คนแถวบ้าน

1006 Words
ช่วงสายของวันต่อมา... “ไอ้หมอกเอ๊ย ทำไมเอ็งไม่จ้างคนเลี้ยงมันวะ ไม่ก็ยกมันให้คนอื่นเลี้ยงไป” เสียงป้าแต๋วคนข้างบ้านเอ่ยข้ามรั้วมาเมื่อเห็นว่าสัปเหร่อหนุ่มกำลังเตรียมตัวออกไปทำงาน “เอ็งยังหนุ่มยังแน่นแท้ ๆ มีเด็กติดแบบนี้เดี๋ยวคนเขาก็คิดว่ามันเป็นลูกเอ็งหรอก แบบนี้เดี๋ยวก็หาเมียไม่ได้พอดี” ป้าข้างบ้านว่าต่อ “ขอบคุณในความหวังดีนะป้า แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีเมียหรอก กลัวมีแล้วได้แบบป้า ฉันได้เป็นบ้ากันพอดี” ว่าจบสัปเหร่อหนุ่มก็อุ้มหลานสาวตัวน้อยเดินออกจากบ้านไป คำพูดของเขาทำให้ป้าข้างบ้านอารมณ์เสียไม่น้อย ตั้งแต่ชบาน้องสาวเพียงคนเดียวของเขาตั้งท้อง พอน้องเขยจากไปด้วยโรคร้าย หมอกก็ดูแลชบาคนเดียวมาโดยตลอด เขาไม่เคยคิดทอดทิ้งน้องสาว จนมีคนมากมายเข้าใจผิดคิดว่าชบาเป็นเมียเขา ทำเอาสาว ๆ ที่หมายตาเขาไว้ต้องหนีหายไป แต่พี่ชายที่แสนดีอย่างหมอกก็ไม่ได้ใส่ใจ ยังคงดูแลชบาอย่างดี กระทั่งวันที่เธอจากไปและทิ้งเด็กน้อยคนหนึ่งเอาไว้ เขาก็ยังทำหน้าที่นี้ต่อ “คนอื่นจะเลี้ยงไหวได้ยังไง กินเยอะจนพุงปริ้นขนาดนี้” สัปเหร่อหนุ่มว่าหลานสาวที่นั่งอมจุกนมอยู่ในอ้อมแขนเขา แม้จะห้าขวบแล้วแต่อบเชยยังติดขวดนม หมอกเองก็ไม่ใช่แม่คน ซ้ำยังเป็นหนุ่มโสด เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง พอจะเอาขวดนมไปทิ้งก็อดสงสารหลานไม่ได้เลยปล่อยให้ติดขวดนมต่อไปอย่างนี้ “วันนี้รอลุงที่นี่นะ” เสียงทุ้มเอ่ยกับหลานสาวก่อนจะวางร่างน้อยลงบนแคร่ไม้ “เชยจารอตรงนี้~” เสียงใสตอบรับผู้เป็นลุง เมื่อสองวันก่อนหมอกทำหลังคาหญ้ามุงคร่อมแคร่นี้ไว้ให้หลานสาว เขาทำคอกกั้นกันหลานตกและผูกเปลไว้ในนั้น ปกติเวลามาทำงานที่ป่าช้าหรือเข้ามาหาของป่าไปขาย หากไม่ใช่วันธรรมดาที่โรงเรียนเปิด สัปเหร่อหนุ่มจะฝากหลานสาวตัวน้อยไว้กับแม่ชีที่วัดใกล้ ๆ นี้ ท่านเป็นคนช่วยหมอกเลี้ยงอบเชยมาตั้งแต่ยังแบเบาะ แต่สองสามวันที่ผ่านมาท่านไม่สบาย หมอกเลยไม่อยากรบกวน เขาพาอบเชยมาที่ป่าช้าด้วย และสร้างกระท่อมน้อยไว้กันแดดกันฝนให้หลาน ส่วนใครที่ว่าพาเด็กเข้ามาในป่าช้าแล้วไม่ดีนั้น คนมีวิชาอย่างเขาไม่ได้สนใจ ม่านอาคมอย่างดีถูกสร้างขึ้นมาปกป้องหลานสาว ไม่ใช่แค่จากผีหรือวิญญาณร้าย แต่จากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมถึงคนไม่ดีที่คิดเข้าหาหลานสาวเขาด้วย