รถยนต์สัญชาติยุโรปคันหรูจอดสนิทยังที่จอดรถของคณะผู้บริหาร ก่อนจะปรากฏร่างบอบบางผอมเพรียวของหญิงสาวผู้ซึ่งมีอิทธิพลคนหนึ่งในบริษัทแห่งนี้ก้าวเดินลงมาจากรถด้วยมาดของนางพญาสวยสง่า
ถึงขนาดที่รปภ.เห็นฉันก็ยังต้องรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และตะเบ๊ะทำความเคารพกันในทันใดอย่างหวั่นเกรงในชื่อเสียงลือชาของฉันที่ไม่ใช่ด้านดีเท่าไรในหมู่ของพนักงานที่กล่าวขานกันมาคนแล้วคนเล่า
แต่ฉันผู้มีนามว่าเหมือนฝันนั้นกลับได้รับการยอมรับจากคณะผู้บริหารชั้นสูงหลายต่อหลายคนเพราะฉันนั้นสร้างรายได้ให้กับบริษัทต่อปีมากมายมหาศาลเพราะความเคร่งครัดในระเบียบวินัยและแน่นอนว่าไม่มีใครสามารถทำให้ฉันโอนอ่อนลงได้อย่างง่ายดาย
ร่างบอบบางของนางพญาสาวเดินเข้ามาภายในบริษัททำเพลงอันดับต้น ๆ ของประเทศด้วยชุดสูทสุดหรูราคาแสนแพง ผมก็ปลิวไสวสวยงามไปตามสายลมด้วยใบหน้าเฉียบคมที่หากใครได้พบเห็นก็ต้องหลบสายตาเพราะใบหน้าดุ ๆ ของเจ้าตัวเมื่อยามที่สบมองกันมา
ผู้คนที่เคยเดินกันขวักไขว่เพราะกำลังจะรีบเข้าไปทำงานหยุดชะงักไปในทันใดโดยอัตโนมัติ ทางเดินถูกแหวกออกเป็นสองทางเว้นที่ว่างตรงกลางไว้ให้เจ้านายสาวได้ย่ำผ่านเพราะไม่มีใครกล้าย่างกรายตัดหน้าแม้ฉันจะไม่ได้ไร้สาระเคร่ดครัดถึงขนาดนั้นก็ตามแต่
ก่อนในที่สุดร่างของฉันจะไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าลิฟต์และไม่น่าเชื่อว่าผู้คนที่เคยยืนกันแออัดนั้นหายไปในพริบตาเพราะไม่มีใครกล้าลองเสี่ยงกับเจ้านายสาวสุดโหดผู้เป็นที่เลื่องชื่อลือชาราวกับคุณครูฝ่ายปกครองในโรงเรียนมัธยมอย่างไรอย่างนั้นไป
“บอสคะ...เดี๋ยววันนี้มีสัมภาษณ์พนักงานใหม่ตอนเก้าโมงตรงนะคะ”
“อืม...”
มีเพียงคน ๆ เดียวที่เดินเข้ามาบอกกล่าวเพราะมันเป็นหน้าที่ของเลขาสาวประจำตัวของฉัน และเจ้าหล่อนบังเอิญเดินทางมาถึงบริษัทพอดิบพอดีกับเจ้านายสาวจึงถือโอกาสบอกตารางงานเสียเลยในขณะที่รอลิฟต์อยู่
และโดยปกติแล้วเลขาสาวก็ไม่ค่อยที่จะพูดคุยกับฉันมากเท่าไรหากไม่มีเรื่องสำคัญเท่าที่ควร...ซึ่งเรื่องสำคัญที่ฉันว่าน่ะมันก็คือเรื่องงานทั้งสิ้น
และเจ้าหล่อนรู้ใจฉันดีที่สุดว่าควรจะพูดคุยกับฉันเวลาไหน และนั่นมันมันทำให้ฉันพึงพอใจเป็นอย่างมากจึงยังไม่ไล่เธอออกซึ่งเธอทำงานกับฉันมานานที่สุดถ้าเทียบกับเลขาคนก่อน ๆ ที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจฉันมากเท่าที่ควร
เมื่อลิฟต์มาถึงยังจุดหมายร่างบอบบางสวยงามของเจ้านายสาวก็เดินเข้าไปในลิฟต์โดยไม่มีใครกล้าโดยสารไปด้วยกันกับฉันไม่เว้นแม้กระทั่งเลขาสาวที่ต้องขึ้นไปยังชั้นเดียวกัน ฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรและพาร่างของตัวเองขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของตึกในทันทีเพื่อที่จะไปทำหน้าที่ของตนต่อ
ตลอดทางที่ฉันย่ำผ่านผู้คนต่างก็สะดุ้งโหยงราวกับเห็นผีและเปลี่ยนจากการเล่นโทรศัพท์มือถือไปก้มหน้าทำงานต่อโดยอัตโนมัติทั้ง ๆ ที่คอมพิวเตอร์ของพวกเขาเหล่านั้นยังไม่ได้เปิดใช้งานเลยด้วยซ้ำไป แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าความอะไรเพราะนี่ยังไม่ถึงเวลาเข้างานและทุกคนควรได้มีชีวิตและเวลาที่เป็นส่วนตัว
เหมือนกันกับฉัน...
ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สุดหรูหลังป้ายรองประธานบริษัทพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและเข้าไปยังหน้าอิมสตาแกรมของใครอีกคนด้วยความโหยหา
ผ่านมาเป็นเดือนแล้วกับการหายไปของศิลปินคนโปรดผู้ที่ประกาศกร้าวในตอนนั้นว่าจะลาออกจากวงการเบื้องหน้า และหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในสื่อโซเชียลอีกเลยและนั่นมันทำให้ฉันคิดถึงเธอจนแทบบ้า
ฉันคิดถึงเธอมากอย่างที่ไม่คิดว่าจะคิดถึงได้มากขนาดนี้มาก่อน ศิลปินคนโปรดของฉันที่มักจะมาลงรูปทักทายแฟนคลับในทุก ๆ วันแม้บางวันอาจจะเป็นเจ้าแมวตัวโปรดหายตัวไปจนแฟนคลับอย่างฉันและคนอื่น ๆ ถึงกับไปคอมเมนต์ใต้รูปเก่า ๆ ของเธอว่าให้กลับมาลงรูปบ้างแต่เธอก็ไม่แม้แต่จะปรากฏและมันทำให้ฉันนึกเป็นห่วงเธออยู่เสมอด้วยความหวังดีของแฟนคลับคนหนึ่งที่เฝ้ารอเธอ
ฉันยอมรับตามตรงว่าใจหายกับการประกาศแบบนั้นของเธอเพราะมันไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ มาก่อน แต่ฉันก็สัมผัสมาได้สักพักแล้วว่าเธอเริ่มรับงานถี่ขึ้นน่าจะเป็นเพราะเคลียร์ตารางงานเก่า ๆ ที่คั่งค้าง และแม้ว่าเธอจะไปทำอาชีพใดต่อฉันคนนี้ก็จะให้การสนับสนุนเธออยู่เสมอไม่ทิ้งเธอไปไหนอย่างแน่นอน
ตราบใดที่รอยยิ้มของเธอยังเป็นผลลัพธ์...ฉันคนนี้ก็ยินดีจะทำทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้สบมองมันอีกสักครั้ง
มันไม่ใช่ความรักในเชิงชู้สาวแต่เป็นความรักในเชิงหวังดีและชื่นชมในตัวของคน ๆ หนึ่ง
ฉันชื่นชอบที่เธอเป็นตัวของตัวเอง
ฉันชื่นชอบบทเพลงและรอยยิ้มของเธอ
ดังนั้นฉันจะรักษาสิ่งที่ฉันชื่นชอบเอาไว้ให้ดีที่สุด...
แต่ถ้าหากได้เห็นมันใกล้ ๆ ชัด ๆ อีกสักครั้งมันคงจะดีไม่น้อยเลย...แต่มันก็ไม่อาจจะเป็นไปได้อีกต่อไปแล้วเพราะเธอจะไม่ได้โลดแล่นอยู่บนทีวีหรือโซเชียลใด ๆ ให้ฉันได้ชื่นชมมันอีกต่อไปนับตั้งแต่วันนั้นที่เธอประกาศกร้าวออกมาให้แฟนคลับอย่างฉันใจสลายแต่ก็ยังคงเคารพในการตัดสินใจของเธออยู่เสมอ
หากใครมารู้เข้าว่าฉันคลั่งไคล้ในตัวศิลปินคนหนึ่งมากมายขนาดนี้...ภาพจำของฉันที่แสนสุดโหดคงถูกลบเลือนไปจนหมดสิ้นไม่หลงเหลือสิ่งใดให้หวั่นเกรงอีกต่อไปแล้ว
แต่ฉันก็คงยอมรับมันแต่โดยดี...เพราะฉันเองก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีชีวิตเหมือนกับบุคคลทั่ว ๆ ไปไม่ได้แตกต่างไปจากพวกเขาเหล่านั้นแต่อย่างใด
“เห้อ...”
บ่อยครั้งที่ฉันคิดถึงเธอจนต้องเผลอแสดงความอ่อนแออย่างที่ไม่เป็นตัวเองออกมา แต่ฉันก็คิดว่ามันไม่ได้แย่เท่าไรเพราะอย่างน้อยฉันก็ได้ทำหน้าที่ของแฟนคลับได้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แค่เธอจำได้ว่าฉันไปหาเธอบ่อย ๆ แม้จะสวมใส่มาสก์อยู่เสมอแค่นี้ฉันก็พอใจแล้วล่ะ
สำหรับแฟนคลับตัวเล็ก ๆ อย่างฉันน่ะนะ...
