“แค่นี้เหรอคะ”
“อ้ออยากจะได้อะไรอาหาให้ได้หมดทุกอย่าง อยู่บ้านเฉยๆก็ได้ แต่ถ้าจะเลิกกับอาจริงๆขอให้ผ่านหกเดือนไปก่อน เพราะถ้าเร็วเกินไปอากลัวว่าคุณพ่อกับคุณย่าจะสงสัย”
หกเดือนก็พอช่วยได้เพราะอย่างไรเธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย ส่วนคำว่าอยากเลิกตอนไหนก็เลิกเธอไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว เพราะถ้าเธอตัดสินใจแต่งงานกับเขานั่นก็แสดงว่ามันมาจากหัวใจไม่ใช่เพราะมาจากคำสั่งของใคร
ตลอดเวลาหลายปีที่เธอได้เจอและรู้จักผู้ชายคนนี้ เธอชอบในความมีน้ำใจดูเป็นสุภาพบุรุษและดูอบอุ่นในตัวเขาจนกลายเป็นแอบปลื้มผู้ชายคนนี้อยู่แบบเงียบๆ บ่อยครั้งที่เธอประหม่าเกินไปยามได้เห็นหน้าเขาเธอต้องพาตัวเองออกจากตรงนั้นเพราะเกรงว่าเขาจะอ่านแววตาใสซื่อของเด็กอย่างเธอออก เธอคงแปลกกว่าผู้หญิงคนอื่นๆที่มาแอบชอบผู้ชายที่แก่กว่าตัวเองเกือบยี่สิบปี
ลดาวัลย์พยายามที่จะหักห้ามใจตั้งแต่เธอเริ่มเรียนมัธยมปลายที่ไม่ค่อยได้เจอหน้าเขา แต่ยิ่งห่างกันเท่าไหร่ภาพของเขาที่อยู่ในห้วงคำนึงของเธอมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มาเริ่มทำใจยอมรับได้บ้างตอนที่เขาแต่งงานมีครอบครัวตอนเธออายุสิบหกปีแต่มันก็ยังรู้สึกหน่วงนิดๆทรมานหน่อยๆ ใครบอกว่าการแอบชอบใครสักคนแล้วไม่เจ็บนี่ลดาวัลย์ขอเถียงขาดใจ จนถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกชอบใครไม่ได้สักทีทั้งที่มีคนเข้ามาจีบเธอมากมาย เธอก็ยังไม่สามารถคบใครจนไปถึงขั้นเป็นแฟนได้แม้แต่คนเดียว
ตอนนี้มันคงเป็นโอกาสที่เธอจะได้เรียนรู้ตัวตนของเขาอย่างจริงจังสักที ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรเธอก็จะไม่เสียใจ และการแต่งงานครั้งนี้เธอเองไม่ได้ดิ้นรนไปหาเขา แต่มันเกิดจากความเห็นดีเห็นงามจากครอบครัวทั้งสองฝ่าย ทุกคนคงไม่แปลกใจถ้าเธอจะตัดสินใจแบบนี้ อย่างมากก็คงคิดว่าเธอเป็นคนมีน้ำใจหรือไม่ก็สงสารเพื่อนของอาตัวเองก็แค่นั้น
“อาทำให้อ้อลำบากใจมากใช่มั้ย” นพรุจเคยบอกว่าอิทธิพัทธ์ไม่ใช่ผู้ชายที่จะเลือกใครสุ่มสี่สุ่มห้ามาแต่งงานด้วยครั้งนี้เขาก็คงลำบากจริงๆถึงได้กล้ามาขอร้องให้เธอช่วย
“ถ้าอ้อพอจะช่วยอาอิทได้บ้าง อ้อก็จะทำค่ะ แต่อ้อขอให้คำตอบหลังสอบเสร็จได้มั้ยคะ” คำตอบเธอมีในใจอยู่แล้วแต่อยากให้แน่ใจขึ้นอีกก็แค่นั้น และที่มาวันนี้ก็เพียงแค่อยากเจอหน้าเขาหลังจากที่เฝ้าทนคิดถึงมานานหลายปี จนถึงตอนนี้หัวใจเธอก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจถ้าเขามีโอกาสได้จับมือเธอก็จะรู้ว่ามีเหงื่อออกมากแค่ไหน ดีที่เธอปัดแก้มมาอ่อนๆไม่อย่างงั้นเขาคงเห็นว่าหน้าเธอเห่อแดงขึ้นมาอย่างแน่นอน
หลังจากคุยกันเรียบร้อยอิทธิพัทธ์ชวนเธอไปทานอาหารเย็นต่อเพื่อให้ทั้งสองได้คุ้นเคยกันมากขึ้น ดูจากการพูดจาลดาวัลย์ก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าใจอะไรยาก ถ้าเธอยอมแต่งงานกับเขา เธอก็คงไม่ใช่ผู้หญิงประเภทงี่เง่าเอาแต่ใจมากนัก
“วันนี้ดูคุณอิทผ่อนคลายขึ้นนะคะ” ป้าน้อยมองดูอิทธิพัทธ์แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยนขณะที่เขาเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน เมื่อคืนเขากลับมาโดยไม่ได้ทานข้าวเย็นที่บ้านและตื่นมาในตอนเช้าด้วยหน้าตาที่สดใสขึ้น หลายวันก่อนใบหน้าของเขาหมองคล้ำเอาแต่ขมวดคิ้วเข้าหากันตลอด
“นิดนึงครับป้า แต่ก็ยังต้องลุ้นอยู่ดี” อิทธิพัทธ์นึกถึงใบหน้าสวยหวานคำพูดของหญิงสาวที่อายุร่นราวคราวหลานจะว่าอย่างงั้นก็ไม่ได้เพราะลดาวัลย์อายุเท่ากับปารเมศน้องชายต่างมารดาของเขาและยังเรียนที่เดียวกันอีก เธอทำให้เขารู้สึกวูบวาบได้อย่างที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำได้ในตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะเจอกันครั้งแรกก็เป็นได้ เพราะคนหน้าตาสวยเขาก็เห็นอยู่เกลื่อนไปหมด
“มีข่าวดีเหรอคะ”
“ไม่เชิงหรอกครับป้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย”
“ป้ารู้จักมั้ยคะคุณอิท” ป้าน้อยรู้ทันทีว่าเขาหมายความถึงอะไร
“ป้ายังไม่เคยเห็นหน้าครับแต่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
“ชักอยากจะรู้จักแล้วสิคะ” ป้าน้อยรู้สึกตื่นเต้นกับเจ้านายคนใหม่ทั้งๆที่รู้ว่าทุกอย่างเป็นแค่การแสดง ใจจริงเธอก็อยากมีนายหญิงของบ้านแม้อิทธิพัทธ์จะไม่ยินดีก็ตาม ชีวิตเขาทำแต่งานเกินไป กลับถึงบ้านก็ทำงานต่อจนดึกดื่น เสาร์อาทิตย์ไม่เคยหยุดพักเหมือนทำงานเพื่อให้ลืมใครสักคน จนทุกวันนี้เขาแทบจะไม่มีความรู้สึกเชิงชู้สาวกับผู้หญิงคนไหนเลย
“รอให้เขาตอบกลับมาก่อนนะครับ ถ้าเธอตกลงยังไงป้าก็ได้เจอแน่นอน” อิทธิพัทธ์ก็อยากให้เธอตกลงเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดหาใครอีก แต่ก็ไม่อยากกดดันเธอเกินไปเพราะเขาเองก็คิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะให้ตอบตกลงแต่งงานกับใครง่ายๆ ขณะที่เขาเดินออกมานอกบ้านก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเผลอมองดอกลดาวัลย์อีก
‘ขอให้หอมเหมือนดอกลดาวัลย์ทีเถอะนะ’
ทั้งที่ไม่ได้คิดจริงจังกับเธอแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้แอบภาวนาอยู่ในใจแบบนั้น
ภายในบ้านทรงไทยประยุกต์ทุกคนต่างกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน
“อ้อ คิดดีแล้วเหรอลูก” ย่าชมเอ่ยถามเมื่อรู้ว่าหลานสาวตกลงจะแต่งงานกับเพื่อนของลูกชาย ด้วยความเป็นห่วงหลานสาวที่ตัวเองเลี้ยงดูมาตลอดตั้งแต่พ่อกับแม่ของเธอจากไปพร้อมกัน ย่าชมรักและห่วงใยยิ่งกว่าลูกในไส้ เธอเติบโตมาอย่างสวยงามแต่ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดและเป็นเด็กไม่ติดเที่ยว จึงยังไม่ประสากับเรื่องผู้ชายนัก จะมีที่เคยพามาบ้านสักหนก็แค่เพื่อนสนิทคนเดียวเท่านั้น
“ค่ะคุณย่า” ลดาวัลย์พึ่งตอบตกลงอิทธิพัทธ์ไปหลังจากเธอสอบปลายภาคของเทอมสุดท้ายเสร็จ
“ปู่ว่าเขาก็ดูนิสัยดี น่าจะดูแลหลานปู่ได้ดี” ถวัลย์ผู้เป็นปู่มองอิทธิพัทธ์จากประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน และพอดูออกว่าเขาเป็นคนดีในระดับหนึ่ง ติดที่วัยค่อนข้างห่างกันเกินไป
“ไม่ได้จริงจังขนาดนั้นหรอกครับคุณพ่อคุณแม่” นพรุจเกรงว่าทุกคนจะอินกับงานแต่งครั้งนี้จนเกินไปจึงเอ่ยขัดขึ้นมา
“แม่รู้ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี แต่งแล้วก็จะต้องย้ายไปอยู่กับพ่ออิทเขา แม่ก็คงคิดถึงอ้อมาก” อิทธิพัทธ์คุ้นเคยกับครอบครัวนี้มานานไม่อย่างงั้นปู่กับย่าเธอคงไม่ยอมเป็นแน่
“พี่อ้อจะมีครอบครัวแล้วเหรอคะ” นาราลูกสาววัยสิบห้าของนพรุจเอ่ยถามพี่สาวที่เหมือนเป็นพี่แท้ๆของเธอ
“อือ ฮึ” ลดาวัลย์พยักหน้าตอบนารา ผู้เป็นน้องทำหน้าตาเหงาๆ แต่ดีหน่อยที่ตอนนี้เธอเริ่มโตเป็นสาวแล้วไม่ค่อยติดพี่เท่าไหร่ไม่อย่างงั้นก็คงมีงอแงบ้าง นารารู้ว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่จึงไม่ซักถามต่อให้มากความ
“อ้อจะให้อาอิทพามาเยี่ยมบ้านเราบ่อยๆนะคะ”
“แล้วอ้อจะไปลองชุดวันไหน”
“ยังไม่ได้คุยเรื่องนั้นเลยค่ะ แต่อาอิทให้คุณย่าบงกชไปหาฤกษ์รอไว้แล้วค่ะ” ฤกษ์แต่งงานถึงจะรีบแต่งแค่ไหนแต่ลดาวัลย์ก็บอกกับอิทธิพัทธ์ว่าให้จัดขึ้นหลังจากที่เธอพ้นจากการเป็นนักศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัยก่อนซึ่งเขาเองก็รับปาก แค่เธอตอบตกลงเขาก็ดีใจมากแล้ว