? : Intro
แสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบกับใบหน้าทำให้ฉันต้องลืมตาขึ้นตื่นก่อนจะเบิกโพลงจนเต็มดวงเพราะวันนี้เป็นวันดี ๆ อีกวันของฉันที่ฉันรอคอย
มือบางเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียงก่อนจะทำการเปิดเป็นโหมดเครื่องบินเอาไว้เพราะวันนี้เป็นวันที่ฉันลางานเอาไว้ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ความกระปรี้กระเปร่าพาให้ร่างกายของฉันลุกขึ้นจากเตียงนอนและเดินไปชำระร่างกายด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าอย่างมีความสุข
ฉันยังคงเดินอย่างอารมณ์ดีออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับที่ริมฝีปากฮัมเพลงของศิลปินคนที่ฉันโปรดปราน ร่างบอบบางผอมเพรียวเดินไปทางตู้เสื้อผ้าและเลือกหยิบจับชุดสบาย ๆ ที่ไม่ค่อยได้สวมใส่มากนักแทนที่จะเป็นชุดสูทหรูที่ใส่อยู่ทุกคืนวัน
จัดการแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จสรรพก็ไม่ลืมที่จะหยิบกล้องถ่ายรูปพร้อมกับมาสก์ปิดปากเพื่อปกปิดใบหน้าและอัลบั้มใหม่ล่าสุดของเธอที่ฉันไปกว้านซื้อมาเพื่อที่จะได้มีชื่อในงานแฟนไซน์
เช็คความเรียบร้อยอย่างที่เป็นนิสัยก่อนจะเดินอย่างอารมณ์ดีออกมาจากชุดห้องคอนโดสุดหรูเพื่อไปโบกวินมอเตอร์ไซค์หน้าซอยและตรงไปยังจุดมุ่งหมายในทันใด
วันนี้ฉันเลือกจะใช้บริการรถไฟฟ้ามหานครแทนที่จะเป็นการขับรถส่วนตัวไปยังที่หมายเพราะฉันคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าในวันดี ๆ เช่นนี้ต้องรถติดไม่น้อยและฉันอาจจะไปไม่ทันการ
ผู้คนอัดแน่นอย่างที่ฉันคาดคิดเอาไว้เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือที่แห่งเดียวกันแต่ฉันก็ฮึดสู้เพราะรู้อยู่แล้วว่าจุดมุ่งหมายของฉันที่แสนลำบากเช่นนี้นั้น...ปลายทางของมันจะต้องคุ้มค่าและฉันไม่เคยผิดหวังเลยแม้เพียงสักครั้ง
ต่างคนต่างจับกลุ่มมากันเป็นพรรคพวกทั้งยังพูดคุยถึงที่หมายของพวกเขา บ้างก็ใส่เสื้อกันเป็นกลุ่ม บ้างก็ถือป้ายไฟชื่อของคนที่พวกเขาโปรดปราน ซึ่งทุกบทการสนทนาของพวกเขาฉันได้ยินมันชัดเจนทุกสิ่งอย่าง...และมันทำให้ฉันเผยยิ้มคนเดียวใต้มาสก์ที่สวมใส่ทั้งยังดีใจกับคน ๆ นั้นที่ฉันหวังดีอยู่เสมอ
แม้เขาจะเป็นศิลปินผู้โด่งดังและไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของฉันเลย...
และใช่...ฉันกำลังมุ่งหน้าไปงานแฟนไซน์ของศิลปินหญิงเดี่ยวคนหนึ่งที่ฉันหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังเพลงของเธอ
ฉันติดตามอิมสตาแกรมของเธอตั้งแต่เธอมีผู้ติดตามแค่เพียงหลักร้อย...
ฉันซื้ออัลบั้มของเธอตั้งแต่ชุดแรกและมียอดขายเพียงแค่หลักพัน...
ฉันเฝ้ารองานแจกลายเซ็นของเธอในทุก ๆ ปีอย่างมีความหวัง...
