จวิ้นอ๋องเป็นผู้แม่นยำเรื่องบัญชียิ่งนัก นั่นเป็นเพราะพระสนมเซียงมารดาเป็นลูกเจ้าของกิจการร้านแลกเงิน จึงถ่ายทอดความคิดเรื่องเงินทองให้กับโอรส ยุคสมัยที่การรบพุ่งไม่มากนัก หากไม่คิดทำการค้า มียศและเกียรติย่อมไม่เพียงพอ หากขาดทรัพย์แล้วล่ะก็ ทำการใดย่อมสำเร็จได้ยาก
เซียงเฉินกงไม่ค่อยไว้ใจให้เซียงวั่งซูผู้พี่ทำการค้าเอง แท้จริงแม้เซียงวั่งซูหรือจินวั่งซูผู้นี้จะเติบโตมาในคฤหาสน์คหบดีจิน หากแต่เติบโตมาในช่วงที่ตระกูลฐานะมั่นคงเป็นปึกแผ่น จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจจากท่านปู่ เขาไม่เคยได้ดูแลการงานใดๆ แต่ละวันเอาแต่หมกมุ่นไปฟังเรื่องชาวบ้านหรือไม่ก็ตามหาสิ่งประดิษฐ์ที่เขาหลงใหล หลายคราที่หายจากคฤหาสน์ บางครั้งไม่ยอมเอาองครักษ์ประจำตัว คือ เฟิ่งหู่ไปด้วย สร้างความปวดหัวให้กับคนในครอบครัว ที่ต้องวิ่งวุ่นตามหาเพราะนายท่านใหญ่แห่งตระกูลจินนั้น รักใคร่หลานคนนี้ยิ่งกว่าหลานคนอื่น
“ข้าจะมอบสมบัติส่วนตัวทั้งหมดให้จินวั่งซู พวกเจ้านั้น ข้าแบ่งกิจการให้แล้ว อย่ามาก้าวก่ายส่วนนี้”
ท่านปู่ของจินวั่งซูก็มีนิสัยเหมือนเขา ไม่ว่าจะเป็นการชอบไปฟังเรื่องผู้อื่น เจ้าเล่ห์เพทุบาย หรือเป็นจอมยุแยง เมื่อหลานชายสืบทอดนิสัยของตนอย่างเด่นชัดเพียงนี้ จึงทุ่มเทความรักให้สุดจิตสุดใจ
“เคราะห์ดีที่ชินอ๋องให้เจ้ามาด้วย ข้าจึงได้เสมียนที่เก่งอย่างเจ้ามาช่วยงาน” ฉินจางหย่งผู้เป็นทายาทของสำนักคุ้มภัยใหญ่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างแคว้นหมิงกับแคว้นเหลียน เขตลุ่มน้ำสายสวรรค์ เคยฝึกทำบัญชีในวัยเด็กกับท่านน้าที่ทำร้านค้าเครื่องประดับจึงจำต้องปรากฏตัวในฐานะเสมียนร้านค้าข้าวสารและเกลือ
ฉินจางหย่งก็พอรู้ว่าตนเองมีรูปร่างหน้าตาที่ดึงดูดใจหญิงสาวอยู่ไม่น้อย เพียงแต่อาชีพองครักษ์เงา ทำให้เขาไม่ได้ใส่เรื่องรูปลักษณ์นัก พฤติกรรมขององครักษ์เงาโดยส่วนใหญ่ต้องฝึกการไม่พูดกับใคร ทำตัวให้เงียบ นิ่ง และคนจับความเคลื่อนไหวไม่ได้ โดยมากฉินจางหย่งจะคุยกับองครักษ์ฉินผู้พี่เท่านั้น แต่ยามนี้เมื่อต้องมาเป็นคุณชายฉิน เสมียนหนุ่มรูปงามอย่างเขาก็ทำตัวไม่ค่อยถูก หลายคราเผลอใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเกินไป ทำเอา ฉีเจียตงอ้าปากค้าง แต่เพราะเห็นว่า อีกฝ่ายเป็นคนซื่อ จึงไม่ได้ใส่ใจแก้ตัว
“ท่านดูบัญชีร้านเราสิ ตอนมาใหม่ๆ ท่านขายข้าวไม่ดูพันธุ์จนมั่วไปหมด ขาดทุนไปเกือบหมื่นตำลึงเลยทีเดียว”
เซียงวั่งซูคลี่พัดงูดำ โบกไปมา ช่วงนั้นเหล่าแม่นางทั้งหลายต่างทำสายตา ชื่นชมในรูปโฉมของเขา จนเขาลืมใส่ใจดูราคาข้าวแต่ละกระสอบ ตักขายไปยิ้มไป ทุกวัน ตอนอยู่ที่เมืองหมิงไม่มีคนมารุมล้อมเขาขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่เซียงวั่งซูรู้สึกว่า แคว้นจินช่างน่าอยู่เสียนี่กระไร
“เอาเถิด ส่วนที่ขาด ข้าจะรับผิดชอบเอง”
“ข้าอยากให้ท่านรอบคอบกว่านี้ การมาครั้งนี้เราต้องใช้เงินส่วนตัวในการใช้จ่าย ท่านจะสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ ทุกย่างก้าวควรมีประโยชน์ ในเมื่อเรานำข้าวสารกับเกลือมาถึงนี่ได้แล้วก็ควรจะขยายสาขาไว้ด้วย หากแม้ข้าไม่ตบแต่งกับองค์หญิง เราก็จะขยายเส้นทางการค้าสำเร็จ นับว่า แคว้นหมิงเราได้ประโยชน์จากแคว้นจินแล้ว”
จวิ้นอ๋องรู้สึกว่า การให้คนในราชวงศ์อภิเษกสมรสเพื่อสร้างฐานอำนาจล้วนเป็นเรื่องที่ควรยกเลิกไปได้แล้ว เขาศึกษาตำรับตำราและพูดคุยกับผู้รู้จากแคว้นต่างๆ ที่เดินทางไปมาบ่อยๆ เริ่มมองเห็นว่า ต่อไป การค้าขายจะกลายเป็นอำนาจหลักของแคว้น ในเมื่อแคว้นหมิงไม่อาจทำสงครามเพื่อครอบครองดินแดนที่มีเหมืองทองคำแห่งนี้ได้ และเขาเองก็ไม่อยากแต่งงานกับคนที่ตนไม่ได้รัก จวิ้นอ๋องจึงหวังจะหาเส้นทางการค้าเพื่อลบปัญหานี้ทิ้งไป
เขานึกถึงหญิงสาวผิวคล้ำที่ฆ่าเสือในวันนั้น จะว่าไปนางก็เป็นผู้มีพระคุณในการช่วยชีวิตเขา หากนางเป็นองค์หญิงจินเฟิ่งจริง แม้ไม่อาจจะอภิเษกสมรสกับนาง เขาก็ยังจะมีไมตรีจิตให้ นางนับว่าเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง
หลายวันมานี้ เซียงวั่งซูออกไปนั่งสืบข่าวที่ร้านน้ำชามวลมิตร เขากลับมาด้วยความกระตือรือร้น
“ข้าได้ข่าวองค์หญิงมาแล้ว เจ้าอยากฟังหรือไม่?”
จวิ้นอ๋องทำหน้าเบื่อหน่าย “แล้วท่านคิดว่า ข้ารอสิ่งใดเล่า?”
“หญิงที่เราพบในหุบเขามรกตน่าจะเป็นนาง เพราะหนังเสือนั้น ใต้เท้าเถากรมพิธีการเป็นคนขอซื้อไปไว้ที่คฤหาสน์”
“หากนางเป็นองค์หญิง เหตุใดต้องขาย ไยไม่มอบให้ไปเลย”
“แคว้นนี้ทุกอย่างเป็นการค้า องค์หญิงก็ต้องทำงานหาเงินเช่นกัน เพราะการเปิดเหมืองทอง จินอ๋องจะเอาออกมาใช้ตามสมควรเท่านั้น การจ่ายเบี้ยหวัดให้คนในราชวงศ์ก็จ่ายจำกัด เพราะเกรงว่า ทองจะหมดแล้วการพัฒนาบ้านเมืองจะลำบาก เจ้าไม่เห็นหรือว่า มีที่ราบอยู่น้อย เพาะปลูกธัญพืชได้ไม่เพียงพอกับประชาชน”
“พวกเขาคิดอ่านรอบคอบ กว่าจะตั้งบ้านตั้งเมืองมาได้ ก็หมดทองไปมิใช่น้อย หากพวกเขาค้าขายเก่ง เช่นนั้นแคว้นหมิงของเราอาจก้าวหน้าไม่ทัน” จวิ้นอ๋องรู้สึกว่า มีหลายอย่างที่ตนจะต้องเร่งกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงเตรียมการ
แม้เซียงวั่งซูจะไม่คิดอ่านไปข้างหน้าได้ไกลเท่าจวิ้นอ๋อง แต่เมื่อตรึกตรองดูแล้วน้องชายก็พูดถูก ตอนนี้เงินที่เขานำติดตัวมาด้วยก็หร่อยหรอลง ยิ่งเขาแอบไป หอมุกจันทรากับเฟิ่งหู่สองสามครั้งก็สูญเงินไปไม่น้อย แม่นางจากชนเผ่าทางเหนือที่มาเป็นหญิงคณิกาล้วนแต่ผิวพรรณขาวแปลกตา ไม่เหมือนผิวของหญิงสาวแคว้นหมิงที่ขาวนวล ดวงตาของพวกนางก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน ยิ่งมองก็ยิ่งสะกดใจ จึงทำให้สะกดเงินออกไปจากถุงได้ไม่น้อย
“เจ้าไม่คิดจะไปหอมุกจันทรากับข้าบ้างหรือ?”
