เถ้าแก่น้อยแห่งร้านข้าวสารแนะนำตัวแล้วกล่าวขอบคุณองค์หญิงจินเฟิ่งที่ช่วยชีวิตตนจากเสือร้าย
“ข้าน้อย ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนองค์หญิง นอกจากยินดีรับใช้ในสิ่งที่ท่านต้องการ”
คราแรกจินเฟิ่งคิดจะโบกมือปฏิเสธ แต่นางแอบเห็นรอยยกยิ้มมุมปาก ดูทีเขาจะเป็นคนมีลับลมคมในคนหนึ่ง “ดี เอาไว้ข้าคิดออกแล้วจะมาทวงกับเจ้า”
จวิ้นอ๋องที่ลอบยิ้มเล็กน้อย แอบตกใจที่นางไม่ได้ปฏิเสธ เขาคิดว่า นางน่าจะเป็นหญิงสาวที่ทะนงในความเก่งกาจของตนจนไม่สนใจการตอบแทนพระคุณเล็กๆ น้อยๆ แต่นางกลับจดเขาไว้ในบัญชีบุญคุณ
ทันใดขบวนของชายหนุ่มแต่งกายในชุดขุนนางก็เคลื่อนเข้ามาในร้าน
“องค์หญิง ข้าตามหาท่านตั้งนาน” จวิ้นอ๋องมองดูชายหนุ่มผู้นั้น รูปโฉมนับว่า ไม่ด้อย ดูจากสายตาก็พอประเมินได้ว่า ฝ่ายนั้นมีจิตปฏิพัทธ์กับนาง
“เจ้าจะตามหาข้าทำไมกัน งานการเจ้ามีเยอะแยะ” เจ้าหย่งจื้อ บุตรชายสายตรงของใต้เท้าเจ้าแห่งกรมโยธาธิการถึงกับหน้าม้าน แต่เพราะความที่ตามติดนางมาแต่เล็กแต่น้อยจึงไม่สนใจท่าทางเมินเฉยนั่น
“การดูแลความปลอดภัยให้องค์หญิงก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของข้าราชบริพารเช่นกัน”
จวิ้นอ๋องมองดูอาการง้อองค์หญิงของชายตรงหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แม้จะไม่ได้รู้สึกฉันท์ชู้สาวกับนาง แต่เพราะนางคือผู้กล้าในใจเขา ครั้นเห็นชายหนุ่มที่ดูหยิบโหย่งมาสนใจนางเช่นนี้ก็อดจะเสียดายแทนไม่ได้
“เอาเถอะ เจ้าอยากตามข้าก็ตามไป วันนี้ข้าจะเฝ้าจิตรกรวาดรูปเสมียนหนุ่มรูปงามเสียหน่อย เจ้าจะมีเวลาพอหรือเปล่าเล่า?”
เจ้าหย่งจื้อหน้าอึมครึมลง ยืนเฝ้านางอยู่ครู่หนึ่งก็มีข้าราชการผู้น้อยวิ่งมาตามให้กลับไปกรมโยธาธิการ
“ข้าต้องกลับไปทำงาน ทูลลาองค์หญิง”
จินเฟิ่งโบกมืออย่างเหนื่อยหน่าย ไม่นานนักก็มีขบวนของเหล่าอำมาตย์อีกกลุ่มเดินเข้ามา “องค์หญิง ท่านมาร้านขายข้าวสารทำไม?”นน
ใบหน้าคมเข้มนั้นหันขวับไปมองดูเจ้าของเสียง “ท่านว่างหรือ?”
เฝิงเหวินเหอ ขุนนางขั้นสาม บุตรชายใต้เท้าเฝิงกรมตุลาการ นำหน้าคนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาหา
ความคุ้นเคยแต่เล็กแต่น้อย และความสุภาพของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกเป็นมิตรยิ่งกว่าเจ้าหย่งจื้อที่เที่ยวประกาศไปทั่วเมืองหลวงว่า ต้องการเป็นราชบุตรเขย แม้นางจะด้อยในเรื่องของผิวพรรณที่ผิดประหลาดกว่าทุกคน แต่กลับมีชายหนุ่มมากมายที่ต้องการอภิเษกสมรสกับนาง จินเฟิ่งไม่แน่ใจว่า เพราะคนเหล่านั้นต้องการตำแหน่งราชบุตรเขยหรือต้องการตัวนางกันแน่
จวิ้นอ๋องจับตามองชายหนุ่มคนใหม่ รูปร่างหน้าตาดียิ่งกว่าคนแรก ดูสุภาพสุขุมมากกว่า เมื่อเห็นนางมีชายมาหมายชมเชยหลายคนเช่นนี้แทนที่เขาจะรู้สึกโล่งใจ กลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
จิตรกรเริ่มลงมือวาดภาพของเสมียนฉินก่อน ฉินจางหย่งสามารถนั่งลืมตาโพลงและหลับภายในเวลาเดียวกัน การได้เป็นแบบให้จิตรกรวาดภาพจึงนับเป็นช่วงเวลาพักผ่อนอย่างแท้จริง ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาก็ยังคงนิ่งจนจินเฟิ่งคิดว่า เขาอาจจะหยุดหายใจไปแล้ว นางจึงสั่งให้หลี่เปียวลองเดินเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นเขากระพริบหันมามองหลี่เปียว นางจึงยิ้มออกมา
“นางดูแปลกยิ่งนัก” เซียงวั่งซูแอบกล่าวกับน้องชาย เมื่อเดินเข้าไปในห้อง “นางดูทระนงองอาจเหมือนนักรบ สง่างามสมกับเป็นองค์หญิง หนำซ้ำชายรูปงามรายล้อมมากมายนางกลับไม่ได้ใส่ใจ หรือขวยเขินสะเทิ้นอายสักนิด”
จวิ้นอ๋องเห็นว่า ตนเองอุตส่าห์คิดแผนให้จินวั่งซูได้อวดรูปโฉมเพื่อหมายล่อให้องค์หญิงสนใจ ยิ่งฉินจางหย่งที่หญิงสาวทั้งเมืองหลงใหลใฝ่ฝัน อาจจะทำให้นางถูกใจ เพราะเขารู้มาว่า ชายหนุ่มในแคว้นจินไม่มีรูปลักษณ์งามชวนมองเช่นชาวหมิงและชาวผิง แต่เมื่อเห็นเฝิงเหวินเหอ ขุนนางในชุดสีน้ำตาลผู้นั้น กลับรูปงามไม่แพ้จินวั่งซู ผู้ชายด้วยกันพอดูออกว่า อีกฝ่ายมีสายตาหลงใหลในตัวองค์หญิง
เขาเห็นจะไม่ต้องลำบากคิดหาตัวช่วยอีกต่อไป แค่หาทางผลักดันให้นางตกลงปลงใจสมรสไปชายหนุ่มคนใดคนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ตัวเขาจะได้กลับไปหาหญิงสาวเรียบร้อย ยึดหลักสี่คุณธรรมสามคล้อยตาม เพราะดูแล้ว องค์หญิงจินเฟิ่งคงจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้
“ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องลำบาก ยิ่งนางเลือกแต่งงานไปกับผู้ชายหนึ่งในสองคนนั้นได้ยิ่งดี”
เซียงวั่งซูสบตาน้องชาย เห็นแววหงุดหงิดอยู่ในนั้น “แต่ดูเจ้าไม่สบอารมณ์ที่นางมีคนมาหมายตามากมาย หรือว่าเจ้า เกิดประทับใจวีรสตรีที่ช่วยหนุ่มรูปงามขึ้นมา”
