดูด้วยอาการแตกตื่น บางคนทำอาหารอยู่ก็ถือทัพพีติดมือมาด้วย บางคนกำลังเย็บผ้าอยู่ก็ถือผ้าติดมือมาด้วย มีบุรุษผู้หนึ่งกำลังเลื่อยไม้อยู่เขานั้นถึงกับเผลอกำขี้เลื่อยมาด้วย
“ช่วย ช่วยข้าด้วย” หูเยี่ยหลินเอ่ยปากออกมาอย่างยากเย็น