บทที่ 2
แอนนี่
-Annie-
“นานจัง” ฉันพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับชะโงกคอไปทางห้องน้ำเพื่อมองหาใครบางคน แต่กลับไร้วี่แววที่เขาจะกลับมา ใจดวงน้อยเต้นตุ้บ ๆ เหมือนกับกลัวว่าเขาจะรู้แล้ว
เขาไม่ชอบคนโกหก
ฉันรู้ดี
เขาฉลาดแค่ไหน
ฉันก็รู้ดี
แต่ถ้าฉลาดจริง ๆ ก็คงรู้ว่าฉันแอบชอบ หรือว่าเขารู้แต่ไม่ได้ชอบฉัน เลยทำเป็นเหมือนไม่รู้ เศร้าเนอะ
ฉันทำงานให้บริษัทของเขาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ในตอนปีสี่ฉันมาฝึกงานที่บริษัทของเขา ในตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นผู้บริหารและเขามาฝึกงานเช่นกัน แต่คนละกรณี เขาฝึกงานเพื่อขึ้นเป็นผู้บริหาร
‘ไทป์’ เป็นชื่อเรียกที่ครั้งหนึ่งฉันได้เอ่ยเรียกเขา ในตอนนั้นเราค่อนข้างสนิทกัน ไม่สิ สนิทมากเลยล่ะ ฉันเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขาในวันที่เขาค่อย ๆ พิสูจน์ตัวเองให้ท่านประธานยอมรับ ถึงท่านประธานจะเป็นแม่เขา แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้บริษัทที่ถือว่าเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศมีผู้บริหารไม่ได้เรื่อง และเขาพิสูจน์ตัวเองสำเร็จ
และชื่อ ไทป์ ฉันก็ไม่ได้เรียกอีกเลย บอสเป็นชื่อที่ฉันเริ่มเรียกเขาตั้งแต่วันที่เขาถูกแต่งตั้งเป็นรองประธาน จนในตอนนี้เขาเป็นประธานบริษัทแล้ว
ฉันไม่ได้จงใจจะหลอกเขา
แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้
เส้นบาง ๆ ที่เรียกว่าเส้นขั้นระหว่างเจ้านายลูกน้องมันก็จะไม่หายไป ถ้าถามทำไมถึงชอบเขา เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองแหละ เพราะเขาน่ะทำให้ทุกคนหลงได้ตลอด และนับวันเขายิ่งดูสูงส่งจนฉันรู้สึกว่าเอื้อมไม่ถึง และนี่เป็นไอเดียของเพื่อนฉัน เพื่อนคนเดียวที่ฉันรักมาก และตอนนี้หายไปไหนก็ไม่รู้
วันนี้เป็นวันที่ฉันได้ลาหยุดในรอบหลายปี เพราะบอสเห็นฉันเหมือนจะเป็นลม เขานึกสงสารหรืออะไรถึงให้ฉันลาหยุดงานได้ มันไม่ใช่นิสัยของเขา
ฉันเริ่มสอดส่องสายตามองหาเขาไปทั่วอีกครั้ง ก็ยังคงไร้วี่แวว มีผู้ชายมากหน้าหลายตาหันมาสบตากับฉันพร้อมกับยกแก้วเหล้าเชิงเชื้อเชิญ
ไม่ได้รู้สึกแบบนี้นานแค่ไหนแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจนานแค่ไหนกันนะ ฉันจมอยู่กับการแอบรักเจ้านายตัวเองจนไม่สนใจสังคมรอบข้าง เอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้งานของเขามันออกมาดีที่สุด เงยหน้ามาอีกที ฉันที่เคยเป็นถึงดาวมหา’ลัยก็กลับกลายเป็นยัยป้าให้เขาเอ่ยเรียก แต่ฉันชอบนะที่เขาเรียกฉันว่าป้า เอาเถอะ เขาเรียกฉันว่าหมูว่าหมา ฉันก็ชอบเขาอยู่ดี
ฉันอยู่ในชุดที่ค่อนข้างวาบหวิว เพราะเป็นชุดของเพื่อนฉัน ชิลล์เป็นผู้หญิงตัวเล็กมันเลยทำให้ชุดเดรสส่ายเดี่ยวที่ฉันใส่อยู่รัดติ้วจนเห็นสัดส่วนโค้งเว้า อ่อยเต็มที่ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ไหม
เขามีคู่นอน คู่ควง คู่เดต ที่สวยกว่าฉันมากแต่วันนี้ฉันดีใจนะที่เหมือนกับว่าเขาชอบฉัน ไม่สิ ดีใจจนเนื้อเต้นเลยล่ะ
ฉันไม่ใช่สเปกเขาแน่ ๆ ฉันรู้ เขาชอบผู้หญิงตัวเล็กแต่สวยเฉี่ยวเหมือนเพื่อนของฉันเอง แต่ฉันกลับตรงกันข้าม ฉันเป็นลูกครึ่ง ครึ่งอะไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ หน้าฉัน ส่วนสูงของฉันมันไปทางฝั่งตะวันตก
ฉันยกมือขึ้นลูบผมที่ตัดสั้นสีดำขวับที่ฉันเพิ่งย้อมเปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลแดงด้วยความไม่เคยชิน วันนี้ทั้งวันฉันเข้าคลินิกเสริมความงามเพื่อเปลี่ยนตัวเองใหม่ ไม่สิเปลี่ยนตัวเองกลับเป็นคนเดิมจนฉันลืมไปเลยว่าฉันเป็นใคร ไม่แปลกที่เขาจะจำไม่ได้ และที่ทำไปทั้งหมดเพราะความคะยั้นคะยอของเพื่อนฉัน บวกกับคำหนึ่งคำที่ทำให้ฉันตัดสินใจทำแบบนี้
‘สักครั้งหนึ่ง’
สักครั้งหนึ่งที่เขาจะมองฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกน้องที่คอยวิ่งตามเขา สักครั้งหนึ่งที่ฉันจะได้อยู่ใกล้เขามากกว่าที่เป็นอยู่ และหลังจากนี้ฉันจะจดจำวันนี้ไปตลอดชีวิต
ครืดดดด ครืดดดด~
“ตายแล้วไง” ฉันสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่ได้ยินเสียโทรศัพท์ เดาไม่ยากว่าใครโทรมา มีคนเดียวที่โทรหาฉันในเวลาเที่ยงคืนกว่านี้ ให้ตายเถอะมันดังนานแค่ไหนแล้วนะ ฉันเปิดกระเป๋าสะพายข้างอย่างลนลานจนลืมไปเลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ติ๊ด!
“ค่ะ บอส” ฉันกรอกเสียงลงไปทันทีที่กดรับสาย ตายแน่ ๆ ฉัน เขาคงจะบ่นฉันหูชาแน่ ๆ เขาไม่ชอบรอ แต่ดูเหมือนฉันจะให้เขารอนานหรือยังไง เขาถึงไม่ตอบกลับมา
ใจของฉันสั่นไหวกลัวว่าเขาจะโกรธ ฉันสอดส่องสายตาพร้อมกับชะโงกหน้ามองหาเขาอีกครั้ง มันนานเกินไปจนฉันต้องเอ่ยถามอีกรอบ
“บอสคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” แต่ทว่ารอบนี้เขาตอบกลับ
“ถุงยางในรถที่บอกว่าหมด ซื้อไว้ให้ยัง” ฉันเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินประโยคตอบกลับจากเขา มือเรียวยาวของฉันสั่น ให้ตายเถอะ เขาหวังกินฉันหรอกเหรอเนี่ย
“ซะ ซื้อไว้ให้ แล้วค่ะ” ฉันจะเสียงสั่นทำไม มีพิรุธแน่ ๆ เลยฉัน
“โอเค ป้าอยู่ไหน เสียงดังจังวะ”
พรึ่บ!
“อยู่ เอ่อ…”
“อยู่ไหนก็เรื่องของป้า พรุ่งนี้ยกเลิกงานเช้าทั้งหมด”
“แต่ พรุ่งนี้นัดสำคัญนะคะ”
“ผมคงเหนื่อยไปไม่ไหว ป้าก็คงเหมือนกัน”
เหมือนกัน?
ฉันทำหน้าเลิ่กลั่กเมื่อได้ยินคำว่าเหมือนกันจากปากเขา ก่อนที่สายตาของฉันจะหันไปเห็นเขา ที่ยืนมองมาทางฉันอยู่ไม่ไกล
เขารู้เหรอ?
ติ๊ด!