ก๊อก ก๊อก!
“ได้เวลาแล้วนะคะบอส”
“อืม เดี๋ยวฉันตามไป”
ฉันตอบกลับเลขาสาวพลางพิงเก้าอี้อีกครั้งอย่างเรียกสติ ใบหน้าเศร้าหมองถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นเคร่งขรึมอีกครั้งเมื่อต้องอยู่ในช่วงเวลาของการทำงาน ก่อนที่ร่างของฉันจะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและเดินทางไปยังเป้าหมายในทันทีเพื่อไม่ให้ใครมาว่าเอาได้ว่าฉันไม่ตรงต่อเวลา
แม้ฉันจะเป็นถึงรองประธานบริษัทแต่อนาคตในภายภาคหน้าบริษัทนี้ก็จะต้องถูกยกให้เป็นของฉันสืบทอดต่อจากบิดาที่เป็นประธานอยู่ในปัจจุบัน
ฉันจึงมักจะเป็นผู้มาสัมภาษณ์งานพนักงานใหม่ด้วยตัวของฉันเองเพื่อฟังประสบการณ์และทัศนคติ และฉันมั่นใจว่าฉันดูคนออกดังนั้นคนที่ฉันคัดสรรเลือกมาแล้วนั้นล้วนมีสิ่งใดบางอย่างที่แตะตาต้องใจของฉันไม่น้อยฉันจึงรับเข้าทำงานอย่างคิดไตร่ตรองมาถี่ถ้วนแล้ว
ซึ่งบริษัทของฉันเป็นบริษัททำเพลงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศนี้อยู่พอสมควร บริษัทของฉันก็ได้แต่งเพลงให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลากหลายท่านและแน่นอนว่ารวมไปถึงศิลปินคนโปรดของฉันอย่างคุณปลาย
เราเคยได้เจอกันแล้วบ้างตามงานต่าง ๆ แต่เหมือนว่าเธอจะไม่รู้เลยว่าฉันกับยัยใส่มาสก์แฟนคลับของเธอนั้นเป็นคน ๆ เดียวกัน และฉันนั้นมันก็ไม่กล้าพอที่จะไปทักทายจึงได้แต่ยืนชื่นชมเธอจากที่ไกล ๆ รวมถึงเก็บภาพถ่ายของเธอเอาไว้ก็เพียงเท่านั้น
แค่นั้นฉันก็สุขใจจนยากจะหาสิ่งใดมาเทียบเคียงแล้วล่ะ...
“สวัสดีค่ะ...”
ฉันสะดุ้งตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยซึ่งตอนนี้ฉันกำลังก้มหน้าเพื่อจะอ่านเอกสารของผู้สมัครงานคนนี้
แต่น้ำเสียงของเธอนั้นก็ทำให้ฉันชะงักไปจนอ่านสิ่งใดไม่รู้ความอีกต่อไปแล้ว ครั้นจะเงยหน้าสบมองร่างกายมันก็กลับไม่ทำตามแต่ใจสั่งเพราะความตื่นเต้นว่าจะเป็นใครคนนั้นที่ฉันเฝ้ารอพบเจออยู่เสมอ
“ขออนุญาตนะคะ...”
เธอยังคงเอ่ยซ้ำและเดินเข้ามาให้ฉันได้ยินเสียงส้นเท้าหนัก ๆ ของเธอที่เดินอย่างเป็นจังหวะ ไม่นานนักฉันก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าว่ากำลังนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม กลิ่นน้ำหอมที่ฉันคุ้นเคยลอยมาแตะจมูกให้ฉันพยายามขยับร่างกายของตัวเองเพื่อสบมองดูและก็ได้พบเห็นที่ข้อมือของเธอ
รอยสักรูปตัว P เด่นหราให้ฉันได้แต่หัวใจสั่นไหวเพราะความตื่นเต้น น้ำเสียงแหบเสน่ห์ดังขึ้นมาเรียกสติกันอีกครั้งและในครั้งนี้ฉันก็ได้พบเห็นใบหน้าของเธอแล้ว
เธอคือคนนั้นที่อยู่ในความคิดของฉัน
เธอคือคนนั้นคนที่ทำให้ฉันมีความสุขและได้มีชีวิตชีวาอีกครั้งจากการได้ฟังเพลงของเธอ
และตอนนี้เธออยู่ใกล้กับฉันมาก...ใกล้อย่างที่ฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอเธอในระยะที่ใกล้กันมากมายถึงเพียงนี้
“ดิฉันชื่อปลาย ปวรัตน์ จิระเมธี วันนี้มาสมัครงานในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ค่ะ”