โชคดีอีกชั้นของหมอกที่ป่าช้าเก่านี้ไม่มีผู้คนที่ไหนเข้ามาหรือกล้าเดินผ่าน ทำให้เขาสบายใจว่าจะไม่มีใครมารบกวนเขากับหลานสาว “มึงว่าม่านอาคมของไอ้หมอกกับม่านคมของท่านปู่จะเหมือนกันไหมวะ” ขุนศึกที่ล้มตัวลงนอนบนแคร่เอ่ยกับเพื่อนรัก บริวารหนุ่มนอนมองเด็กน้อยนั่งเล่นตุ๊กตาคนเดียว เธอคงไม่รู้ว่าข้างกายตอนนี้มีสองวิญญาณนอนขนาบข้างอยู่ “จะเหมือนได้ไง ม่านบังตาของคนกับของผีเจ้าที่มันต่างกันนะ” ขุนพลว่าให้เพื่อน “เหรอ แต่จะว่าไปแล้วท่านปู่เราก็ไม่ได้สร้างม่านอาคมแบบนี้นานแล้วนะ อยากเห็นอีกว่ะ” “จะสร้างทำพะแสงอะไร ป่าช้าเป็นป่าสาธารณะ ผีที่ไหนก็เข้าออกได้สบาย ถ้ายมทูตยังไม่มารับ พวกนั้นก็พากันมารอที่นี่ มาอยู่ที่นี่ ถ้ามีม่านบังไว้แล้วพวกมันจะไปอยู่ไหนกัน” “เออ กูก็ลืมคิด พวกมันไม่ได้มีศาลอยู่เหมือนเรา ไม่มีคนคุ้มครองเหมือนเรา” สองบริวารนอนคุยกัน ดวงตาก็ลอบมองคนตัวน้อยนั่งเล่นไปด้วย งานหลักของพวกเขาคือดูแลความเรียบร้อยในป่าช้า ส่วนงานอดิเรกเมื่อก่อนคือนอนกลางวัน แต่สองสามวันมานี้หมอกพาหลานมาที่นี่ทุกวัน พวกเขาเลยเปลี่ยนมาเลี้ยงเด็กแทน “มึงจะไปวัดไหม วันนี้มีคนมาทำบุญเยอะเลย ไปเอาส่วนบุญกัน” ขุนศึกชวนเพื่อนรัก “วันนี้วันพระเหรอวะ” “วันเผาผีน่ะสิ มีคนตายแล้วเขาเผาวันนี้” ขุนศึกบอกเพื่อน “อายุยังน้อย ๆ อยู่เลย กินยาตายซะงั้น พ่อกับแม่ก็ร้องห่มร้องไห้ กูเห็นแล้วก็สงสาร” “ทำไมวะ” ขุนพลลุกขึ้นนั่งพลางมองหน้าเพื่อน มือข้างหนึ่งของเขาช่วยประคองเด็กน้อยไม่ให้เดินล้ม แม้เธอจะมองไม่เห็นเขาก็ตาม “แฟนทิ้งน่ะสิ อยู่แค่มอหกเองนะ อีกเดี๋ยวก็เรียนจบแล้ว ไม่น่าเลยแม่ง แต่เด็กแถวบ้านเราก็พากับรีบมีผัวมีเมียกันหมด บางคนอยู่แค่มอต้นก็อุ้มท้องกันแล้ว สมัยนี้เมนส์มาเร็วไปหรือหรือว่ากะจู๋มันแข็งเร็วกันวะ?” “...” ขุนพลไม่ได้ตอบอะไรเพื่อน เขานั่งครุ่นคิดบางอย่าง ดวงตามองหน้าเด็กน้อยไปด้วย “มึงว่าสิ่งแวดล้อมจะหล่อหลอมคนให้เป็นเหมือนกันป่าววะ” ขุนพลหันไปมองหน้าเพื่อนรักที่นอนอยู่ด้วยแววตาจริงจัง “...” พลันนั้นขุนศึกก็ดีดตัวลุกขึ้น เขาสบตากับขุนพลก่อนจะหันไปมองใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “แล้วอบเชยของพวกเราล่ะ?” สองขุนนึกอะไรในใจที่รู้กันได้โดยไม่ต้องพูดอะไรออกมา แหงล่ะ มีวิธีนั้นวิธีเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD