ไป๋อวี้นางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงจินเฟิ่งมองการแต่งกายขององค์หญิงแล้วได้แต่ทอดถอนใจ องค์หญิงของนางแม้จะมีผิวกายคล้ำมากกว่าชาวพื้นเมือง หากแต่ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นชวนให้คนต้องมองอย่างเผลอไผล สัดส่วนในวัยสาวถือว่าสมบูรณ์ที่สุด แต่นางมักใส่เสื้อผ้าที่หุ้มหนากว่าปกติในยามออกจากวังหลวง ทำให้ดูเป็นคนร่างหนา แม้แต่เอวก็แทบจะไม่เว้า
“องค์หญิงเพคะ ชุดนี้อีกแล้ว” ชุดสีน้ำเงินเข้มแบบผู้ชายเป็นชุดที่องค์หญิงของนางมักจะสวมใส่เสมอ
“ท่านน้าจะมารับแล้ว เจ้าอย่าบ่นอยู่เลย” จินเฟิ่งหันมาดุไป๋อวี้ ทำเอาฝ่ายนั้นหลบตาวูบ ไป๋อวี้เป็นสตรีเรียบร้อยได้รับการอบรมกริยามารยาทอย่างดี เชี่ยวชาญศาสตร์และศิลป์ทุกแขนงที่คุณหนูตระกูลใหญ่พึงสามารถ ไป๋อวี้เป็นบุตรของมือปราบไป๋แห่งหัวเมืองเป่าจูหรือเมืองไข่มุกวิเศษอยู่ชายทะเลภาคตะวันออก จินเฟิ่งเคยตามท่านน้าไปเมืองแห่งนี้ พักที่จวนของท่านเจ้าเมืองหลายวัน เมื่อได้พบไป๋อวี้รู้สึกถูกชะตาจึงชวนนางมาอยู่ที่วังหลวงด้วยกัน ครั้นไป๋อวี้อายุได้เก้าขวบบิดาจึงส่งนางเข้าวังเพื่อเรียนหนังสือและเป็นนางกำนัลของจินเฟิ่ง
อาจารย์ที่ดีที่สุดจากทั่วทุกแคว้นถูกว่าจ้างมาสอนองค์หญิงจินเฟิ่ง นางเป็นคนหัวไว เฉลียวฉลาด รับความรู้ได้เร็ว แต่กลับเบื่อหน่ายบทบาทสตรีที่เรียบร้อยนัก การติดตามท่านน้าแม่ทัพจินหลี่หมิงกลับเป็นสิ่งที่นางโปรดปราน
“องค์หญิง ท่านแม่ทัพรอที่ประตูวัง พะยะค่ะ”
หากเข้าสู่วังหลวง เหล่าข้าราชบริพารจะจัดเต็มด้านพิธีการ แต่หากออกจากวังแล้ว นางจะเป็นแค่จินเฟิ่งที่ทุกคนสามารถพูดคุยโดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง ชาวบ้านชาวเมืองของแคว้นจินล้วนคุ้นชินกับการเข้าถึงง่ายของคนในราชวงศ์ พวกเขาจึงโบกมือทักทายองค์หญิงจินเฟิ่งตลอดทาง
“องค์หญิง ท่านจะลองกินซาลาเปารสชาติใหม่หรือไม่?” หญิงชราเจ้าของร้านซาลาเปาเปิดฝาลังถึงที่ส่งไอร้อนฉุย กลิ่นหอมยั่วยวนทำเอาน้ำลายสอ