“ข้าจะสนใจหญิงโหดที่ฆ่าเสือได้เช่นไร ข้าอยากได้คุณหนูในห้องหอ กริยามารยาทเรียบร้อย เก่งงานเย็บปัก บรรเลงพิณได้ไพเราะ ที่สำคัญต้องเชื่อฟังสามี”
พี่ชายยกพัดขึ้นคลี่ออกตบอกช้าๆ “ระวังไว้เถิด เกลียดสิ่งใดระวังจะได้สิ่งนั้น” เซียงวั่งซูหัวเราะหึๆ “เจ้าอย่าลืมว่า ฮ่องเต้หมิงมิใช่คนที่ใครจะเปลี่ยนพระทัยพระองค์ได้ง่ายๆ”
จวิ้นอ๋องใบหน้าอึมครึมเมื่อได้ยินพระนามนั้น เขาคงต้องเร่งมือหาทางผลักดันให้นางเลือกราชบุตรโดยเร็ว เช่นนี้แล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนถูกผลักดันออกจากเขา
หลังจากองค์หญิงจินเฟิ่งกลับวังพร้อมกับภาพวาดของฉินจางหย่ง นางบอกกับเถ้าแก่เซียงว่า พรุ่งนี้จะให้จิตรกรมาวาดภาพของฉีเจียตงผู้ช่วยเสมียนอีกครั้ง ทำเอาเซียงวั่งซูชักสีหน้าไม่พอใจ องค์หญิงปรายตามองแล้วแสร้งหัวเราะ
“ข้าลืมไปว่า ท่านเองก็เป็นชายรูปงามผู้หนึ่ง ควรวาดภาพท่านก่อนฉีเจียตงจึงจะถูกต้อง”
เพียงเท่านั้น เซียงวั่งซูก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี เขาตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะเตรียมชาชั้นเยี่ยมที่นำมาจากแคว้นหมิงชงถวายองค์หญิงอีกด้วย
เย็นนั้นเถ้าแก่เซียงสองพี่น้องออกไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารมู่กง ส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับบรรดาผู้มีอันจะกินในแคว้น ยิ่งรู้จักคนใหญ่คนโตมาก โอกาสแทรกซึมเข้าไปได้ก็ยิ่งมาก ไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือการเมืองก็ล้วนแยกกันออกได้ยาก
“เจ้าของที่นี่คือ องค์ชายจินเทียนหลิว ข้าเคยเห็นครั้งหนึ่ง แต่ต้องหาคนรับรองเราให้ได้ก่อน จึงจะเข้าไปพูดคุยเรื่องค้าขายได้”
“เราเริ่มจากพวกคหบดีที่ทำกิจการขนาดใหญ่ก่อนก็แล้วกัน” จวิ้นอ๋องวางแผนให้เถ้าแก่เซียงกลายเป็นบุคคลสำคัญของเมืองจิน วาจาของเซียงวั่งซูนั้นใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งคุยใหญ่โตในเรื่องกิจการค้า
คุณชายทั้งร้านผ้าไหม ร้านเครื่องประดับ ร้านรับแลกเงิน ล้วนแล้วแต่มาสังสรรค์กันที่นี่ในยามเย็น เถ้าแก่เซียงทั้งสองจึงกลายเป็นคหบดีหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ บรรดาชนชั้นพ่อค้าด้วยกันต่างก็อยากได้พวกเขาไปเป็นเขย ส่วนหนึ่งของขุนนางก็อยากได้เขยที่มากบารมีเงินเช่นกัน เพราะบางครั้งตำแหน่งนั้นก็ต้องใช้เงินทองในปูทาง
นอกจากจะได้รู้เรื่องสายสนกลในเกี่ยวกับกิจการต่างๆ แล้ว เรื่องได้รู้เพิ่มคือ เรื่องขององค์หญิงจินเฟิ่ง
“อย่าว่าแต่บุตรใต้เท้าเจ้ากับใต้เท้าเฝิงเลย แม้แต่เผ่าต่างๆ ก็มุ่งหวังจะมาสู่ขอ องค์หญิงกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าหางแถวสำหรับจวิ้นอ๋องแคว้นหมิงอยู่ที่ใดด้วยซ้ำ”
**********************