“ในเมืองนี้ หากข้าไปสักวันอาจจะรู้ถึงหูคนจินอ๋อง ข้าจะเสียชื่อเอาได้ เอาไว้ไปที่เมืองอื่นเถิด ท่านเสี่ยงคนเดียวก็พอแล้ว”
ธรรมเนียมขององค์ชายทั้งหลาย ล้วนถูกห้ามมิให้เข้าไปในหอคณิกา ยกเว้นพวกเขาจะแอบลักลอบ ในช่วงอายุเริ่มรุ่นหนุ่ม จวิ้นอ๋องเคยตามชินอ๋องพี่ชายที่เป็นแม่ทัพหมิงผู้เก่งกาจเดินทัพไปทางใต้ พี่ชายพาเขาปลอมตัวเข้าไปประมูลสาวงามอันดับหนึ่งในหัวเมืองต่างๆ ให้เขาเชยชมหลายครั้ง ภายหลังจากที่ชินอ๋องมีสาวใช้อุ่นเตียง คนนั้น เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้เชยชมสาวงามอีก เพราะหากจะลอบไปกับจินวั่งซูก็เกรงว่า เรื่องดีจะกลายเป็นเรื่องร้าย
เงาสายหนึ่งวูบมาข้างหน้า “นายน้อย แม่นางตาสีฟ้ามาที่นี่”
เซียงเฉินกงผุดยืนขึ้นทันที ใบหน้าคมคล้ำเข้มกับดวงตาสีฟ้าคู่นั้น รบกวนจิตใจเขามาหลายวัน ใคร่จะได้พบนางอีกสักครั้ง อยากรู้ว่า นางคือ องค์หญิงจินเฟิ่งจริงหรือไม่? “เจ้าไปต้อนรับนางไว้”
เถ้าแก่เซียงสองพี่น้องเดินออกมาหน้าร้าน องค์หญิงจินเฟิ่งพาไป๋อวี๋กับหลี่เปียวออกมาร้านข้าวสารเซียงอีกวัน เพราะไป๋อวี้ที่นำเอาเรื่องของเสมียนหนุ่มทั้งสองไปเล่าให้นางกำนัลทั้งหลายฟัง เรียกเสียงฮือฮากันทั่วหน้า
วันนี้องค์หญิงจึงนำเอาจิตรกรมาด้วยผู้หนึ่งเพื่อจะขอวาดภาพชายหนุ่มทั้งสองไปให้เหล่าหญิงงามในวังทั้งหลายได้ชื่นชม คนที่แคว้นจินล้วนไม่ถือสาในเรื่องการแสดงความชื่นชมผู้อื่น หากองค์หญิงต้องการให้วาดรูปชายหนุ่มก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลก
“ข้าตามหาเจ้าตั้งนาน” ชายหนุ่มที่มีปานกระจายเต็มใบหน้าและลำคอทักขึ้น องค์หญิงเงยหน้า นางมองเห็นความหล่อเหลาของชายผู้นั้นทะลุออกมาจากปานทั้งหลายที่เกลื่อนทั่วผิวหน้าและลำคอเขา
“พวกท่านนั้นเอง ในเมื่อเจอกันแล้ว เช่นนั้นข้าจะแนะนำตัว นามข้าคือ จินเฟิ่ง” จวิ้นอ๋องดวงตาเป็นประกายวาบขึ้นสายหนึ่ง
“ท่านคงเป็น องค์หญิงจินเฟิ่ง”
“ท่านคงเป็นเถ้าแก่น้อยเซียง” นางยิ้มเห็นฟันขาว
จวิ้นอ๋องเพิ่งได้พินิจดูใบหน้าของนางอย่างถี่ถ้วนเป็นครั้งแรก
**********************