“ไส้อะไรอีก ท่านยาย ข้าเห็นท่านขยันคิด ขยันทำเหลือเกิน”
“คราวนี้เป็นไส้ไก่ผัดกับวุ้นเส้น”
“อืม กลิ่นน่ากิน ข้าเอาสิบก้อน”
ไป๋อวี้รีบเข้ารอรับและจ่ายเงิน พร้อมยื่นสองก้อนแรกให้กับองค์หญิง นางรับไปให้กับแม่ทัพจิน จากนั้นก็แจกจ่ายให้หลี่เปียวองครักษ์ประจำตัวของนาง และอินทรีขาวดำ หยางหมิงและเหยียนเหลย รองแม่ทัพคู่ใจของท่านน้า
“พวกเจ้าดูสิ ท่านแม่ทัพจิน ไปไหนก็หนีบองค์หญิงไปด้วย เยี่ยงนี้แล้ว เมื่อใดจะมีฮูหยินใหม่เสียที” สาวแก่แม่หม้ายที่ฐานะดี นั่งมองสองน้าหลานจากบนชั้นสองของภัตตาคารมู่กง
แม่ทัพจินหลี่หมิงเป็นน้องชายของพระชายาเอก รูปร่างสูงใหญ่ รูปโฉมบุคลิกงามสง่า เงียบขรึม ดุดัน เพราะมัวแต่รบพุ่งกับชาวเผ่าต่างๆ ที่อยู่รายล้อมแคว้นจิน กว่าจะสถาปนาแคว้นช่วยพี่เขยขึ้นมาได้ ใช้เวลานับสิบกว่าปี ระหว่างนั้นกว่าท่านแม่ทัพจะได้แต่งงานก็อายุล่วงไปยี่สิบเจ็ด หลังจากนั้นอีกสองปี ฮูหยินก็ป่วยเสียชีวิตโดยไม่มีทายาทแม้สักคน ส่วนอนุภรรยาอีกสองคนที่มีมาก่อนหน้านั้นก็ทยอยเสียชีวิตตามกันไปติดๆ แม้จะมีผู้อยากเป็นฮูหยินของแม่ทัพจิน แต่ก็ยังคำนึงถึงดวงพิฆาตภรรยา หรือผู้ที่หาญกล้าส่งแม่สื่อไปเลียบๆ เคียงๆ เมื่อท่านแม่ทัพแค่หันมาถลึงตาก็แทบจะลากลับไม่ทัน
จินหลี่หมิงมาร่ำสุรากับมิตรสหายที่หอมุกจันทราบ่อยครั้ง แต่นานครั้งจึงจะถูกใจแม่นางคนงามที่มาใหม่แล้วใช้บริการ แต่ก็จะไม่ยอมใช้บริการซ้ำอีก สร้างความชอกช้ำใจให้กับหญิงงามเหล่านี้ เพราะโดยฐานะพ่อม่าย พวกนางวาดหวังว่า ท่านแม่ทัพอาจจะไถ่ตัวพวกนางไปรับใช้ที่จวน ยิ่งไม่มีนายหญิงให้ต้องเกรงกลัว จะอยู่ในตำแหน่งอนุภรรยาย่อมมิใช่เรื่องเลวร้าย
“องค์หญิงก็อายุสิบเจ็ดแล้ว พวกเจ้าว่า ข่าวลือที่แคว้นหมิงจะส่งจวิ้นอ๋องมาเป็นราชบุตรเขยแคว้นเราจะเป็นไปได้หรือไม่?”
“เจ้าก็ว่าไป คนแคว้นหมิงล้วนผิวพรรณขาวเนียน ผุดผาด เขาจะเข้าใจความงามอย่างองค์หญิงได้หรือ?”
