ทีแรกนพรุจก็ดีใจที่พอจะหาคนมาแต่งงานให้กับเพื่อนรักได้ แต่อีกใจหนึ่งก็อดเป็นห่วงหลานสาวไม่ได้ ถึงลดาวัลย์จะเป็นคนสบายๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนเด็กสมัยใหม่อย่างลดาวัลย์จะยอมรับมันได้หรือเปล่า แต่ถ้าเขาขอร้องเธอ เธอก็อาจจะยอมเพราะทั้งลดาวัลย์และอิทธิพัทธ์ก็เคยเจอกันอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก
แต่ตอนนั้นดูท่าทางลดาวัลย์ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้อิทธิพัทธ์สักเท่าไหร่ ด้วยบุคลิกที่ไม่ค่อยพูดใบหน้าหน้าคมเข้มและสายตาดุของเขา ทำให้ลดาวัลย์เข้ามาทักทายแล้วก็หาเรื่องออกไปเล่นบ้านเพื่อน
“พี่รุจคิดว่ายังไงคะ” ธันยารัตน์เอ่ยถามสามีขณะที่ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงในห้องนอน ถึงเธอจะคิดว่าลดาวัลย์เหมาะสมกับอิทธิพัทธ์มากแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของหลานสาวเพราะตัวเองก็เป็นแค่เพียงอาสะใภ้ แม้ลดาวัลย์จะสนิทกับธันยารัตน์เหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆก็เถอะ
“พี่จะลองคุยกับอ้อดูก่อน” นพรุจรู้สึกลังเลและสงสารทั้งสองฝ่าย จะช่วยก็สงสารหลานถ้าไม่ช่วยก็สงสารเพื่อน
“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ล่ะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าอ้อตัดสินใจแล้วพ่อกับแม่ก็ไม่มีปัญหา” ธันยารัตน์เกรงใจพ่อกับแม่สามีเพราะท่านเป็นคนเลี้ยงดูลดาวัลย์มาตั้งแต่เด็กจะมาตัดสินใจเรื่องใหญ่แบบนี้แทนท่านทั้งสองก็คงจะดูไม่เหมาะไม่ควร
ภายในรั้วบ้านทรงไทยประยุกต์ที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายและดูอบอุ่น ใต้ถุนยกสูงเล็กน้อย บริเวณบ้านกว้างขวางมีรั้วกั้นโดยรอบ นพรุจหาโอกาสที่จะคุยกับหลานสาวเพียงลำพัง เขานั่งอยู่ที่ซุ้มดอกสะบันงาที่ถูกตัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ตรงด้านหน้าทางเข้าประตูรั้วบ้าน
“อ้อ” นพรุจกวักมือเรียกหลานสาวที่พึ่งเดินลงมาจากบันไดบ้านที่มีเพียงไม่กี่ขั้น
“อารุจมีธุระอะไรแต่เช้าเหรอคะ”
“อามีเรื่องจะให้อ้อช่วย” หน้าตานพรุจดูจริงจังมากจนหลานสาวรู้สึกแปลกใจ ปกติครอบครัวนี้มีแต่เรื่องสนุกสนานไม่ค่อยจะมีเรื่องเครียดกันเท่าไหร่
ลดาวัลย์นั่งลงม้านั่งฝั่งตรงข้ามกับอาหนุ่มแล้วนพรุจก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับหลานสาวฟัง เธอไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับอิทธิพัทธ์ได้ ในวัยเด็กเธอมองว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นและดูดีมากเวลาเจอหน้าเขาทีไรเธอรู้สึกประหม่าและใจเต้นแรงทุกที แต่หลังจากลดาวัลย์เข้าเรียนชั้นมัธยมปลายเธอก็ไม่ค่อยได้เจอกับเขาอีกเลย
อาจจะด้วยเวลาที่ไม่ตรงกันหรือเพราะอิทธิพัทธ์มีครอบครัวแล้วก็เป็นได้ แต่เขาก็มาหานพรุจอยู่บ่อยครั้งแต่เธอก็ติดเรียนตลอด มารู้เรื่องว่าเขากำลังหาผู้หญิงไปแต่งงานด้วยเวลาก็ผ่านไปตั้งแปดปีแล้ว
“เพื่อนอาคนนี้มันนิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษ อ้อช่วยมันแค่ปีเดียวก็ได้ อ้ออยากได้อะไรก็บอกมันและไม่ต้องห่วงเรื่องอย่างว่าเลย มันไม่มีทางล่วงเกินอ้อเด็ดขาด”
ถ้าเธอช่วยถึงหนึ่งปีมันก็ใช้คำว่าแค่ไม่ได้หรอกเพราะยังไงเธอก็ได้ขึ้นชื่อว่าเคยมีสามีมาแล้วอยู่ดี เรื่องข้าวของเครื่องใช้เธอไม่ต้องการหรอกเพราะพ่อกับแม่และอาทั้งสองได้สร้างรากฐานไว้ให้หมดแล้ว ขอแค่เธอเรียนจบแล้วมาสานต่อแค่นี้ชีวิตก็ไม่ได้ลำบากอะไร
ลดาวัลย์ยังไม่ได้ให้คำตอบอาหนุ่มในตอนนั้น เพราะการตัดสินใจครั้งนี้มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธอมาก ถึงแม้นพรุจจะการันตีความดีของอิทธิพัทธ์มากแค่ไหน แต่นพรุจก็ไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกับเขาแบบจริงจังอยู่ดี ทุกอย่างเธอต้องเรียนรู้จากเขาใหม่ทั้งหมด
ลดาวัย์นอนคิดอยู่หลายสัปดาห์ กว่าจะตัดสินใจบอกนพรุจ ภาพผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา แต่ดูน่าเกรงขามในสายตาของเธอตอนนั้นผุดขึ้นมาในห้วงอารมณ์ของเธออีกครั้ง เขาเป็นผู้ชายที่เธอพยายามลืมตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาแต่เธอก็ทำไม่สำเร็จ คราแรกลดาวัลย์คิดแค่ว่ามันคงเป็นแค่ความชอบแบบที่เขาปลื้มดารากันทั่วไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เธอก็ยิ่งคิดถึงผู้ชายคนนี้มากขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเพราะตอนนั้นเขามีภรรยาที่น่ารักอยู่แล้วเธอจึงไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับอิทธิพัทธ์ นอกเสียจากรอฟังข่าวคราวของเขาบ้างจากอาของเธออยู่เงียบๆ
เมื่อลดาวัลย์บอกนพรุจว่าจะลองคุยกับอิทธิพัทธ์ดูเขาจึงรีบต่อสายหาเพื่อนทันที
“มึงเอาเบอร์อ้อไป ว่างวันไหนค่อยโทรนัดคุยกันเอาเอง กูช่วยมึงได้แค่นี้แหละ ที่เหลือก็แล้วแต่ความสามารถของมึง”
“โว้ จริงดิ กูขอบใจมึงมากเพื่อน”
เสียงปลายสายมีความตื่นเต้นและรู้สึกโล่งอกอยู่ในที ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไรแต่เขาก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
เขาลืมลดาวัลย์หลานสาวของเพื่อนรักไปได้อย่างไร แต่ตอนนี้เขานึกภาพเธอไม่ออกว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร ที่จำได้ครั้งล่าสุดก็ทั้งอ้วนทั้งดำ แต่เขาไม่ได้สนใจในจุดนี้ถึงเธอจะหน้าตาอย่างไรก็ตามขอให้เธอยอมช่วยเหลือเขาก็พอ อิทธิพัทธ์รู้ว่าเธอชื่อลดาวัลย์ชื่อเหมือนดอกไม้ที่เขาชอบกลิ่นของมันซึ่งเขาเป็นคนนำมาปลูกไว้เอง ชายหนุ่มเดินออกมาจากบ้านแล้วหยุดยืนมองดอกลดาวัลย์สีขาวที่กำลังบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ที่ซุ้มหน้าบ้าน จนเขาแอบเผลอคิดเล่นๆไม่ได้
‘จะสวยและหอมเหมือนดอกลดาวัลย์มั้ยนะ’
ภายในร้านกาแฟที่ใกล้กับสำนักงานของอิทธิพัทธ์และไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของลดาวัลย์มากนัก ร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวสีน้ำผึ้งกำลังนั่งจิบกาแฟอย่างใจเย็นรอหญิงสาวอยู่โต๊ะด้านนอก โดยรอบตกแต่งโทนสีขาวละมุน มีไม้ประดับไม้ดอกตกแต่งอยู่โดยรอบมองดูสบายตา
“อาอิทใช่มั้ยคะ” สาวสวยสวมชุดนักศึกษากระโปรงสั้นเหนือเข่าเข้ารูป ดูหน้าตาไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่เดินเข้ามาทักอิทธิพัทธ์
“สวัสดีครับ เอ่อคุณ…” อิทธิพัทธ์มองดูหญิงสาวรูปร่างสมส่วนเจ้าของดวงตากลมโตนัยน์ตาดำขลับตรงหน้าไม่วางตา มองไปมองมาจึงนึกขึ้นได้ แปดปีที่ไม่ได้เจอกันลดาวัลย์เปลี่ยนไปมาก เธอดูเป็นผู้ใหญ่และสวยขึ้นมาก
“อ้อไงคะ อาอิทจำไม่ได้เหรอคะ” อิทธิพัทธ์ดูหล่อและภูมิฐานมากขึ้นกว่าเดิมจากที่เธอเคยเจอครั้งล่าสุดตอนงานศพของพ่อกับแม่ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่อายุจะเข้าใกล้วัยสี่สิบ ถ้าคนไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวคงคิดว่าเขาอายุแค่สามสิบต้นๆ
จะให้จำได้ในแวบแรกได้ยังไงล่ะ ตอนนั้นเด็กคนนี้ยังตัวดำเพราะเล่นน้ำคลองเยอะเกินไปแถมยังอ้วนอีกต่างหากไม่คิดว่าโตมาจะหน้าตาสวยละมุนขนาดนี้ แต่ถึงจะสวยอย่างไรก็ทำอะไรคนอย่างอิทธิพัทธ์ไม่ได้หรอก เขาเจอคนสวยมานักต่อนัก
“อ๋อครับ เชิญนั่งครับ อ้อสั่งอะไรก่อนมั้ย” อิทธิพัทธ์ยื่นเมนูให้กับหญิงสาว หญิงสาวจึงสั่งชามะนาวหวานน้อยมาหนึ่งแก้ว เจอกันครั้งแรกทั้งสองก็จะประหม่าหน่อยต่างคนต่างพูดน้อยลดาวัลย์จึงเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
“อาอิทคุยธุระของอาอิทมาเลยค่ะ ถ้าอ้อพอจะรับได้อ้อก็จะช่วยค่ะ” อิทธิพัทธ์ไม่อ้อมค้อม จึงอธิบายทุกอย่างให้ลดาวัลย์ฟังทั้งหมด
“อ้อแค่แต่งงานจดทะเบียนสมรสกับอา แต่เราจะไม่เกี่ยวข้องกันในทางพฤตินัย อาจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอ้อทุกอย่าง และอ้ออยากเลิกกับอาตอนไหนก็ย่อมได้”
‘ถ้าจดทะเบียนสมรสเขาก็ไม่เรียกว่าแค่แล้วค่ะคุณอา’