ฉันหันหลังให้กับศิลปินสาวคนโปรดที่กำลังทำหน้าตาเหลอหลาอยู่ในทันใดอย่างไม่คิดที่จะพูดสิ่งใดต่อ ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องในทันทีให้เลขาที่ยืนรออยู่หน้าห้องและกำลังจัดระเบียบให้กับผู้มาร่วมสัมภาษณ์ได้แต่สบมองมาทางฉันด้วยความสงสัย
“บอสคะบอส ยังเหลือผู้รอสัมภาษณ์อีก...”
“ฉันได้คนแล้ว ฝากจัดการที่เหลือด้วยล่ะ”
“หา?!”
เกิดเป็นเสียงตกอกตกใจของเลขาสาวที่ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองที่ได้ยินเช่นนั้น พร้อมกับที่เธอตบหน้าเรียกสติของตัวเองบางเบาและคิดอีกครั้งว่าไม่ได้ตาฝาดหูบอดไปแต่อย่างใดจริง ๆ ใช่ไหม
แต่การที่เธอหันไปแล้วเห็นว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ ที่ก็ได้ยินเฉกเช่นเดียวกันยังทำหน้าตาเหลอหลาเพราะยังไม่ทันได้หย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้เลยด้วยซ้ำไปมันก็เป็นคำตอบให้กับตัวเธอได้เป็นอย่างดีว่าเธอนั้นได้ยินไม่ผิด
และบอสรับคนเข้าทำงานตั้งแต่ผู้สัมภาษณ์งานคนแรก แถมยังใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำไป...
นี่มันบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ!
“บอสผีเข้าหรือไง...ปกติซักไซ้ถามเป็นชั่วโมงกว่าจะออกมาจากห้องสักคนหนึ่ง ขนาดตอนฉันสัมภาษณ์งานยังนั่งเหงื่อตกไม่ติดเก้าอี้เกือบสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำไป!”
คล้อยหลังจากนั้นฉันก็เดินอย่างเร่งรีบเพราะอยากจะพาร่างของตัวเองกลับไปยังห้องทำงานให้เร็วที่สุด และการก้าวขาฉับ ๆ ของฉันนั้นพร้อมด้วยใบหน้าที่ไม่ต้องการจะมีบทสนทนาก็ทำให้เหล่าพนักงานต่างก็เดินก้มหน้าหลุบต่ำอย่างที่รู้ว่าไม่ควรจะทักทายฉันในเวลานี้ ซึ่งฉันคิดว่ามันดีมาก ๆ ที่เป็นบุคคลที่น่าเกรงขาม
เพราะถ้าหากว่าฉันยังไม่ถึงห้องในเวลาที่กำหนด ภาพลักษณ์ทั้งหมดที่ฉันสรรสร้างมานั้นมันจะต้อง...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!”
ฉันเปิดปากกรี๊ดออกมาเสียงดังลั่นห้องโดยไม่สนใจเลยว่าจะมีผู้ใดได้ยินหรือไม่อย่างไร ความอัดอั้นตันใจทั้งหมดของฉันตั้งแต่ได้พบเห็นใบหน้าของศิลปินคนโปรด ไหนจะนั่งทนมองใบหน้าของเธอในระยะประชิดกว่าห้านาที มันทำให้เลือดในกายของฉันสูบฉีดจนอยากจะระเบิดออกมาแทบบ้าแต่ก็ได้แต่อดทนเอาไว้
และใช่ฉันทำได้สำเร็จ...ฉันอดทนจนกลับเข้ามากรี๊ดในห้องของตัวเองได้อย่างเล็ดลอดปลอดภัยโดยที่ยังคงรักษามาดของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ก๊อก ก๊อก!
“บอสคะบอส เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!”
เสียงของเลขาสาวเคาะห้องอย่างห่วงใย และมันทำให้หน้าของฉันบางลงในทันใดจนต้องกระแอมไอเสียงและหันไปสบมองที่ประตูอีกครั้งอย่างพยายามรักษามาดที่ตอนนี้มันไม่มีหลงเหลืออยู่เลยแม้เพียงแต่น้อย
“ฉันเจอแมลงสาป เดี๋ยวไปเรียกแม่บ้านเข้ามาจัดการทีนะ”
“ได้ค่ะบอส เดี๋ยวดิฉันรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”
พร้อมกับเสียงฝีเท้าของเจ้าหล่อนที่วิ่งออกไปอย่างเป็นจังหวะให้ฉันพลันโล่งใจว่ายังไม่ถูกจับได้ในเร็ว ๆ นี้ และมันก็ยังดีที่มีประตูปิดเอาไว้ไม่อย่างนั้นใบหน้าที่ร้อนผ่าวของฉันคงทำให้เลขาสาวที่ทำงานกับฉันมานานหลายปีจับสังเกตได้อย่างแน่แท้ว่าฉันนั้นไม่ปกติ
ฉันเดินมานั่งลงที่เก้าอี้พลางเหม่อลอยมองออกไปรอบ ๆ อีกครั้ง พร้อมกับความคิดที่ผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นความจริงหรือเป็นเพียงแค่ความฝันที่ฉันคิดถึงเธอมากจนมโนไปเองกันแน่
“โอ้ย!”