ทั้งยังกวาดซื้ออัลบั้มของเธอเป็นจำนวนมากเพื่อที่ฉันจะได้รับเกียรติให้มาเจอเธอคนที่ฉันเฝ้ารอ และใช่...ฉันไม่เคยผิดหวังสักครั้งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเธอเป็นรางวัลตอบแทน
และนี่ก็เป็นอีกวันที่ฉันยังคงคาดหวังรอยยิ้มของเธออยู่เสมอ...แม้เธอจะไม่ได้ยิ้มให้กับฉันแค่เพียงคนเดียวแต่ฉันก็ยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวัง
ไม่นานนักฉันก็เดินทางมาถึงที่หมายซึ่งผู้คนมากมายอย่างที่ฉันคาดคิดเอาไว้ไม่มีผิด ต่างคนก็ต่างไปต่อแถวเพื่อรอที่จะได้เข้าไปตามลำดับแต่บางคนที่ไม่ได้มีชื่อในการได้รับลายเซ็นก็รออยู่ที่ด้านนอกและกำลังเฝ้ารอการปรากฏตัวของเธอคนนั้น
ฉันดีใจที่ในวันนี้เธอมีแฟนคลับมากมายที่หลงรักเธอเหมือนกันกับฉัน และฉันอยากจะให้มีคนรักเธอมากยิ่งขึ้นต่อ ๆ ไปในอนาคตอย่างที่เจ้าตัวเคยได้พูดเอาไว้ในไลฟ์สดที่ฉันไม่เคยพลาดสักครั้งเลยที่จะรับชมเธอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม
ฉันพาร่างของตัวเองเดินไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเอาไว้และหันมองไปรอบ ๆ งานซึ่งมันเป็นสไตล์ของเธอเลยที่ชอบสีแดงสด ในห้างนี้ทุก ๆ ชั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังถือกล้องรอการมาปรากฏตัวของเธอเหมือนกันกับฉัน และใจฉันก็ยังสั่นไหวได้อยู่เสมอแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้พบเธอแต่ฉันก็ยังคงตื่นเต้นเหมือนดั่งวันแรกไม่มีผิดเพี้ยน
โทรศัพท์เครื่องหรูถูกยกขึ้นมาถ่ายเอาไว้รอบ ๆ งานก่อนที่ฉันจะเก็บมันกลับลงไปดังเดิมอย่างตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไปโพสลงอิมสตาแกรมซึ่งเป็นแอคสำรองของฉันเอง
ซึ่งฉันก็โพสลงจวิตเตอร์แอคสนับสนุนศิลปินอย่างเธอและมันมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าแอคเคาท์ของฉันเป็นแอคใหญ่ที่สุดของแฟนคลับเลยก็คงจะไม่ผิดนักและฉันมีความสุขทุกครั้งเวลาสลับมาที่แอคเคาท์นี้และได้หวีดภาพที่แสนน่ารักของเธอจากฝีมือของฉันผู้ซึ่งเป็นคนถ่าย
“กรี๊ดดดดดดดดดด!”
“สวัสดีค่ะทุกคน!”
เสียงของเธอดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรี๊ดของเหล่าแฟนคลับที่ให้การสนับสนุนจากทั่วทุกสารทิศไม่ว่าจะเป็นชั้นไหน ๆ ของห้าง
เธอเดินขึ้นมาพร้อมกับกีต้าร์สีแดงสีโปรดคู่ใจของเธอกับเสื้อหนังสีดำตัดกับเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนทรงเซอร์ ๆ ตามสไตล์ของเธอรับกับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อหรูยังพาให้หัวใจของฉันสั่นไหวได้ทุกครั้งจนต้องยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพของเธอเอาไว้เป็นความทรงจำที่แสนดีของวันนี้
ชัตเตอร์ถูกกดเป็นร้อย ๆ ครั้งจากฝีมือของฉันไม่รวมกับคนอื่น ๆ ที่ก็ทำเฉกเช่นเดียวกัน ผู้คนต่างกรู่กันไปที่หน้าเวทีเพื่อชมเธอในระยะใกล้และฉันก็ไม่รอช้ารีบทำตามบ้างเพราะหวังจะเก็บรูปของเธอในระยะที่ใกล้กว่านี้
“ขอบคุณทุกคนมากค่า เดี๋ยวปลายขอทุกคนกลับไปนั่งที่กันก่อนน้า”
เธอพูดหลังจากที่บทเพลงของเธอได้จบลงทั้งยังยกยิ้มออกมาจนเต็มใบให้หัวใจของฉันกระตุก ผู้คนกำลังเดินทยอยกลับไปยังที่นั่งของตัวเองที่ถูกจัดเอาไว้ แต่ฉันกลับยังยืนอยู่กับที่และสบมองเธอที่กำลังจะเก็บไมค์กลับไปยังขาไมค์ที่ถูกจัดสรรเอาไว้ในคราแรก
มันราวกับโลกทั้งใบของฉันหยุดชะงักและภาพของเธอกลายเป็นภาพสโลว์โมชั่นที่ผู้คนนั้นหายไปหมดมีเพียงแค่ฉันกับคนบนเวทีเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่
ทุกการกระทำ ทุกการเคลื่อนไหว ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ในสายตาของฉันทั้งหมดให้ฉันเผยยิ้มออกมาโดยที่ตัวเองนั้นก็ไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าเผลอเก็บรายละเอียดอะไรของเธอไปบ้าง
ฉันรู้เพียงแค่ว่าเธอไปทาสีเล็บใหม่มา ผมสั้นประบ่าของเธอก็ไปย้อมด้านในซึ่งเป็นสีบลอนด์สว่างทั้ง ๆ ที่เมื่อสองวันก่อนผมของเธอยังเป็นสีดำสวย และฉันแอบเห็นสร้อยคออันใหม่ของเธอที่ยังไม่เคยสวมใส่อีกด้วย และมันเป็นอักษรตัว P ซึ่งน่าจะย่อมากจากชื่อเล่นของเธอนั่นเอง
“จ้องกันขนาดนี้...ปลายก็เขินแย่สิคะ”
“!!!”
ฉันได้สติกลับมาอีกครั้งเมื่อเธอเอ่ยพูดออกมาพร้อมกับยกยิ้มจนเต็มใบซึ่งฉันก็หันไปสบมองรอบ ๆ และก็พึ่งได้รู้สึกตัวเดี๋ยวนี้ว่าผู้คนเดินกลับไปยังที่ของตนหมดแล้วและมีเพียงฉันที่ยังยืนอยู่ตรงนี้
“ขอโทษค่ะ!”
ฉันตะโกนเสียงดังและเดินอย่างเขินอายกลับมายังที่ของตัวเอง ผู้คนต่างสบมองฉันด้วยแววตาที่แสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่ากำลังหัวเราะเยาะกันอยู่ และมันทำให้ฉันยิ่งเขินอายมากไปกันใหญ่เมื่อรับรู้ได้ว่ากลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนนับร้อยนับพันไปเสียแล้ว
แต่รอยยิ้มของเธอที่ส่งมอบมาให้กับฉันคนเดียวเมื่อครู่นั้นมันสวยงามจนหัวใจของฉันสั่นไหวไม่เป็นจังหวะเลยล่ะ...
แม้จะเขินอายแต่ก็ช่างคุ้มค่าเสียจริง...
คิวรันไปตามลำดับการแจกลายเซ็นและฉันยังคงตื่นเต้นอยู่เสมอแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้พบเจอกับเธอในงานแฟนไซน์แห่งนี้
ตอนนี้ลำดับคิวของฉันได้เข้าไปต่อแถวเพื่อรอพบเจอกับเธอแล้ว หัวใจของฉันก็ยิ่งเต้นแรงสนั่นหวั่นไหวเมื่อได้มองเห็นเธอในระยะที่ใกล้มากขึ้นทุกที...รอยยิ้มของเธอยังคงเป็นผลตอบแทนที่แสนล้ำค่าให้กับฉันได้อยู่เสมอ
และฉันกำลังขยับเข้าไปใกล้กับเธอทุกทีแล้ว...จนในที่สุดตอนนี้ฉันก็ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ
“คุณคนที่ยืนจ้องปลายเมื่อกี้นี่หน่า...”
เธอเอ่ยแซวพร้อมกับยกยิ้มออกมาจนเต็มใบให้หัวใจของฉันเต้นแรงสนั่นหวั่นไหวจนใบหน้าของฉันรู้สึกร้อนผ่าวและมันลามไปยันใบหูจนต้องก้มหน้าหลุบตาลงต่ำเพราะไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาอันทรงเสน่ห์ของเธอ
คุณคนที่เอ่ยแซวก็เหมือนกับรู้ตัวว่าฉันกำลังเขินอายเธอจึงหัวเราะออกมาบางเบาและก้มลงไปเซ็นอัลบั้มของเธอให้กับฉัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบมองกันอีกครั้งให้ฉันต้องก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอีกหนเพราะไม่กล้าแม้แต่จะมองใบหน้าของเธอในระยะประชิด
ไอหัวใจบ้านี่ก็เต้นแรงเสียจริง หากไม่ติดว่าคนตรงหน้าคือคุณปลาย...ฉันคงคิดว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจไปเสียแล้วก็เป็นได้
“หน้าแดงจังเลย...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ?”
“คะ?”
“แม้คุณจะปิดมาสก์แต่ปลายเห็นว่าหน้าของคุณแดงมากเลย แดงลามไปยันใบหูเลยนะคะ...รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ให้ปลายช่วยเรียกสตาฟให้ดีไหมคะ?”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉันรีบยกมือขึ้นมาปฏิเสธเป็นพัลวันเพราะกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด จริง ๆ แล้วฉันเพียงแค่เขินอายเธอเกินไปใบหน้าของฉันจึงแสดงออกมาด้วยการแดงก่ำก็เพียงเท่านั้น
น่ารักอย่างไรก็น่ารักอย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน...
แสนดีอย่างไรก็แสนดีอย่างนั้นอยู่เสมอ...
แล้วจะไม่ให้ฉันตกหลุมรักเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไรกันล่ะ...คุณปลาย
“อ๋อ! ปลายจำได้แล้ว!”
“คะ?”
“คุณคนที่ชอบใส่มาสก์มาหาปลายบ่อย ๆ ปลายจำคุณได้แล้วค่ะ”
และเธอก็ยกยิ้มออกมาอีกครั้ง สร้างความสั่นไหวให้กับหัวใจของฉันได้อยู่เสมอ
“คุณเป็นแฟนคลับคนแรก ๆ ของปลายเลยนี่หน่า...ทำไมปลายจะจำคุณไม่ได้ล่ะคะ แต่วันนี้เปลี่ยนมาใส่เป็นมาสก์สีเนื้อแทนสีขาวที่ชอบใส่เป็นประจำนี่เนอะ ปลายก็เลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรแต่เป็นคุณจริง ๆ ด้วย”
“...”
“ขอบคุณนะคะที่วันนี้ก็มาหากันอีกแล้ว”
“...”
“ต่อไปนี้ปลายคงคิดถึงคุณแย่เลยนะคะ”
ก่อนเธอจะยกยิ้มออกมาอย่างแสนเศร้า และมันทำให้ฉันได้แต่ข้องใจว่าเหตุใดกันเธอถึงทำหน้าตาได้เศร้าหมองเช่นนี้...เพราะทุกครั้งเธอมักจะมีรอยยิ้มให้กับแฟนคลับอย่างฉันและคนอื่น ๆ อยู่เสมอ
แล้วจะคิดถึงฉันด้วยเหตุผลอันใด...เพราะไม่ว่าเธอจะออกมาอีกกี่อัลบั้มอีกกี่สิบเพลงฉันก็จะคอยซัพพอร์ตเธออยู่ตรงนี้เสมอไม่ได้จากไปไหน
แต่ฉันยอมรับตามตรงเลยว่าคำว่าคิดถึงของเธอนั้นทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นมาได้อีกครั้งแล้ว...
“ทำไมคุณปลายถึงพูด...”
