วูบ~
“ท่านปู่ครับ!” / “ท่านปู่ครับ!”
“ไอ้พวกเวรเอ๊ย!” เสียงเรียกของสองบริวารที่จู่ ๆ ก็เข้ามาในห้องบำเพ็ญเพียร ทำเจ้าที่แกร่งตกอกตกใจแทบตกจากแท่นนั่ง
“พวกมึงจะเข้ามาดี ๆ กันสักวันไม่ได้หรือไง!” เสียงทรงอำนาจปนโกรธจัดตวาดใส่บริวารทั้งสอง ถึงจะเป็นการทำสมาธิแค่ช่วงที่ว่างวันละไม่กี่ชั่วโมง ไม่ได้เข้าสมาธินานเป็นสิบปีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็อยากอยู่เงียบ ๆ
“ขอโทษครับท่านปู่” ขุนพลกับขุนศึกก้มหัวหน่อย ๆ ให้ผู้อาวุโสก่อนจะรีบพูดต่อ “พวกเรามีเรื่องใหญ่จะบอกท่านปู่ครับ” เสียงเอะอะของสองบริวารทำให้คนที่อารมณ์เสียเพราะถูกรบกวนยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“เรื่องใหญ่แค่ไหนก็ช่างหัวมันสิวะ!” ผู้อาวุโสตวาดลั่น “ใครจะตายหรือใครจะเกิดในป่าช้าอีกก็ช่างหัวมัน!”
“แต่ถ้าท่านปู่ไม่รับฟังแล้วก็ไม่ช่วย น้องอบเชยของพวกเราต้องมีผัวตั้งแต่เด็กแน่ ๆ เลยครับ!” เป็นอีกครั้งที่สองบริวารเอ่ยพร้อมกันเสียงดัง ทำคนที่กำลังหลับตาลงต้องเบิกตาขึ้นด้วยความโมโห
“ก็ช่างมันสิวะ!”
“วันนี้เขาเผาศพเด็กที่ฆ่าตัวตายเพราะอกหักไปนะครับ แล้วหมู่บ้านเราพวกเด็ก ๆ ก็รีบมีผัวมีเมียกันตั้งแต่อายุน้อย ๆ กันทั้งนั้นเลย” ขุนพลเอ่ย
“ใช่ครับท่านปู่ บางคนยังอยู่มอต้นก็ท้องแล้ว” ขุนศึกเสริมทัพอีกคน
“กูบอกว่าช่างมัน!” เสียงผู้อาวุโสตวาดอีก ทำสองบริวารสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัวก่อนจะรีบหายวับออกมานอกศาล
ทั้งสองยืนมองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยแววตาละห้อย พวกเขาไม่อยากให้ชีวิตอบเชยเป็นอย่างนั้น ยิ่งหมอกทำงานเป็นสัปเหร่ออยู่แต่ในวัดกับป่าช้า เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลหลานสาวกัน ตัวอย่างชบาแม่ของอบเชยก็มีให้เห็น
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่ทันที่สมาธิของเจ้าที่อาวุโสจะเข้าที่เข้าทาง เสียงร่ำไห้ของชบาที่เอ่ยปากฝากฝังลูกสาวไว้ก็ดังก้องในหูของผู้อาวุโสซ้ำ ๆ
‘ชบาฝากลูกสาวด้วยนะจ๊ะ ฝากท่านดูแลแกกับลุงของแกด้วย พ่อแกตายไปแล้ว แกไม่เหลือใครแล้ว’
“แม่งเอ๊ย! กูไม่ได้รับปากสักหน่อย ยังตามหลอกหลอนอยู่นั่นแหละ”
วูบ~
พลันนั้นเองที่ร่างกำยำของเจ้าที่แกร่งปรากฏกายขึ้นข้างกระท่อมน้อย ดวงตาสีมืดจ้องมองร่างเล็กของเด็กหญิงวัยห้าขวบด้วยความไม่ชอบใจนัก
“กวนใจกูตั้งแต่เกิดจนเดินได้เลยนะ” เสียงนั้นพึมพำกับตัวเอง สองขาแกร่งเดินเข้าไปใกล้เด็กน้อย มือใหญ่ข้างหนึ่งจับแขนป้อม ๆ เอาไว้ สองบริวารเห็นแบบนั้นก็ดีอกดีกันยกใหญ่ ถ้าท่านปู่ของพวกเขาผูกด้ายแดงไว้ที่ข้อมือของเด็กหญิง ก็จะไม่มีใครมองเธออย่างชู้สาวไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม เธอจะเติบโตโดยไร้คนรักอย่างชู้สาวและไร้คนหมายปองจนกว่าด้ายนี้จะถูกแก้ออก
“ผูกไว้นาน ๆ เลยนะครับท่านปู่” ขุนศึกบอกผู้อาวุโส
“พออบเชยเรียนจบมอต้นแล้วค่อยแก้ด้ายออกนะครับ” ขุนพลพูดบ้าง “ไม่สิ ๆ รอให้เรียนจบมอปลายหรือมหาลัยก่อนค่อยแก้ออกก็ได้ครับ”
“ไม่ ๆ” ขุนศึกส่ายหัว “รอเมนส์หมดแล้วค่อยแก้ดีกว่าครับ”
“ไอ้ห่า มึงจะให้อบเชยขึ้นคานหรือไง” ขุนพลว่าเพื่อน
“พวกมึงเงียบ ๆ กันได้ไหม กูจำคาถาไม่ได้แล้ว!” เสียงทรงอำนาจตวาดบริวารอีกครั้ง ไม่เคยมีเลยที่เจ้าที่ผู้นี้จะได้คุยกับบริวารของเขาดี ๆ เลยต้องหนีไปทำสมาธิเพราะอยู่กับสองคนนี้แล้วมีแต่เรื่องปวดหัว
“ว่าแต่ทำไมพวกมึงไม่ผูกกันเอง มาบอกกูทำไม” แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากหนาจะเริ่มบริกรรมคาถา คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อนึกอะไรออก ผู้อาวุโสกว่ามองหน้าสองบริวารสลับกันไปมา
“พวกผมผูกด้ายแดงให้วิญญาณบริสุทธิ์ได้ที่ไหนกันล่ะครับ” สองบริวารว่าพร้อมกัน “ผูกด้ายแดงให้วิญญาณบริสุทธิ์หรือเด็ก ๆ แบบนี้ ก็มีแต่วิญญาณระดับสูงอย่างผีเจ้าที่เท่านั้นแหละครับที่ทำได้ ถ้าอบเชยโตเป็นสาวแล้วพวกผมก็คงผูกกันเองไปแล้วล่ะครับ”
ด้ายแดงเป็นด้ายที่เหล่าวิญญาณจะผูกไว้ที่ข้อมือของคนรัก เป็นเครื่องหมายว่าคนคนนั้นมีเจ้าของแล้ว หากผูกด้ายให้คนเป็น ผู้คนในโลกคนเป็นก็จะไม่มีความรู้สึกเชิงชู้สาวกับคนคนนั้น จนกว่าด้ายจะถูกแก้ออก และหากผูกให้วิญญาณ ก็เป็นการประกาศว่าหมั้นหมายกันไว้แล้ว
“ทีนี้ก็หมดเรื่องแล้วใช่ไหม” ผู้อาวุโสถามสองบริวารหลังจากบริกรรมคาถาจบแล้ว เขาผูกด้ายแดงกับข้อมือของเด็กน้อยไว้เรียบร้อย ดีหน่อยที่วันนี้เขาไม่ได้ปรากฏกายให้เธอเห็น เด็กน้อยเลยไม่ได้ฟาดมือป้อม ๆ ลงบนแขนเขาอีก
“ครับ” สองบริวารตอบรับ
“ถึงเวลาก็ไปปลุกให้กูตื่นมาแก้ด้วยล่ะ”
“ท่านปู่พูดแบบนี้จะไปไหนครับ” ขุนพลเลิกคิ้วถาม “พูดเหมือนคนจะหลับยาวซะงั้น”
“กูจะเข้าพิธีผนึกวิญญาณ พวกมึงดูแลป่าช้าดี ๆ เดี๋ยวกูจะถ่ายโอนพลังส่วนหนึ่งไว้ให้ใช้ดูแลที่นี่ แล้วก็รับตำแหน่งรักษาการแทนกูไปทั้งสองคนเลย” เจ้าที่แกร่งบอกสองบริวาร นั่นหมายความว่าท่านปู่ของพวกเขาจะไม่ตื่นจากสมาธิไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม นอกเสียจากว่าจะมีคนเข้าพิธีไปปลุกท่าน จะเดินไปปลุกเฉย ๆ เหมือนตอนนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“กี่ปีครับ” ขุนศึกถามบ้าง
ใช่ว่าท่านปู่ของพวกเขาจะไม่เคยผนึกวิญญาณตัวเอง ท่านปู่น่ะทำบ่อยจะตายไป ท่านคลั่งไคล้การทำสมาธิและมักหมกตัวอยู่ในศาลกับป่าช้า ไม่ชอบออกไปข้างนอก หากมีเรื่องสำคัญก็จะให้บริวารไปแทน นอกเสียจากเป็นเรื่องที่ทำแทนกันไม่ได้ท่านถึงจะออกจากป่าช้าไปเอง
“อีกสิบห้าปีกูจะออกมา ภายในสิบห้าปีที่กูหลับอยู่ พวกมึงปลุกกูได้แค่สองครั้งเท่านั้น”
“ทำเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” ขุนพลพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ หากเขาปลุกท่านปู่ครบสองครั้งแล้ว ครั้งต่อไปก็จะไม่มีผลอะไร วิญญาณผู้อาวุโสจะหลับใหลไปจนกว่าจะครบกำหนดตื่น นั่นก็คือจนกว่าจะครบสิบห้าปี
“อือ อีกสองวันเตรียมตัวให้พร้อม กูจะไปแล้ว” เจ้าที่แกร่งบอกบริวาร
“ครับท่านปู่”