แม้ว่าเขาจะตัดสายทิ้งไปแล้ว แต่ฉันก็ยังคงไม่เอาโทรศัพท์ลง เหมือนกับเวลาหยุดนิ่งเมื่อบอสค่อย ๆ เดินมาทางฉัน ผู้คนต่างแหวกทางเดินให้เขาเหมือนกับทุกครั้งที่เดินไปไหนมาไหน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน สงสัยจะกลัวแสงออร่าที่มันออกมา
ฉันควรจะชินที่เห็นเขาใส่เสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมด้านบนสองเม็ด มันทำให้เขาน่ามอง ชวนหลงใหล บวกกับเบ้าหน้าฟ้าประทาน แต่ฉันไม่ชินเพราะเขากำลังเดินมาหาฉัน สายตาคมจับจ้องมองมาที่ฉันไม่วางตา ใจดวงน้อยเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง
เขารู้แล้วสินะ
แต่ทว่า
“คุยโทรศัพท์เถอะ ผมรอได้” กลิ่นแอลกอฮอล์ที่รุนแรงมากตั้งแต่ที่ฉันเจอเขามันปะทะเข้าจมูกฉันอีกครั้ง
เขาเมา?
แต่เขาไม่เคยเมาหนิ
แต่พอเห็นว่าเขาจำฉันไม่ได้ บวกกับไม่เห็นพิรุธในตัวฉัน มันยืนยันได้ว่าเขาคงเมาแล้วจริง ๆ ฉันค่อย ๆ ลดโทรศัพท์ลงใส่กระเป๋าเมื่อเห็นว่าเขามองฉันไม่วางตา
มองอะไรขนาดนั้น
มันเขิน
“คุยเสร็จแล้วค่ะ” ฉันเอ่ยปากออกไปเสียงเล็กเสียงน้อย เขากระตุกยิ้มเบา ๆ มีใครเคยบอกเขาไหมว่าเขายิ้มแบบนี้แล้วมีคนกำลังจะตาย
คนคนนั้นก็คงเป็นฉันเอง
“รอนานหรือเปล่าครับ” บอสว่าพลางขยับมานั่งใกล้ฉันอีก เอาเข้าไป ฉันไม่ได้หวงตัวหรอกนะ ขนาดไม่ได้หวงตัวฉันยังโสดจนอายุเข้าเลขสาม
“มะ ไม่ค่ะ” พอได้อ้าปากพูดฉันก็เสียงสั่น ทำไงดีล่ะ เสียงฉันสั่นตัวสั่นไปหมด ใบหน้าของฉันก็เห่อร้อนขึ้นมาเมื่อเขาจงใจอ้อมแขนไปทางด้านหลังฉันเพื่อหยิบแก้วไวน์ที่วางอยู่อีกด้าน
เขาจะอ้อมทำไม
มันเหมือนกับว่าเขากำลังโอบกอดฉัน
เอาเถอะ เขามันเสือผู้หญิงเลยรู้วิธีที่จะทำให้ผู้หญิงใจสั่น
“แพร…” ฉันค่อย ๆ หันไปตามเสียงเรียกหลังจากที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น บอสไม่ได้มองหน้าฉันเขาเพียงกำลังรินไวน์สีแดงลงในแก้ว
“คะ?”
“ชื่อคุณเพราะดีนะ”
“คะ?”
“แพรวา”
“อ้อ ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ตลกดีจังชื่อนี้ฉันเพิ่งคิดได้ตอนบอกเขาไปเอง พอดีเพิ่งดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วนางเองชื่อแพรวา แต่ทว่าทำไมอยู่ดี ๆ ถึงชมชื่อฉัน
“ผมนึกว่าลูกครึ่งจะชื่ออะไรที่มันดูเหมือนเป็นลูกครึ่งซะอีก”
!!!
“แต่ ผมชอบนะ” บอสว่าพลางยกแก้วที่เขารินไวน์ส่งให้ฉัน ฉันยื่นมือไปรับ มือของฉันมันสั่นมาก ๆ จะไม่สั่นคงไม่ได้เมื่อกี้เหมือนกับเขารู้เลย เหมือนกับเขารู้ว่าแพรวาไม่ใช่ชื่อฉัน
“ขอบคุณค่ะ” ฉันจะขอบคุณตลอดแบบนี้เลยหรือไง พยายามที่จะไม่พูดแล้วนะแต่ดูเหมือนพอจะอ้าปากพูดก็พูดได้แต่คำนี้
เราสบตากันจนเป็นฉันเองที่เสมองไปทางอื่น อะไรที่เป็นเขามันทำให้ฉันเขินได้ตลอดเพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่ค่อยจะเงยหน้าขึ้นคุยกับเขาตอนเราทำงาน เพราะมันจะทำให้ฉันเขินจนบิดตัวม้วนน่ะสิ
“หึ” ฉันหันกลับมามองเขาอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขา และก็เห็นว่าเขายกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนที่ฉันจะยกขึ้นดื่มเช่นกัน แต่แล้วเขากลับพูดคำที่ทำให้ฉันแทบสำลักไวน์ออกมา
“ไปต่อกันไหม ข้างนอก…”