ฉันหยิกแขนของตัวเองแรง ๆ หนึ่งทีเพื่อที่อยากจะทดสอบในคำถามที่ฉันยังไม่แน่ใจในคำตอบ ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นแปร๊ดพร้อมกับรอยจ้ำแดง ๆ ให้ฉันรับรู้ได้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้น
ศิลปินคนโปรดของฉันที่ประกาศลาออกจากวงการเบื้องหน้าเมื่อเดือนก่อนตอนนี้กลับมาคิดอยากจะทำงานเป็นเบื้องหลัง แถมเธอนั้นยังมาทำงานที่เดียวกันกับฉันให้ฉันได้พบเห็นหน้าในทุก ๆ วันนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
แค่คิดตอนนี้ฉันก็ตื่นเต้นดีใจจนอยากที่จะให้ถึงวันพรุ่งนี้ไว ๆ อีกมุมหนึ่งของศิลปินคนโปรดที่ฉันยังไม่เคยเห็นนั่นก็อาจจะเป็นภาพที่เธอเข้าห้องอัดเพลงและกำลังจริงจังกับบทเพลงตรงหน้าซึ่งฉันใฝ่ฝันเอาไว้เป็นความหวังสูงสุดว่าวันหนึ่งคงจะได้พบเห็น
แถมรอยยิ้มที่ฉันชื่นชอบมันอยู่เสมอคงจะได้เห็นบ่อย ๆ อีกแล้วต่อจากนี้ไป บริษัทของฉันคงจะมีสีสันมากแน่ ๆ หากมีเธอมาประดับอยู่ในห้องอัดเพลงและฉันคงจะต้องเดินไปที่แผนกนั้นบ่อย ๆ เสียแล้ว
“คิกคิก”
ก๊อก ก๊อก!
“แม่บ้านมาแล้วค่ะบอส”
ฉันหุบยิ้มลงในทันใดและพยายามกลั้นใบหน้าของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติที่สุด ก่อนจะกระแอมไออีกครั้งอย่างไม่เข้าใจว่ามันจะช่วยอะไรพร้อมกับการที่ฉันตะโกนกลับไปให้คนภายนอกเดินเข้ามาได้เลย
ถือว่าวันนี้ฉันยังโชคดีรักษามาดของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ...ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลั้นไม่ให้ยกยิ้มตอนเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างไร
วันนี้เป็นอีกวันที่สดใส แถมฉันยังตื่นเช้ามากกว่าทุก ๆ วันเพราะมันวันเป็นดี ๆ อีกวันที่ศิลปินคนโปรดของฉันอย่างคุณปลายจะมาเริ่มงานในวันนี้เป็นวันแรก...แถมยังเป็นที่บริษัทของฉันอีกด้วยต่างหาก
ฉันเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีมาที่รถยนต์คันหรูของตน ทั้งยังเปิดเพลย์ลิสต์ของเธอไปตลอดทั้งการเดินทางแม้รถจะติดฉันก็ไม่หวาดหวั่นเพราะนี่คือวันดี ๆ ที่ฉันใจจดใจจ่อให้มันมาถึง
รถจอดสนิทยังที่จอดรถตามเดิม พี่ยามคนเดิมก็รีบลุกจากเก้าอี้เพื่อมาทำความเคารพแต่วันนี้คนที่เปลี่ยนไปมันดันเป็นฉัน...เพราะอยู่ ๆ ฉันก็ยกยิ้มออกมาอย่างมีความสุขนักหนา ทั้งยังยื่นถุงขนมปังที่แวะซื้อมาระหว่างทางให้กับพี่ยามที่ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกและทำหน้าตาราวกับถูกผีหลอกอย่างไรอย่างนั้น
“ขอบคุณที่ทำงานอย่างหนักนะคะ ขอให้วันนี้เป็นวันดี ๆ น้า”
และฉันก็เดินจากออกมาในทันที โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าพี่ยามกำลังตื่นตะลึงกับการแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของฉัน ทั้งยังหยิกแขนของตัวเองแรง ๆ เหมือนกับที่ฉันทำเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยนว่าตัวเองนั้นไม่ได้ฝันไปแต่อย่างใด
“คุณเขาผีเข้าหรือเปล่านะ จึ้ย!”
ทางเดินยังคงจอแจเหมือนอย่างเคย แต่เมื่อร่างของฉันเดินมาทุกอย่างมันกลับแปรเปลี่ยนไปราวกับฉายหนังม้วนเก่า ทุกคนต่างหลบทางให้กับฉันได้เดินผ่านเข้าไปก่อน ทุกครั้งจะเป็นใบหน้าเฉียบคมที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะสบมองมาเพราะชื่อเสียงของฉันเป็นที่กระฉ่อนไปทั่วทั้งบริษัท
แต่วันนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะฉันยกยิ้มแจกจ่ายให้กับผู้คนที่เดินผ่าน ทั้งยังกล่าวสวัสดีทักทายทุกคนที่ยกมือไหว้และแน่นอนว่าฉันได้ยินเสียงซุบซิบนินทามาจากผู้คนที่ฉันเดินผ่าน แต่ฉันก็ยังไม่ได้ใส่ใจและพาร่างของตัวเองเดินไปยังลิฟต์ต่อไปตามลำดับ
“บ้าไปแล้ว...บอสผีเข้าแน่ ๆ เลยแก!”
ผู้คนที่เคยอัดแน่นอยู่ที่หน้าลิฟต์ก็ต่างแหวกทาง แต่ฉันยังคงยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับทนไม่ไหวอีกแล้วที่จะได้พบเห็นใบหน้าของคนที่ฉันเฝ้าคอย
ก้มมองที่ถุงขนมในมือของตนอย่างมีความสุข และฉันจำได้ว่าเธอชื่นชอบสังขยาที่ร้านนี้เอามาก ๆ เพราะเธอมักจะไปทานบ่อย ๆ เมื่อยามที่ตัวเองนั้นมีโอกาสและฉันไม่มีทางพลาดกับวันแรกที่เธอเข้ามาทำงานที่นี่อย่างเด็ดขาด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณ เช้านี้อากาศสดใสดีนะคะ”
ฉันที่กำลังสบมองถุงขนมปังในมือของตัวเองหยุดชะงักไปอีกครั้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยจากคนที่ฉันอยากพบมากที่สุด หัวใจของฉันก็เต้นแรงสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่เป็นจังหวะและฉันกำลังหวาดกลัวถึงขีดสุดเพราะไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรหากเงยหน้าขึ้นไปและเธอสบมองมาที่ฉันตรง ๆ ด้วยรอยยิ้มที่ฉันหลงรัก
“คุณคือคนที่สัมภาษณ์งานปลายเมื่อวานใช่ไหมคะ ไม่ทราบว่าทำงานอยู่แผนกบุคคลอย่างนั้นเหรอ?”
เธอยังคงเอ่ยถามต่ออย่างไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยว่าฉันเป็นเจ้านายของเธอ และเมื่อวานฉันก็รีบบอกว่ารับเธอเข้าทำงานแบบลน ๆ และมันก็ไม่น่าแปลกหากเธอจะยังคงไม่แน่ใจว่าฉันมีตำแหน่งหน้าที่อะไรกันแน่
แต่ตอนนี้ผู้คนกำลังซุบซินนินทาถึงฉันอีกครั้ง จับใจความไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังหวีดเธอหรือว่ากำลังหวาดกลัวว่าฉันจะอาละวาดกันแน่กับการที่เธอเดินมาทักทายฉันอย่างเป็นกันเองขนาดนี้
แต่ตอนนี้ฉันควรเงยหน้ามองเธอก่อน...
“คุณเป็นอะไร...”
“ขนมค่ะ!”
อยู่ ๆ ฉันก็โพล่งออกไปพร้อมกับยัดถุงขนมใส่มือของเธอให้เธอที่กำลังจะเอ่ยปากถามถึงกับทำหน้าเหวอในทันใดกับพฤติกรรมของฉันที่แสดงออกมา(แบบแปลก)อีกครั้ง
ติ๊ง!
ลิฟต์เคลื่อนตัวลงมาพอดีและเปิดอ้าออก แต่ฉันกลับเบี่ยงตัวหลบหนีจากเธอและเลือกจะเดินตรงไปยังทางหนีไฟให้คุณปลายได้แต่สบมองใบหน้าของฉันอย่างคนกำลังสงสัยอย่างหนักว่าฉันจะเดินไปทางนั้นทำไม
“ขอให้วันนี้เป็นวันแรกของการทำงานที่ดีนะคะ ดิฉันขอตัวก่อนแล้ว...”
“ขึ้นลิฟต์ด้วยกันไหม...”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันจะไปทางหนีไฟ”
“ว่าไงนะคะ?”
“ฉันกำลังอยากออกกำลังกายพอดีเลย ชั้นที่ 23 ก็ไม่ได้สูงเท่าไร ไว้เราเจอกันนะคะ”