“หมดเวลาแล้วค่ะ”
ฉันยังไม่ได้ทันพูดอะไรก็ถูกขัดเอาไว้จากสตาฟที่เดินมาสะกิดแขนของฉันอย่างแผ่วเบา
ซึ่งฉันก็หันไปสบมองใบหน้าของคนตรงข้ามเล็กน้อยก่อนที่เธอจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นรอยยิ้มดังเดิมแล้ว...ราวกับว่าแววตาที่แสนเศร้าของเธอนั้นมันไม่มีอยู่จริงและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยวอยู่รอก่อนนะคุณใส่มาสก์...หลังงานจบปลายมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบค่ะ”
หลังจากจบประโยคนั้นของเธอฉันก็ได้แต่นั่งคิดและเป็นกังวลว่าเธอมีเรื่องอะไรกันแน่ที่อยากจะบอกกับแฟนคลับทุก ๆ คนรวมไปถึงฉัน
มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากศิลปินจะล่ำลาเมื่องานจบสิ้นลง แต่วันนี้เธอกลับใช้คำพูดคำจาแปลก ๆ และไหนจะใบหน้าเศร้าหมองที่ตั้งแต่ฉันรู้จักกับเธอมาเธอยังไม่เคยแสดงสีหน้าและท่าทางเช่นนี้มาก่อนราวกับเรื่องนั้นมันสำคัญกับเธอมากจริง ๆ
“รอกันนานไหมเอ่ย?”
“กรี๊ดดดด!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นมาเมื่อเธอกลับมาจับไมค์อีกครั้งหนึ่งและยืนอยู่บนเวทีพลางสายตาของเธอก็กวาดมองไปรอบ ๆ ซึ่งสายตาของเธอก็มาสะดุดเข้ากับสายตาของฉัน และเธอก็ยกยิ้มออกมาจาง ๆ ให้ฉันเผลอยิ้มตอบกลับไปใต้มาสก์ที่ฉันนั้นสวมใส่ก่อนที่เธอจะผินสายตาไปทางอื่นต่อ
“ปลายจะไม่พูดพร่ำทำเพลงและเข้าเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกกับทุกคนเลยนะคะ เพราะมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับปลายเช่นกันที่กว่าจะรวบรวมความกล้ามาจนถึงวันนี้ได้”
เธอพูดออกมาโดยที่รอยยิ้มของเธอยังคงปรากฏ...แต่แววตาของเธอมันแสดงออกมาถึงความเศร้าหมองและเธอไม่ได้ยกยิ้มอย่างที่รอยยิ้มของเธอนั้นประดับอยู่บนใบหน้าเลย
ฉันแอบสังเกตเห็นว่าครั้งนี้เธอประหม่าและกำลังจิกเล็บเข้ากับไมค์ที่เธอนั้นถืออยู่ ซึ่งคนที่มีความมั่นใจอย่างผู้หญิงที่ยืนอยู่บนเวทีที่ฉันเคยได้รู้จักไม่เคยแสดงสีหน้าและท่าทางที่ประหม่าเช่นนี้มาก่อน
แม้ว่าเธอจะขึ้นคอนเสิร์ตครั้งแรกหรือถ่ายโฆษณาชิ้นแรกที่เข้ามาหลังจากที่เพลงของเธอเป็นที่รู้จัก...เธอก็ไม่เคยแสดงสีหน้าและท่าทางที่ไม่มั่นใจอย่างเช่นตอนนี้ที่เธอนั้นกำลังเป็นอยู่เลย
เธอมีเรื่องอะไรกันแน่...
“ปลายตัดสินใจแล้วค่ะว่าปลายจะลาออกจากงานวงการเบื้องหน้า”
“...”
“และปลายอยากจะขอโทษทุกคนด้วยนะคะ...ที่ครั้งนี้ปลายทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง ปลายขอโทษทุกคนจริง ๆ ค่ะ”
ทำไมตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของฉันแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ เลยล่ะ...นี่ฉันกำลังฝันไปใช่หรือเปล่า?
ความสุขเดียวในชีวิตของฉันไม่ได้พูดแบบนั้นออกมาจริง ๆ ใช่ไหม?
คุณปลายศิลปินคนโปรดของฉันแค่เพียงหนึ่งเดียว...