เหล่าหญิงหม้ายเศรษฐีนีทั้งหลายต่างพยักหน้าเห็นด้วย พวกนางต่างก็มีผิวพรรณแตกต่างกันทั้งขาวและคล้ำ แต่ในแคว้นจินก็ไม่เห็นเป็นเรื่องผิดแปลก เพียงแต่องค์หญิงมีสีผิวที่เข้มจัดกว่าทุกคนในเมืองนี้อย่างน่าแปลกใจ เพราะพระชายานั้นผิวพรรณขาวผ่องราวกับไข่มุก แม้จินอ๋องจะมีผิวคล้ำอย่างชาวพื้นเมืองแต่ก็มิได้คล้ำเท่าองค์หญิง
ชาวเมืองล้วนเห็นว่า องค์หญิงนั้นมีความงดงาม เครื่องหน้าของนางคมเข้ม โดยเฉพาะดวงตาที่กลมโตและเป็นสีฟ้าประกายเจิดจ้านั้น มีความพิเศษเหนือใคร
“เอ๊ะ! ท่านน้า ดูสิ ร้านข้าวสารร้านนั้น ทำไมจึงมีหญิงสาวมารุมซื้อมากมายนัก”
แม่ทัพจินเห็นแล้วก็นึกแปลกใจเช่นกัน “เจ้าไปดูสิ เหยียนเหลย” อินทรีดำผู้ที่ช่างพูดเหมือนกับนามของเขา สาวเท้าไปดูหน้าร้านครู่หนึ่งจึงกลับมา
“พวกนางมารอดูเถ้าแก่ กับเสมียนสองคนที่ร้านนี้ เห็นว่า ทั้งสามเป็นชายหนุ่มรูปงาม ขอรับ”
“ปัดโธ่! นึกว่าเหตุน่าสนใจกว่านี้เสียอีก” จินเฟิ่งผู้ไม่สนใจเรื่องชายงามเท่าใดนักถึงกับส่ายหน้า
ไป๋อวี้นึกอยากจะเห็นบ้าง เผื่อจะพอเอาไปคุยกับพวกนางกำนัลในตำหนักพระชายาเอก พวกนางล้วนอยู่ในวัยกำดัด ย่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องชายหนุ่มเป็นธรรมดา
“ไป๋อวี้ เจ้าชะเง้อทำไม?”
เมื่อถูกองค์หญิงทักเช่นนั้น นางถึงกับหน้าแดงก่ำ อึกอักอยู่เป็นครู่ จึงเอียงหน้าไปกระซิบบอก
“ได้สิ ข้าจะพาเจ้าไปดู”
แม่ทัพจินหันมามองหลานสาวคนโปรดแล้วอมยิ้ม “หรือเจ้าก็คิดจะเมียงมองชายงามกับเขาด้วย”
จินเฟิ่งหันมาค้อนขวับ “เอาไว้ท่านแต่งงานอีกครั้ง ข้าถึงจะแต่งก็แล้วกัน”
เท่านั้นเอง แม่ทัพจินก็หุบยิ้ม เบือนหน้าเล็กน้อย โบกมือไล่หลานสาวไป พี่สาวของเขาและคนในครอบครัวล้วนรบเร้าให้เขาเลือกฮูหยินคนใหม่ แต่ตลอดชีวิตที่ต้องไปรบ รอนแรมอยู่ตามป่าเขา ฮูหยินและอนุภรรยาทั้งสองที่ตบแต่งตามคำขอร้องของมารดาก็ไม่ได้รักใคร่ หากทำตามหน้าที่ของบุตรและสามีที่ดี การไม่มีทายาทสืบสกุลก็ล้วนเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต เขาก็ไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ เขามีน้องชายอีกหลายคนที่เกิดจากบ้านรองของบิดา ทำให้ผู้สืบสกุลมีมากมาย เสียดายของแต่น้องชายแท้ๆ ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่อายุได้เพียงสามขวบ มาจนบัดนี้ยังไม่เจอร่องรอย
แซ่จินที่เขาใช้ ได้มาจากการที่ท่านตาของจินเฟิ่งรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม เนื่องจากเขามีคุณูปการต่อแผ่นดินด้วยการอุทิศชีวิตสู้รบกับชนเผ่าทั้งสี่ที่ดินแดนเหนือมานาน เมื่อสถาปนาแคว้นจินสำเร็จ จึงแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ในขณะที่จินเฉวียนผู้พี่เขยมีเพียงความสามารถด้านบุ๋นจึงต้องการพึ่งพาเขา การให้ร่วมแซ่จะทำให้บารมีของจินอ๋องมั่นคงยิ่งขึ้น
จินเฟิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้เห็นเสมียนหนุ่มในร้านทั้งสองคน องค์หญิงเดินกลับมาบอกท่านน้าอย่างอารมณ์ดี
“ก็สมควรแล้วที่พวกนางจะพยายามมาซื้อข้าวสารและเกลือกันขนาดนี้”
***********************