อบเชย

1526 Words
“ลุงหมอกจ๋า อันนี้ต้นอาราย~” เสียงใสของเด็กหญิงตัวน้อยวัยห้าขวบถามผู้เป็นลุงพลางชี้มือไปยังต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่ข้างต้นสะเดาใหญ่ “ต้นอบเชย แม่ชบาของเอ็งเอามาปลูกไว้” ผู้เป็นลุงตอบหลานสาวตัวน้อย เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าต้นอบเชยนี่จะปลูกขึ้นในป่าช้าถ้าไม่ได้เห็นกับตา “แม่ชบาปลูกต้นอบเชย” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยกับผู้เป็นลุงเมื่อหันมายิ้มหวานให้ หมอกมองหลานสาวตัวน้อยด้วยแววตานิ่งเฉยไร้ความรู้สึก นับตั้งแต่ชบาจากไปเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน “อยู่นี่นะ อย่าไปเล่นไหนไกล เดี๋ยวลุงไปถางป่าฝั่งโน้นแล้วจะกลับมา” เสียงเรียบเอ่ยกับหลานสาว “ได้จ้า~” คนว่าง่ายตอบรับเสียงใส ดวงตากลมโตมองผู้เป็นลุงด้วยแววตาเป็นประกาย เรียวปากน้อยสีแดงระเรื่อฉีกยิ้มหวานไร้เดียงสาไปให้ “เอ็งนี่นะ…” หมอกพึมพำพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา มือใหญ่ล้วงเอาขนมห่อใหญ่ในย่าม ฉีกห่อให้กว้างแล้วยื่นให้หลานสาวที่นั่งเล่นอยู่บนแคร่ “มากินขนมนี่มา แล้วก็อย่าไปไหนเข้าใจไหม อย่าลงจากแคร่ ให้นั่งอยู่บนนี้” “ลุงหมอกจ๋าจะไปถางป่าเหรอค้าา~” เสียงใสถามผู้เป็นลุงขณะกอดถุงขนมไว้แนบอก “อือ” “อบเชยรออยู่ตรงนี้น้าา~” “อือ” ผู้เป็นลุงรับคำก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น ริมฝีปากหนาบริกรรมคาถาบทหนึ่งก่อนจะเป่ากระหม่อมบางของเด็กน้อย สัปเหร่อหนุ่มเดินไปเด็ดกิ่งไม้ใกล้ ๆ มาปักไว้ที่พื้นดินพร้อมกับพึมพำบางอย่างก่อนจะเดินจากไป “ไอ้หมอกมันมีคาถาบังตาด้วยเหรอวะ” ขุนศึกหันไปถามขุนพลที่นั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ข้างกัน หลังจากสัปเหร่อหนุ่มเดินจากไป พวกเขาทั้งคู่ก็มองเห็นบางอย่างคล้ายม่านบังตาครอบคลุมบริเวณที่เด็กหญิงตัวน้อยนั่งเล่นเอาไว้ อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นบริวารของเจ้าที่ที่ดูแลป่าช้านี้ ม่านนั้นเลยพรางตาพวกเขาไม่ได้ “มันเป็นสัปเหร่อ เรื่องแค่นี้ก็ต้องมีอยู่แล้วไหมมึง” ขุนพลตอบเพื่อน “แต่เมื่อก่อนมันไม่ได้มีวิชามากมายขนาดนี้นี่หว่า มีแค่บทสวดที่ท่องเอาตามตำราสัปเหร่อเอง” ขุนศึกย่นคิ้วใส่เพื่อน “หรือกูโดนขังไว้นานเลยไม่รู้ว่ามันไปเรียนวิชาเพิ่ม?” หลังจากวันที่ท่านปู่ของพวกเขาออกจากสมาธิ ขุนศึกที่ทำหน้าที่บกพร่องก็ถูกกักบริเวร เขาถูกขังไว้ในต้นสะเดานานถึงห้าปีไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน นี่ก็เพิ่งออกมาได้ไม่กี่วันนี้เอง “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง พอชบาตายมันก็เปลี่ยนไป สงสัยจะมีของนั่นแหละ ดีนะที่มันเลี้ยงอบเชยมาอย่างดี กูตามไปส่องดูเวลามันพาอบเชยวัดบ่อย ๆ” ขุนพลหันไปคุยกับเพื่อน ทุกวันก่อนหมอกจะมาที่นี่เขาจะฝากอบเชยไว้กับแม่ชีที่วัด วิญญาณในป่าช้าที่รู้จักเด็กน้อยมักจะแวะเวียนไปดูเธอที่วัดอยู่บ่อยครั้ง ขุนพลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น “นี่กูยังตกใจไม่หายเลยนะ ตอนรู้ว่ามันตั้งชื่อให้ลูกชบาว่าอบเชยเหมือนที่ท่านปู่ตั้งให้น่ะ วันนั้นพวกผีในนี้แค่ให้ท่านตั้งให้ใช้เรียกในหมู่ผีเฉย ๆ” ขุนพลว่าต่อ “หรือไอ้หมอกมันจะมาได้ยินพอดี” ขุนศึกถามเพื่อน “ได้ยินห่าอะไร มันเป็นคนจะมองเห็นผีได้ยังไง” “เออว่ะ ถ้างั้นก็คงบังเอิญล่ะมั้ง” “แล้วนี่มึงจะนั่งคุยกับกูอีกนานไหม ไม่ออกไปตรวจท้ายป่าช้าล่ะ เดี๋ยวก็โดนจับขังอีกหรอก” ขุนพลว่าเพื่อน ซึ่งคนถูกทักก็นึกขึ้นได้พอดี “เออว่ะ งั้นมึงไปช่วยกูหน่อย จะได้เสร็จเร็ว ๆ” “ไปช่วยห่าอะไร ตอนมึงโดนขังกูก็ทำแทนตั้งห้าปีเลยนะ งานกูทางนี้ก็เยอะแยะ” “เออไปเถอะ วันนี้วันเดียว เดี๋ยวกูตรวจไม่ดีได้โดนท่านปู่ว่าอีก กูโดนขังตั้งนานลืมหมดแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง” “มึงนี่นะ ทำงานให้มันสมกับแต้มบุญที่ได้หน่อยสิ” สองบริวารคุยกันก่อนจะหายวับจากต้นไม้ใหญ่ไป “อึก! แคก แคก!” ตุบ! ตุบ! เสียงอึกอักของเด็กน้อยที่นั่งทุบหน้าอกตัวเองอยู่บนแคร่ก็ทำให้ใครบางคนที่ทำสมาธิอยู่ในศาลเบิกตาขึ้น “ไอ้พวกเวรนั่นก็หายหัวไปพร้อมกันอีก” เจ้าที่แกร่งสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด หากเขาไม่ออกไปตอนนี้ละก็มีหวังป่าช้านี้ได้มีวิญญาณเด็กวิ่งเล่นแน่ แล้วก็คงวุ่นวายน่าดู แค่นึกถึงวันที่เด็กคนนี้แผดเสียงร้องตอนคลอดก็แสบแก้วหูแล้ว วูบ~ เรือนร่างกำยำของเจ้าที่แกร่งปรากฏกายขึ้นข้างแคร่ไม้ สองมือหนาเขย่าตัวเด็กน้อยอย่างไม่แรงนัก เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กอาการดีขึ้นแล้วจึงรีบยัดขวดนมใส่ปากน้อย “กินนมซะ ทีหลังกินขนมก็อย่าเล่น ถ้าเล่นก็อย่ากิน มันจะติดคอ” เสียงดุเอ่ยกับเด็กน้อย เขามักได้ยินวิญญาณในป่าช้าพูดถึงเด็กนี่อยู่บ่อยครั้ง และเวลาไปตรวจดูความเรียบร้อยที่วัดก็มักจะเห็นเด็กนี่วิ่งเล่นอยู่ในศาลาวัดบ่อย ๆ “...” ดวงตาใสแป๋วมองคนแปลกตาด้วยความไม่เข้าใจนัก ขณะเดียวกันสองมือน้อยก็จับขวดนมไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะมาแย่งมันไป “มองอะไร” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกถามเจ้าของดวงตาใสแป๋ว “คนแปลกหน้า” เสียงแหลมเล็กว่าเจ้าที่แกร่งพร้อมชี้นิ้วสั้นป้อมมาที่ใบหน้าบึ้งตึง ทำเอาคิ้วเข้มย่นเข้าหากันก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา “คนแปลกหน้า” เสียงแหลมเล็กว่าต่อทั้งยังชี้หน้าผีเจ้าที่เหมือนเดิม “ไม่ใช่คนแปลกหน้า” คนถูกกล่าวหาเถียงกลับพร้อมปัดมือเล็กที่ชี้หน้าตัวเองออก ตั้งแต่เกิดมามีแต่เขาที่ชี้หน้าคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนมาชี้หน้าเขา “แล้วลุงเป็นใครค้าา~” เสียงแหลมถามต่อพลางมองเขาตาแป๋ว สองมือน้อยกำขวดนมแน่น “...เป็นเพื่อนลุงหมอก” ให้ตายเถอะ! ทำไมเจ้าที่อาวุโสอย่างเขาต้องมาโกหกเด็กน้อยนี่ด้วย อยู่ดี ๆ ก็ทำแต้มบุญตัวเองหายไปเพราะโกหกเด็กเฉยเลย “ไม่น่าทำให้มองเห็นเลย...” เสียงทุ้มพึมพำ “เพื่อนลุงหมอกเหรอค้าา~” คนตัวเล็กย้ำพลางเดินเข้ามาใกล้ร่างใหญ่ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างแคร่ไม้ “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าเดินมาเดี๋ยวตก” เจ้าที่แกร่งดุเด็กน้อยดวงตามองขาสั้นป้อมที่ก้าวเข้ามาหา “ไม่ตก” เสียงเล็กเถียง “เดี๋ยวจะตก” ดวงตาทมิฬตวัดใส่คนตัวเล็กด้วยความไม่ชอบใจนัก เป็นเด็กเป็นเล็กมาเถียงผู้ใหญ่ มันน่าตีนัก! “ไม่ตก” “ตีสักทีดีไหมนะ” เจ้าที่แกร่งไม่ว่าเปล่าแต่ขึงตาใส่เด็กน้อยตรงหน้า เพี๊ยะ! “...” ทว่าเสียงฝ่ามือที่ทาบลงบนท่อนแขนแกร่งกลับเป็นมือป้อม ๆ ไม่ใช่มือของเขา “ตีสักทีดีไหมน้าา~” เด็กน้อยว่าตามคนอายุมากกว่า ก่อนจะฟาดมือน้อยลงบนท่อนแขนแกร่งติดต่อกันอีกหลายครั้ง คนถูกตีแบบไม่มี เหตุผลเห็นแบบนั้นก็กัดฟันกรอด มองเด็กน้อยไร้เดียงสา ไม่สิ…เด็กน้อยร้ายเดียงสาฟาดฝ่ามือลงบนท่อนแขนเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก เพี๊ยะ! “ตีสักทีดีไหมน้าา~” เพี๊ยะ! “ตีสักทีดีไหมน้าา~” “มันเจ็บนะ!” เสียงเย็นยะเยือกดุ แม้ฝ่ามือจะน้อยนิดแต่เรี่ยวแรงที่ฟาดลงมายังจุดเดิมซ้ำ ๆ นั้นไม่น้อยเลย “ตีสักทีดีไหมน้าา~” เพี๊ยะ! แต่เหมือนคนโดนดุจะไม่ได้ใส่ใจ ยังคงสนุกกับการตีคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนลุงหมอก คนโดนตีได้แต่ยืนกัดฟันกรอด มือข้างหนึ่งกุมขมับก่อนจะคลึงมันเบา ๆ ปากก็สบถด่าสองบริวารให้หายหัวไปพร้อมกัน ปล่อยให้เด็กนี่เกือบขนมติดคอตายอยู่คนเดียว ส่วนวิญญาณอื่นนั่นเหรอ… พึ่งพาได้ที่ไหนกัน ก็ลุงของเด็กแสบนี่ลงคาถาบังตาเอาไว้น่ะสิ มีแค่เขากับบริวารเท่านั้นที่มองเห็นเธอ “ถ้าโตกว่านี้หน่อยล่ะจะฟาดให้ก้นลาย” เสียงทุ้มพึมพำขณะยืนมองเด็กน้อยด้วยความอารมณ์เสีย ในใจก็สบถด่าบริวารที่หายไปพร้อมกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD