โคลินนอนหลับไปจนถึงช่วงสายของวัน ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก จึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปหาของกินที่ชั้นล่างของบ้านอย่างเคย
ขณะกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นในความคิดของเขา
“โคลิน คุณลืมผมแล้วเหรอ” น้ำเสียงน้อยใจของวิญญาณหนุ่มถามเขา
“เปล่าสักหน่อย ผมจะขึ้นไปหาคุณเดี๋ยวนี้แหละ” โคลินรีบกัดครัวซองต์คำใหญ่จนแก้มตุ่ยแล้ววิ่งไปชั้นดาดฟ้า
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ผมไม่หนีไปไหนหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยปากห้ามเพราะได้ยินเสียงรองเท้ากระแทกพื้นบันได
เพียงพริบตาเดียว โคลินก็มาถึงห้องดาดฟ้าเพราะขายาว ๆ ของเขาก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้น
“คุณจำอะไรได้บ้างไหม”
เฌโรมส่ายหน้าทันควัน แต่สีหน้าไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย
“ถ้างั้นคุณลองนึกไปก่อนแล้วกัน ยิ่งคุณจำได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีกับคุณนะ เดี๋ยวผมต้องไปทำงานแล้ว เจอกันพรุ่งนี้เช้า” เขาพูดพลางเดินมาหยิบกระเป๋าเป้ใบสีดำที่วางอยู่ข้างเตียง
จู่ ๆ เฌโรมก็ถามขึ้นมาว่า “คุณรู้ไหมวิญญาณแบบผมไม่จำเป็นต้องนอน”
“อื้ม” คนถูกถามสีหน้างุนงง “แล้วทำไม?”
“กว่าจะเช้าคุณจะให้ผมรออยู่แต่ในห้องนี้เหรอครับ” เฌโรมเลิกคิ้วต้องการขออะไรบางอย่างจากโคลิน
“คุณก็รู้ว่าโลกวิญญาณข้างนอกอันตรายจะตาย อยากถูกปีศาจจับกินเหรอ” เขากำลังเดาใจไม่ถูกว่าคนตรงหน้ากำลังต้องการอะไร
“เมื่อคืนนี้ผมนั่งเฝ้าพื้นที่เขตของคุณถึงได้รู้ว่าไม่มีวิญญาณโผล่มาเลย พลังของคุณคงจะแข็งแกร่งมากจนไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง
วิญญาณอย่างผมคงจะปลอดภัยถ้ามีคุณอยู่ข้าง ๆ” เฌโรมกำลังโน้มน้าวใจการ์เดี้ยนของเขา ดวงตาสีเทามองมาที่โคลินจนภาพของอีกฝ่ายสะท้อนในแววตา
“คงไม่ได้คิดจะตามผมไปที่โรงพยาบาลใช่ไหมครับ” โคลินจ้องตาเขากลับ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มยิ้มให้จนตาหยีจึงบอกเขาว่า “ไม่ได้ โรงพยาบาลไม่ใช่เขตที่ผมรับผิดชอบ อาจจะมีวิญญาณร้ายมาก่อกวนคุณ ดีไม่ดีอาจจะเจอปีศาจอาละวาดแถวนั้นอีก” โคลินเองก็มีเหตุผลที่จะต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ
“ถ้าคุณเป็นห่วงผมมาก ผมจะรอคุณอยู่ที่บ้าน” สีหน้าสิ้นหวังเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม “ถ้าไปหาคุณชั่วคราวได้ไหมครับ”
“เอาที่สบายใจ” โคลินเอ่ยปากบอกเฌโรมไปแบบนั้น แต่ไม่คิดว่าวิญญาณอย่างเขาจะทำได้
ประการแรก วิญญาณสามารถหายตัวไปในที่ที่ต้องการได้แต่ต้องรู้ว่าจะไปที่ไหนและเคยไปสถานที่แห่งนั้นมาก่อน ซึ่งเฌโรมจำอะไรไม่ได้เลยจึงเป็นไปได้ยากอย่างยิ่งยวด
ประการที่สอง เขาคิดว่าเฌโรมเข้าใจแล้วว่าการออกไปนอกบ้านเป็นเรื่องอันตรายกับตัวเองแค่ไหน คนที่รู้อย่างนี้แล้วทำไมจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยง
“เดินทางปลอดภัยนะครับ” เฌโรมยิ้มให้เมื่อเห็นว่าโคลินกำลังจะออกไปทำงานจนอีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน เผลอยิ้มตอบกลับแล้วรีบเบือนหน้าหนีโดยเร็ว
เวลาห้าทุ่ม
โคลินออกมายืนดูสถานการณ์พื้นที่เขตหนึ่งบนสวนลอยชั้นสิบของโรงพยาบาลพึมพำกับตัวเอง
“ช่วงนี้การ์เดี้ยนเขตหนึ่งทำงานหนักน่าดู” โคลินเห็นชายวัยยี่สิบจำนวนสามสี่คนกระจายกำลังอยู่ไม่ไกลเพื่อรับมือกับพวกวิญญาณร้ายที่มักจะมากระจุกรวมตัวกันในเขตนี้มากกว่าเขตอื่น
เขาจึงคิดว่าเลิกงานแล้วจะเข้าไปช่วยก่อนแล้วค่อยกลับบ้านทีหลัง
พรึ่บ
โคลินไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะเห็นวิญญาณของใครบางคนปรากฏขึ้น
“คุณบอกว่าผมมาหาคุณชั่วคราวได้นี่ครับ” เฌโรมเอ่ยปากเพราะเห็นว่าโคลินกำลังคิ้วขมวด สีหน้าเหมือนอยากจะดุเขาที่ไม่ยอมเชื่อฟัง
“ผมรู้ คุณจำอะไรได้บ้างแล้วเหรอ” ดวงตาของเขาเบิกโตคิดว่าได้เบาะแสเพิ่มเติม
ทว่า ร่างสูงกลับตอบมาแค่ว่า “ไม่ครับ”
“แล้วคุณมาได้ยังไง” โคลินมองไปรอบสวนลอยชั้นสิบเพราะกลัวว่าจะมีวิญญาณร้ายหรือปีศาจออกมาโจมตีเฌโรม
“ผมแค่มองหาคุณ” เฌโรมอธิบายคนตรงหน้าที่เอียงคอสงสัยว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไร
“หา? หมายความว่ายังไงที่บอกว่ามองหาผม” เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วสังเกตดวงตาสีเทาอีกครั้ง “คุณบอกว่าเห็นผมราง ๆ จะบอกว่าระยะทางจากบ้านมาที่โรงพยาบาลนี่คุณมองเห็นผมเหรอ”
“อื้ม” เขาพยักหน้าที่โคลินเดาถูก
พอได้ยินคำตอบเช่นนั้น โคลินก็ลองเอามือโบก ๆ ผ่านดวงตาคู่นั้นอีกรอบ “แบบนี้เขาเรียกว่าเห็นชัดยิ่งกว่าชัดอีก”
เฌโรมจึงเอื้อมมือจับข้อมือของอีกฝ่ายในร่างวิญญาณ แล้วบอกกับให้หายสงสัย “ผมเห็นร่างวิญญาณของคุณ ต่อให้ไกลแค่ไหน ผมก็เห็นแสงสว่างของผมเสมอ”
แสงสว่างบ้าบออะไร เห็นผมเป็นหลอดไฟเหรอ โคลินรีบหยิกแก้มตัวเองอีกรอบเพื่อดึงสติให้กลับมา แต่ไหนแต่ไรเจอมุกตลกเลี่ยน ๆ แบบนี้ เจอวิญญาณที่หน้าตาดีกว่าเขา ไม่เห็นจะใจเต้นแบบนี้เลย เห็นทีนายคงต้องไปถามใครสักคนแล้วว่าร่างวิญญาณของนายมีแสงวิบวับอย่างที่เขาบอกไหม โคลินพูดกับตัวเองในใจ
“นี่คุณไม่กลัวอันตรายอย่างที่ผมบอกเหรอ” โคลินนึกสงสัย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวิญญาณของเขาเพิ่งจะหลุดออกจากร่างแล้วมาเจอกับการ์เดี้ยนอย่างเขาทันทีจึงไม่ทันได้รู้ว่าอันตรายในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร
“ผมจะกลับไปรอคุณที่บ้าน รีบกลับนะครับ” เฌโรมพูดจบก็หายตัวไปจากตรงนั้นทันทีทิ้งให้โคลินยืนกระพริบตาปริบ ๆ
บทจะเชื่อฟังกันง่าย ๆ ก็ง่ายเกินไปมั้ง
หลังจากลงเวรเรียบร้อย โคลินก็ตั้งใจไปช่วยการ์เดี้ยนของเขตหนึ่งทำงานตามที่ตั้งใจไว้
ทว่า ช่วงคาบเกี่ยวกลับเปิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ ทำให้ปีศาจและวิญญาณร้ายต่างพากันคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม
โคลินจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากวิญญาณร้ายมารับมือกับปีศาจระดับล่างที่คลานยั้วเยี้ยเต็มไปหมด พวกมันพุ่งตัวไปที่วิญญาณเร่ร่อนและการ์เดี้ยนที่มองไม่เห็นร่างพวกมัน
“พวกนายรีบหนีไปก่อน ที่นี่ไม่ปลอดภัย” โคลินตะโกนบอกพลางยื่นถุงเครื่องรางที่พกติดตัวให้คนที่อยู่ใกล้ที่สุด “ไปหลบที่โบสถ์ใกล้สุด ตอนเช้าค่อยออกมา”
“อื้ม” ทั้งสามคนพยักหน้าแล้วรีบทำตามที่เขาบอก
เวลานี้โคลินกำลังยืนเผชิญหน้าเพียงลำพัง สายตามองกวาดไปรอบ ๆ แล้วยิ้มมุมปาก พลางเรียกดาบเงินคู่ใจของตนเองออกมา
ปีศาจระดับล่างปะทะได้ วิญญาณร้ายระดับสุดท้ายไม่ต้องออมมือ หวานหมูจริง ๆ โคลินคิดในใจแล้วพุ่งเข้าหาปีศาจตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน คาดคะเนว่าจัดการกับทั้งหมดคงใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงจึงลงมือกับศัตรูตัวร้ายอย่างไม่ปรานี
คมดาบฟาดฟันบนร่างของปีศาจทีละตัวจนพวกมันค่อย ๆ สลายหายไป เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วอย่างกับว่าพยายามจะเรียกพรรคพวกมาช่วยทำให้โคลินต้องรีบปิดงานให้เร็วที่สุด
ถึงแม้ช่วงคาบเกี่ยวจะกินเวลายาวนานทำให้ปีศาจไม่ลดจำนวนลงอย่างที่คาดไว้ โคลินก็ยังพอมองเห็นว่ามียมทูตหลายสิบตนกำลังเข่นเขี้ยวคอยจัดการพวกมันอยู่หน้าประตูมิติและควบคุมไม่ให้หลุดออกมามากกว่าเดิม
ตึง ตึง ตึง
เสียงฝีเท้าน่าเกรงขามของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ปีศาจดังมาจากฝั่งตรงข้ามประตูมิติ
ยมทูตที่อยู่ด้านหน้าพากันเลิ่กลั่กถือเคียวประจำกายไว้แน่น จ้องตาไม่วางเตรียมรับมือ
ควันสีเทาปะทุออกมาพร้อมกับกลิ่นฉุนรุนแรงจนโคลินที่อยู่ถัดออกมาประมาณห้าร้อยเมตรยังไม่อาจสลัดกลิ่นนี้ออกไปได้
ร่างขนาดใหญ่โตมหึมา มีเขาสองข้างกับดวงตาสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของปีศาจเด่นชัด ลูกตากลม ๆ ดวงใหญ่กำลังมองไปที่ยมทูตตัวเล็ก ๆ ข้างหน้าของมัน
ใบหน้านั้นแสยะยิ้มเพราะรู้ว่าตัวมันเองมีพลังเหนือกว่าผู้ใดในที่นี้ หากแต่ยมทูตเหล่านั้นก็ไม่อาจถอยกลับเพราะหน้าที่ค้ำคอ จึงพากันล้อมตัวมันเอาไว้แล้วหาจุดอ่อนเพื่อโจมตี
โคลินนึกถึงคำที่มาริอุสเคยบอกว่าพลังของเขาไม่อาจสู้ปีศาจชั้นสูงได้ ทว่า เขาจำเป็นต้องอยู่ช่วยเหลือยมทูตพวกนั้นเพราะอย่างน้อยดวงตาสีฟ้าของเขาก็สามารถหาจุดตายของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ และนั่นก็จะทำให้ยมทูตมีโอกาสเอาชนะมากขึ้น
เขาหลบอยู่ด้านหลังตึกแล้วหรี่ตามองทั่วทั้งร่างกายของผู้มาเยือนอย่างละเอียด แต่ควันสีเทาที่ลอยปกคลุมอยู่บดบังสายตาของเขามากพอควร
จู่ ๆ ดวงตาสีเขียวของปีศาจก็จ้องมองมาทางที่โคลินซ่อนตัวอยู่ แล้วสั่งสมุนของมันพุ่งมาหาเขาด้วยความเร็วแสง
พรึ่บ
เงามืดโผล่ขึ้นข้างหลังโคลินแล้วดึงตัวเขากลับมาที่ห้องบนดาดฟ้าในพริบตา