ตอนที่ 13 ห่วง

2255 Words
ร่างของโคลินถูกโยนทิ้งบนที่นอนจนเจ้าตัวหัวทิ่มกับหมอน เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขามองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จนได้ยินเสียงของคนคุ้นเคยถามไถ่ “โคลิน คุณไปทำอะไรมาถึงได้เนื้อตัวมอมแมมขนาดนี้” ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำเพราะได้ยินเสียงประหลาดก่อนจะเข้ามาพยุงร่างของโคลินอย่างอ่อนโยน สายตามองบาดแผลบนร่างวิญญาณของโคลินพลางคิ้วขมวดและเป็นกังวลไม่น้อย “เกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อย ว่าแต่เมื่อกี้คุณเห็นไหมว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่” เขาหันมองดูรอบห้องเผื่อว่าจะเห็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาเกิดภาพตัดชั่วขณะ “ไม่ครับ” เฌโรมส่ายหน้า ซึ่งโคลินก็ไม่ติดใจอะไรมากนัก ขนาดการ์เดี้ยนอย่างเขายังมองไม่ทันแล้ววิญญาณธรรมดาจะไปเห็นได้อย่างไร “คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” เขาเอ่ยปากถามเฌโรมที่ยังคงนั่งนิ่งราวกับไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ครั้นเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง โคลินก็รู้สึกได้ว่าเขตสิบสามในการดูแลของเขาสงบต่างจากเขตอื่นจริง ๆ “คุณเจ็บมากหรือเปล่า” ดวงตาสีเทาของเขากำลังจ้องรอยบาดแผลบนแขนข้างซ้ายของโคลิน เอื้อมมือมาแตะรอบ ๆ อย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไร แต่ว่าเดี๋ยวผมมา” โคลินกำลังนึกห่วงยมทูตเหล่านั้นที่ต้องรับมือกับปีศาจร่างยักษ์ คิดว่าจะออกไปช่วยหาจุดตายปีศาจสักนิดหนึ่งก่อนที่ยมทูตเงาหรือทูตสวรรค์จะมาถึงก็น่าจะเพียงพอ หากแต่ว่า ตอนที่เขากำลังจะก้าวออกไปข้างนอกกลับมีเงามืดปรากฏขึ้น โคลินสัมผัสถึงมันได้จึงชะงักฝีเท้าแล้วรีบวิ่งกลับมายืนขวางพลางกางแขนปกป้องเฌโรม “อย่ายุ่งกับเขา” โคลินตะโกนบอกกับเงามืด แม้จะรู้ว่ามันไม่เคยทำอะไรตัวเขา แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะทำอะไรเฌโรมหรือเปล่า ไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น จู่ ๆ เงามืดก็หายวับไป โคลินรู้สึกว่าช่วงนี้มีอะไรมากมายแปลกไปจากเดิมนัก ตอนแรกเขาคิดว่าจะออกไปช่วยยมทูตที่เขตหนึ่งต่อ แต่พอเห็นเงามืดปรากฏตัวแบบนี้จึงไม่กล้าทิ้งเฌโรมไว้คนเดียว สุดท้ายจึงตัดสินใจอยู่ในห้องดาดฟ้ากับเฌโรมจนกว่าช่วงคาบเกี่ยวจะสิ้นสุดลง “เมื่อกี้นี้คืออะไรเหรอครับ ทำไมคุณดูกังวลขนาดนั้น” เฌโรมถามเขาเพราะเห็นสีหน้าวิตกกังวลของการ์เดี้ยนหนุ่ม “น่าจะเป็นปีศาจ จริง ๆ แล้วเจ้านั่นน่ะอยู่กับผมในช่วงคาบเกี่ยวตั้งแต่เด็ก ถึงจะไม่ทำร้ายผมแต่ว่ากับคุณก็ไม่แน่ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไง ถ้าเกิดมันโจมตีคุณขึ้นมาจริง ๆ” คิ้วของคนตรงหน้าขมวดเป็นปมครุ่นคิดว่าครั้งหน้าจะพาวิญญาณความจำเสื่อมผู้นี้ไปหลบซ่อนที่ไหน “มันไม่ทำอะไรคุณก็ดีแล้วครับ ส่วนเรื่องของผม คุณไม่ต้องสนใจนักหรอก” สีหน้าของเฌโรมแตกต่างจากโคลินคนละขั้ว ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอาจตกเป็นเป้ากลับไม่รู้สึกกลัวอะไรทั้งนั้น ในทางกลับกัน เขาจับแขนของโคลินข้างที่มีเลือดไหลขึ้นมาดู พอจ้องมองดี ๆ แล้วก็มีรอยบาดแผลอื่น ๆ ที่ยังไม่หายดีรวมอยู่ด้วย เฌโรมจึงกวาดตามองไปที่แขนอีกข้าง กลับพบรอยแผลแบบเดียวกัน ยามที่โคลินต้องต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายหรือปีศาจ เขาจะเปลี่ยนเป็นร่างวิญญาณเพื่อพรางตัวจากมนุษย์และลดอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ อีกทั้งการรักษาร่างวิญญาณที่บาดเจ็บ ย่อมง่ายกว่าการรักษาร่างจริงหลายร้อยเท่า เพียงแค่ดื่มน้ำชาร้านเอวาไม่กี่วัน แผลต่าง ๆ ก็จะสมานในไม่ช้า “เจ็บตัวอยู่เรื่อยเลยนะครับ” เฌโรมบ่นพึมพำพลันสบตาคนตรงหน้า “อะไรนะ” เขาได้ยินเสียงงึมงำฟังไม่ชัดจึงถามออกไป “ร่างวิญญาณของคุณ บาดแผลเยอะมากเลยนะครับ” ร่างสูงพูดจบพลางชี้ให้เจ้าตัวดูแต่ละรอย สีหน้าเหมือนกับเป็นคนที่บาดเจ็บเสียเอง โคลินจึงเอ่ยปากบอกแต่เพียงว่า “เดี๋ยวก็หาย” แล้วหยิบขวดแก้วเล็กในลิ้นชักออกมา ข้างในบรรจุน้ำสีใสเต็มขวด เขาเขย่ามันสองสามครั้งแล้วเปิดจุกฝาก่อนจะบีบจมูกของตัวเอง กรอกปากให้หมดในคราวเดียว สีหน้าของโคลินบ่งบอกได้ว่ารสชาติของมันขมมากขนาดที่ว่าต้องแกะอมยิ้มรสพีชมาอมต่อเพื่อล้างปาก เฌโรมมองดูพลางอมยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่อยากดื่มมันก็อย่าเจ็บตัวบ่อยสิครับ” เขาชี้ไปที่ขวดแก้วอีกหลายใบในลิ้นชัก “สะสมไว้เยอะขนาดนี้ คุณคงไม่วางมือง่าย ๆ ใช่ไหม” “หน้าที่ของผมนี่นา แผลพวกนี้อีกสองสามวันก็หายแล้วล่ะ” โคลินยังคงถือดาบเงินไว้ในมืออีกข้างเผื่อว่าเงามืดจะโผล่มาอีกครั้ง เขาออกมายืนอยู่ระเบียงด้านนอกกวาดตามองไปรอบ ๆ ทั่วทั้งเขตสิบสาม “ผมว่าคุณนอนพักสักงีบดีกว่าไหมครับ” เฌโรมรู้ว่าเขาเพิ่งเลิกงานมา ทั้งยังปะทะกับปีศาจจนร่างกายบาดเจ็บ เวลานี้ดื่มน้ำชาไปแล้วก็ควรจะนอนพักผ่อน หากแต่คนตรงหน้ากลับยังฝืนทนเพราะรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง “ไม่เป็นไร...” ไม่ทันที่โคลินจะพูดจบ จู่ ๆ ภาพที่เห็นก็เบลอ เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง สุดท้ายเขาก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย เฌโรมจึงอุ้มเขามานอนบนเตียงนุ่ม ปล่อยให้เจ้าตัวได้พักผ่อนร่างกายเพราะคิดว่าโคลินคงจะเหนื่อยมากจนเผลอหลับไปทั้ง ๆ ที่ปากคาบอมยิ้มอยู่แบบนั้น วิญญาณชายหนุ่มนั่งพิงหัวเตียง อาสาเฝ้าเขตสิบสามตลอดทั้งคืนและคอยระวังไม่ให้ใครหน้าไหนมาทำอะไรคนที่กำลังนอนหลับใหลอย่างมีความสุข ช่วงสายของวัน “หลับสบายดีไหม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักทายเจ้าของห้อง โคลินงัวเงียกระพริบตาปริบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งรู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป จึงพลิกตัวตะแคงเพื่อนอนต่อ หากแต่เห็นใบหน้าและดวงตาสีเทาอยู่ห่างออกไปไม่กี่คืบก็สะดุ้งตกใจ รีบยันตัวลุกขึ้นเดินออกนอกห้อง ครั้นนึกได้ว่าเป็นห้องของตัวเองจึงค่อย ๆ หันกลับมาแล้วนั่งลงที่เก้าอี้นวมอีกฝั่งของห้อง ถามเสียงตะกุกตะกัก “ตอนที่ผมหลับไปมีอะไรเกิดขึ้นไหม” “อะไรที่คุณถามคืออะไรเหรอ” เฌโรมเลิกคิ้วสบสายตา สายตาของโคลินจ้องกลับไปยังดวงตาสีเทา ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องเดียวกันหรือเปล่า จึงถามให้ชัดเจน “เงามืดโผล่มาอีกไหม หรือว่ามีวิญญาณร้าย ปีศาจอะไรมาแถวนี้ไหมครับ” “โชคดีที่ไม่มีใครโผล่มาครับ พวกมันคงไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณสักเท่าไหร่” เฌโรมยักไหล่เอียงคอด้วยท่าทีสบาย ๆ บางครั้งน้ำเสียงเรียบเฉยของเฌโรมก็ทำให้โคลินนึกอยากเห็นว่าชีวิตจริงของเขาเป็นคนแบบไหน คนที่ดูไม่ห่วงชีวิตของตัวเองเท่าไหร่ แต่ทำท่าเหมือนห่วงเขาแบบนี้ มันคืออะไรกัน “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ คุณน่าจะโล่งใจไม่ใช่เหรอที่ไม่มีใครมาทำอะไรร่างวิญญาณของคุณตอนที่ผมหลับ” เขาเอ่ยปากบอกเพราะตอนที่หลับไปรู้สึกว่าได้นอนสบายอย่างที่ไม่ต้องกังวลในรอบหลายปี เหมือนกับว่าตัวเองเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องวุ่นวายในโลกวิญญาณ “แผลของคุณเป็นยังไงบ้าง ขอผมดูชัด ๆ ได้ไหม” เฌโรมเอื้อมมือมาจับที่แขนเสื้อของเขาแต่กลับถูกโคลินตีมือเบา ๆ “โอ๊ะ! โทษทีครับ พอดีผมไม่ค่อยชอบสกินชิพกับคนแปลกหน้า” เขาพูดจบแล้วก็เดินไปนั่งที่เตียงฝั่งตรงข้าม “แต่ผมก็โดนตัวคุณตั้งหลายครั้งแล้วนี่ครับ ไม่ชินเหรอ” สีหน้าของเฌโรมกำลังคิดว่าที่ผ่านมากับครั้งนี้แตกต่างกันตรงไหน พรึ่บ ทันทีที่ได้ยินเสียง โคลินก็รีบพุ่งตัวไปยืนบังข้างหน้าเฌโรมในพริบตาพลางเรียกดาบเงินออกมา แต่กลิ่นไซคลาเมนและกุหลาบขาวที่ลอยฟุ้งทำให้เขาพอจะโล่งใจไปบ้าง “มาริอุส เซน” เขาเรียกทั้งสองอย่างคุ้นเคย สายตาของมาริอุสกำลังมองวิญญาณชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างบอกไม่ถูก “เอ่อ เขายังไม่ตายนะครับ แค่วิญญาณหลุดออกจากร่างเฉย ๆ” โคลินรีบบอกกลัวว่ายมทูตเงาจะเข้าใจผิดแล้วพาวิญญาณคนผู้นี้เข้าสู่แดนพิพากษา “ฉันเป็นยมทูตนะ เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้ แต่ว่า...” มาริอุส เว้นช่วงไปพักหนึ่ง “ฉันแค่สงสัยทำไมไม่มีข้อมูลวิญญาณของเขา” “มีอาบอกว่าระเบียนวิญญาณสูญหายไปครับ คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะกู้คืนมาได้” โคลินอธิบายไปตามที่ได้ยินมา “ว่าแต่เรื่องเมื่อคืนนี้เป็นยังไงบ้างครับ ปีศาจที่มีเขาในเขตหนึ่งจับได้หรือเปล่า” “อ่อ เจ้านั่นน่ะเหรอ แน่นอนว่าจัดการเรียบร้อย ตอนแรกฉันไม่ได้อยู่แถวนั้นหรอก แต่เหมือนมีพลังของปีศาจที่หลุดจากนรกไปโผล่แถวนั้น ฉันก็เลยตามไปดู นึกว่าจะเจอตัวที่กำลังตามหา ดันได้เจอตัวใหม่ซะงั้น” มาริอุสยักไหล่เสียดายไม่น้อย “เธอไม่ได้ก่อเรื่องอะไรมาใช่ไหม” เซนเอ่ยปากถามเขาบ้างเพราะเมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายหลายอย่าง “เปล่าเลยครับ” เจ้าตัวรีบส่ายหน้าพลางหันมามองเฌโรม “แล้วรู้ได้ยังไงว่าปีศาจตัวนั้นโผล่มาที่เขตหนึ่ง” น้ำเสียงเรียบเฉยถามเขาแต่แฝงการคาดโทษ “คือว่าเพิ่งเลิกงานกำลังจะกลับบ้านแล้วบังเอิญเห็นพอดีครับ” คำพูดของโคลินเลิ่กลั่กจนมาริอุสรู้สึกอยากแกล้ง “แปลกเนอะ นิสัยของนายน่าจะโดดเข้าร่วมวงด้วยนี่นา แต่ครั้งนี้เห็นแล้วกลับบ้านเฉย ๆ เลยเหรอ” มาริอุสยิ้มให้โคลิน แต่รอยยิ้มนั้นกลับมีเลศนัย “ร่วมวงนิดหน่อยเพราะพวกมันขวางทางกลับบ้านนี่ครับ คิดดูสิยืนออกันเต็มทางลงสถานีรถไฟเลย จะให้ผมเดินทะลุไปก็ไม่ได้นี่นา” โคลินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เซนจึงลูบศีรษะของโคลินอย่างที่เคยทำ แล้วกำชับอีกครั้งว่า “ดวงตาสีฟ้าอย่าให้ใครเห็นอีกเด็ดขาด มันดึงดูดพวกนั้นมาหาเธอ” “แต่ว่ามันเป็นทางเดียวที่จะหาจุดตายเจอนี่ครับ แล้วผมก็อยากช่วย” โคลินเสียงอ่อย “เรื่องพวกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ ตอนสู้กับราล์ฟคงไม่เชื่อจริง ๆ ใช่ไหมว่าเป็นการฝึกเธอโดยเฉพาะ” เซนถอนหายใจเมื่อเด็กน้อยยังคงดื้อ “ถ้างั้นเรื่องจริง?” ดวงตาของเขาเบิกโต “อื้ม” เซนพยักหน้า สีหน้าจริงจังจนโคลินต้องเชื่อ “ยังไงทูตสวรรค์กับยมทูตเงาต้องหาวิธีจัดการกับปีศาจได้อยู่แล้ว เราเป็นฝ่ายตรงข้ามกันนี่ ไม่แพ้ก็ต้องชนะ” “เซน ผมไม่เคยถามคุณสักครั้งเลย ถ้าวันไหนคุณแพ้ขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น” เขารู้คำตอบนั้นอยู่แก่ใจแต่อยากฟังจากปากคนที่คอยดูแลเขามาตลอด “สลาย” สีหน้าของเซนเรียบเฉย “หน้าที่ ความรับผิดชอบ และผลลัพธ์ของมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องห่วงผมมากเลยนี่ครับ” เขาเอ่ยปากบอกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาเช่นเดียวกัน หากตัวเขาเองพ่ายแพ้ในวันใดวันหนึ่ง “เฮ้อ!” เซนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหมือนจะหาเหตุผลมาให้เจ้าตัวเล็กอยู่ห่าง ๆ เรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย สมแล้วที่เลี้ยงดูมาเองกับมือ ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษตัวเองนี่แหละ นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด คล้อยหลังที่เซนและมาริอุสกลับไป ร่างสูงก็เดินเข้ามาหาเขา สีหน้าจริงจังและดวงตาสีเทาจ้องมองอีกฝ่ายไม่ให้หันหน้าหนีไปที่ใด “ผมรู้ว่าคุณมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณสลายไป คนมากมายจะต้องเสียใจแค่ไหน” “อื้ม” โคลินพยักหน้า แก้มร้อนผ่าวอยากหลบสายตามองไปทางอื่น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD