? : Five

2271 Words
ฉันยืดสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เมื่อยามที่มองเห็นแผ่นหลังของคุณปลายซึ่งนั่งรอกันอยู่ที่โต๊ะทานอาหารภายในที่แห่งนี้ และค่อย ๆ เดินจ้ำเท้าเข้าไปหาเธออย่างไม่เร่งรีบนักพร้อมกับที่มือของฉันมีถาดสำหรับใส่อาหารแบบเป็นช่อง ๆ และวันนี้ฉันเลือกจะลองชิมอาหารฟรีหลังจากที่ไม่ได้ชิมมาเสียนานตั้งแต่ย้ายขึ้นไปเป็นผู้บริหาร บริษัทของเราให้คุณค่าแก่อาหารการกินของพนักงานมาก ดังนั้นเราจึงใช้งบประมาณไม่น้อยเลยสำหรับมื้อกลางวันให้มันออกมาดีที่สุด แต่อาหารวันนี้หน้าตาก็ดูไม่ได้แย่เท่าไรและฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะอร่อยถูกหลักโภชนาการเพราะคนมาต่อแถวหลังจากฉันก็มีอยู่จำนวนไม่ใช่น้อย จริง ๆ แล้วพวกเขาต่างก็พากันแหวกทางให้ฉันรับอาหารก่อนทั้งนั้นด้วยสายตาที่สบมองมาและมีแต่คำถามจนเต็มไปหมด แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจและยืนยันว่ารอได้ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นานเลยกว่าจะถึงคิวของฉัน “คุณปลายยังไม่ทานเหรอคะ?” ฉันเอ่ยถามหลังจากที่เดินกลับมาแล้วอาหารที่หน้าตาเหมือนกันกับฉันยังอยู่ในปริมาณเท่าเดิม แถมพนักงานที่ตอนแรกตั้งใจจะมานั่งเป็นเพื่อนกับคุณเขาก็ต่างหลีกทางให้กับฉันได้นั่งลงตรงข้ามกับเธอซึ่งฉันยอมรับตามตรงว่าเขินอายอยู่ไม่ใช่น้อย นี่มันความไฝ่ฝันอันดับหนึ่งของฉันเลยก็ว่าได้ ปกติแล้วเธอมักจะมาไลฟ์และทานอาหารพร้อมกับพูดคุยกับเหล่าแฟนคลับบ่อย ๆ แต่ฉันไม่เคยได้เห็นเธอทานอาหารแบบตัวเป็น ๆ เช่นนี้มาก่อน ถือเสียว่าอะไร ๆ มันก็ค่อนข้างที่จะเริ่มต้นไปได้ด้วยดีและฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าคุณเขาจะไม่รู้ว่าฉันเป็นแฟนคลับตัวยงของเธอไม่เช่นนั้นไม่วายได้โดนคุณเขาเอ่ยแซวอีกเป็นแน่แท้ แค่เธอเอ่ยชมฉันเมื่อสักครู่ฉันก็แทบจะล้มทั้งยืนจนลืมไปจนหมดสิ้นแล้วว่าตัวเองลงมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรตั้งแต่ทีแรก “ปลายก็รอทานพร้อมคุณไงคะ” ตึกตัก ตึกตัก เสียงหัวใจของฉันเองหาใช่สิ่งใดอื่น... ฉันก้มหน้าหลุบตาลงต่ำพร้อมกับเขี่ยข้าวในถาดไปมาด้วยอาการที่ใบหน้าร้อนผ่าวแต่สายตาและสมองของฉันไม่ได้โฟกัสอยู่ที่อาหารเลยแม้เพียงแต่น้อย มันจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว...นี่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจีบอยู่เลยตั้งแต่คำชมของเธอ แต่โดยปกตินิสัยของคุณปลายก็มักจะเป็นกันเองและเข้ากันกับคนง่ายเป็นทุนเดิม มันเลยทำให้ฉันไม่แน่ใจอะไรเลยว่าเธอตั้งใจที่จะล้อหลอกกันเล่นหรือว่าแสนดีโดยนิสัยของเธออยู่แล้วกันแน่ “เอ้อคุณคะ...” “คะ?” ฉันเงยหน้าหลังจากที่ถูกเธอเอ่ยเรียกกัน ซึ่งฉันสังเกตเห็นว่าเธอก็กำลังจะตักอาหารในถาดเพื่อลิ้มรส ก่อนในที่สุดเธอจะเคี้ยวจนแก้มตุ่ยให้ฉันรอฟังว่าเธอกำลังต้องการที่จะเอ่ยสิ่งใดเป็นการต่อไป พนักงานที่อยู่รอบ ๆ และเห็นใบหน้าของฉันก็ต่างแวะทักทาย ซึ่งฉันก็ต้องหันไปรับไหว้อยู่บ่อย ๆ จนคนตรงข้ามเริ่มจะแสดงสีหน้าแห่งความไม่มั่นใจออกมาให้ฉันได้เห็น “ปลายยังไม่ทราบชื่อของคุณเลย แล้วดูเหมือนว่าคุณเองก็เป็นที่เคารพนับถือของพนักงานด้วยนะคะ” เธอเอ่ยถามอย่างชวนคุยพลางตักกับข้าวเข้าปากอีกครั้งให้ฉันคิดได้ในตอนนี้ว่าควรทานบ้างแล้วไม่เช่นนั้นเขี่ยข้าวไปมาแบบนี้มันจะเสียมารยาท ฉันจึงยกยิ้มให้กับเธอเล็กน้อยและก้มหน้านิดหน่อยเพื่อที่จะตักอาหารที่อยู่ในถาดของตัวเองทั้งรอยยิ้มที่ยังประดับเพราะมีความสุขที่วันนี้มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะกับศิลปินคนโปรดอย่างเธอ “ฝันเป็น...” แต่แล้วรอยยิ้มของฉันที่ประดับอยู่นั้นก็ต้องหยุดชะงักพร้อมกับเสียงพูดที่ขาดห้วงไป “เป็นอะไรหรือเปล่า...” “ฝันขอตัวไปคุยกับแม่ครัวสักครู่นะคะ!” ฉันกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจและลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือถาดอาหารของตัวเองไปทางเหล่าแม่ครัวที่ยังตักอาหารให้กับพนักงานอยู่ในทันทีอย่างไม่มีรีรอ PART ปลาย ฉันหันมองตามผู้หญิงที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามก่อนจะลุกขึ้นไปตามเธอเพราะใบหน้าของเธอเมื่อครู่นี้มันไม่เอ็นจอยเอาเสียเลยและฉันกำลังกังวลว่าเธออาจจะมีเรื่องร้อนใจอะไร เธอเดินอย่างเร่งรีบพร้อมกับการกำถาดในมือของตัวเองข้างหนึ่ง ก่อนจะวางลงแรง ๆ ที่ตู้กระจกจนเหล่าพนักงานที่ต่อแถวและแม่ครัวทั้งหลายต่างก็สะดุ้งโหยงและใช่มันรวมไปถึงตัวของฉันเองด้วยที่ยังประติดประต่อเรื่องราวอะไรได้ไม่ดีนัก “นี่มันหมายความว่ายังไงคะ?” เธอเอ่ยถามออกมาพร้อมกับชี้ไปที่อาหารของเธอ ซึ่งตอนนี้เธอหันหลังอยู่และฉันไม่เห็นว่าเธอกำลังแสดงสีหน้าท่าทางเช่นไร รวมไปถึงไม่เห็นด้วยว่าสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อในถาดอาหารของเธอมันคืออะไรกันแน่ และฉันก็เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อที่จะได้สบมองใบหน้าของเธอให้ได้ชัดเจน...แต่มันก็กำลังแดงก่ำเพราะเธอน่าจะกำลังโมโหจากอะไรบางอย่าง ใบหน้าของพนักงานที่ยืนอยู่รอบ ๆ เริ่มซีดเผือกไม่ต่างอะไรจากแม่ครัว ซึ่งมันทำให้ฉันพอรู้แล้วว่าเธอคนนี้คงจะมีอิทธิพลและเคร่งครัดไม่น้อยเลย ทั้งฉันก็ยังไม่เคยได้เห็นเธอในมาดมุมแบบนี้มาก่อน และมันทำให้ฉันรู้สึกหัวใจสั่นไหวแปลก ๆ โดยที่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า... “เอ่อคือว่า...” “ทำไมถึงมีสารกันชื้นอยู่ในถาดอาหารล่ะคะ...อาหารที่พวกคุณทำไม่ได้ทำสดใหม่ทุกวันแต่เป็นอาหารแช่แข็งอย่างนั้นหรือ?” เธอเอ่ยถามชัดถ้อยชัดคำทุกประโยคให้ฉันได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ อย่างนึกหวั่นเกรงอยู่เล็กน้อยกับกิริยาของเธอที่แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โรงอาหารที่เคยจอแจเพราะผู้คนกำลังพูดคุยกันในช่วงพักเที่ยงเงียบหายไปในพริบตาและมีเพียงแต่ความเงียบสงบกับใบหน้าที่ซีดเผือกของแม่ครัวสามคนที่ยืนก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างไม่กล้าสบสายตา “งบประมาณที่พวกเราได้รับมา...มันเพียงพอแค่สำหรับอาหารแช่แข็งเท่านั้นค่ะ” มีหนึ่งในนั้นใจกล้าพูดขึ้นมาให้เธอที่ยืนทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ในคราแรกอ่อนลงไปในทันใด แต่ก็ยังคงวางมาดแห่งความน่าเกรงขามเอาไว้และผู้คนในนี้ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นสบมองเธอเลยแม้เพียงแต่คนเดียว “แต่ในรายการต่อเดือนทุกครั้งดิฉันค่อนข้างแน่ใจนะคะว่าให้งบประมาณในส่วนโภชนาการที่ดีพอต่อพนักงานในบริษัทของดิฉันทุกคน เรียกได้ว่าทานกุ้งหอยปูปลาทุกเที่ยงเลยก็ว่าได้ แต่ทำไมคุณถึงบอกว่าได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ?” แม่ครัวคนที่เอ่ยตอบก่อนหน้านี้ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างไม่กล้าต่อปากต่อคำอีกแล้ว ส่วนเธอเองก็เริ่มคิดและประมวณผลก่อนจะถอนหายใจออกมาดังเฮือกราวกับว่าคิดอะไรออกแต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ “บ่ายโมงครึ่งพบกันที่ห้องประชุมชั้นสี่นะคะ ดิฉันต้องการทราบรายละเอียดทุกอย่างจากปากของพวกคุณ อ้อ...คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณทุกคนต้องขึ้นมาร่วมประชุมด้วยนะคะ” “ค่ะคุณเหมือนฝัน...” “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะบอส...พอดีมีพนักงานไปตามดิฉันมาค่ะ” และอยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาจากที่ไหนสักแห่งด้วยทีท่าเร่งรีบ และยืนพูดกับผู้หญิงตรงหน้าด้วยทีท่านอบน้อมแถมเจ้าหล่อนยังเรียกเธอว่าบอสอีกต่างหาก หรือว่าเธอจะเป็นหัวหน้าแผนกบุคคล? “บ่ายโมงครึ่งเตรียมห้องประชุมที่ชั้นสี่เอาไว้ด้วยฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับพวกเขา แล้วเดี๋ยวเธอนัดทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณของโภชนาการมาด้วยนะ...เรื่องนี้เราได้สอบสวนกันยาวแน่ ๆ ว่างบประมาณทั้งหมดทำไมมันเพียงพอแค่อาหารสำเร็จรูปพวกนี้” “ได้ค่ะบอส” “แล้วก็นัดทนายของบริษัทมาด้วย จะได้รู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ที่โกหก” “รับทราบค่ะ ดิฉันจัดการให้เดี๋ยวนี้” ก่อนที่เจ้าหล่อนจะวิ่งจากไปอีกหน ซึ่งคุณผู้หญิงตรงหน้าของฉันก็หันไปสบมองที่เหล่าแม่ครัวทั้งสามคนอีกครั้งด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าและถอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้พวกเขาเหล่านั้นหน้าซีดเผือก “ถ้าหากพวกคุณพูดความจริงก็ไม่ต้องกลัวค่ะ ดิฉันจะช่วยเหลือพวกคุณเต็มที่” “ค่ะคุณเหมือนฝัน ป้าพูดจริง ๆ ไม่เคยโกหกคุณอย่างแน่นอนค่ะ” คนสูงวัยก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างหวาดหวั่น และดวงหน้าของเธอก็ดูอ่อนลงและฉันมองเห็นความอ่อนไหวในแววตาของเธอว่าก็คงจะเคร่งเครียดไม่ใช่น้อยเลยกับสิ่งที่ตนเองนั้นกำลังจะต้องพบเจอ ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเธอมีตำแหน่งหน้าที่อะไรในบริษัทนี้ แต่ฉันก็ค่อนข้างแน่ใจว่าพนักงานและคนอื่น ๆ หวั่นเกรงเธออยู่พอสมควร แต่พวกเขาคงไม่ทันได้สังเกตในเสี้ยววินาทีในการกระทำที่เธอแสดงออกมาถึงความเหนื่อยล้า...และฉันที่สบมองเธออยู่ตลอดไม่ละสายตาไปไหนได้ทันสังเกตเห็นมันก่อนที่จะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นคนเข้มแข็งดังเดิม “รู้ไหมคะว่าอาหารแช่แข็งหากทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ แล้วมันจะมีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?” “ป้าขอโทษค่ะ…” “หลังจากวันนี้ถ้ามันเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ดิฉันขอให้คุณป้าปรุงอาหารสดใหม่ทุกครั้งนะคะ...เพื่อสุขภาพและโภชนาการที่ดีของพนักงานทุกคนในบริษัท” “ค่ะ ป้ารับปาก” “เช่นนั้นดิฉันขอตัวไปเตรียมตัวก่อนแล้ว ยังไงรักษาเวลาด้วยนะคะ” “ค่ะคุณเหมือนฝัน สวัสดีค่ะ” และคนสูงวัยทั้งสามก็ยกมือไหว้และเธอก็ไม่ได้เมินเฉยที่จะยกมือไหว้กลับแม้ตัวเองจะมีหน้าที่การงานที่สูงส่งกว่าและใคร ๆ ก็ให้ความหวั่นเกรง เจ้าหล่อนหันหลังกลับมาสบสายตากับฉันพอดิบพอดีเพราะฉันยังคงสบมองเธอไม่ได้ละจากไปไหน ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาชิดใกล้และยกยิ้มให้กับฉันจาง ๆ ด้วยดวงหน้าเหนื่อยล้าแต่ฉันสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งที่เธอพยายามสร้างกำแพงให้กับตัวเอง “ขอโทษด้วยนะคะ มาวันแรกก็มีเรื่องเลย” “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ปลายว่าคุณดูเท่มาก ๆ เลยด้วยซ้ำไปนะคะ” ฉันยกยิ้มและพูดออกมาเพื่อหวังให้กำลังใจเธอ แต่อยู่ ๆ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาของฉันอีกครั้งและมันทำให้ฉันเอ็นดูเธอจนล้นอกเพราะเธอคนนี้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของป้าแม่ครัว...มันราวกับคนละคนกันเลย และหัวใจของฉัน...กำลังเต้นแรงกับการกระทำที่สุดแสนจะน่ารักของเธอจนควบคุมมันต่อไปอีกไม่ไหว “คุณดูเหนื่อยแล้วไปพักสักหน่อยดีไหมคะ?” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบมองกันอีกครั้งหลังจากที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น ซึ่งฉันก็ยกยิ้มให้กับเธอจาง ๆ และเอื้อมมือขึ้นไปบีบนวดไหล่ของเธอเบา ๆ อย่างถือวิสาสะ แน่นอนว่าเธอหันมาสบมองที่มือของฉันจนฉันเกือบที่จะผละออกเพราะคิดว่าเธอไม่ชอบใจ แต่อยู่ ๆ เธอก็เผยยิ้มออกมาจนเต็มใบให้ฉันเห็นฟันที่เรียงสวยของเธอและฉันก็ตัดสินใจจับมันอยู่อย่างนั้นโดยที่เธอก็ไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจรังงอนกันแต่อย่างใด “ขอบคุณมากเลยนะคะคุณปลาย...ฝันรู้สึกดีขึ้นมาก ๆ เลยค่ะ” และเธอก็แปรเปลี่ยนสรรพนามมาเรียกชื่อของตัวเองอีกครั้งให้ฉันหัวใจฟูฟ่องและเริ่มจะคิดเข้าข้างตัวเองในตอนนี้แล้วว่าเธอก็อาจจะมีความรู้สึกดี ๆ กับฉันอยู่ไม่มากก็น้อย “ถ้าอย่างนั้นไปพักผ่อนให้สบายใจก่อนนะคะ” “…” “แล้วก็อย่าคิดมากนะคะ...ปลายเป็นห่วง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD