เทือกเขาจันทรา
“พรึ่บ!” ร่างเซียนของเหวินฉางเทียนจวินมาปรากฏอยู่ตรงหน้าพระพักตร์เทพเจ้าจันทราโดยพลัน
เทพเจ้าจันทราทอดพระเนตรร่างเซียนอันงดงามของเทียนจวินผู้เป็นใหญ่ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
“เจ้ากำเนิดมาจากดวงจันทรา ตราบใดที่จันทรายังคงอยู่เจ้าก็ต้องอยู่ค้ำฟ้าค้ำแผ่นดินมหาสมุทรไปเช่นนี้ตลอดกาลนาน เหนื่อยมามากแล้วจงหลับลึกเพื่อรักษาตบะให้กลับคืนมาเสียเถิด นอนอาบแสงจันทร์อยู่ในถ้ำจันทราแห่งนี้
เทพจันทรารับสั่งพร้อมร่ายเวทนำร่างเซียนของจอมเทพผู้เป็นใหญ่เก็บรักษาไว้ในถ้ำที่มีแสงจันทราสาดลงมาจากปล่องถ้ำ ให้ร่างเซียนได้อาบแสงจันทราอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้พระองค์หลับลึกและรักษาญาณตบะและฟื้นฟูให้พลังเวทกลับคืนมาดั่งเดิมหลังจากตื่นขึ้นมา
“เฟิ่งเหมี่ยนจงมาหาข้า!” เทพจันทรารับสั่งหาเทพศาสตราทางญาณทิพย์ขึ้นมาโดยพลัน
เพียงครู่เทพศาสตราปรากฏพระวรกายขึ้นภายในถ้ำที่ใช้เก็บรักษาร่างเซียนของเหวินฉางเทียนจวินทันใด ครั้นมหาเทพเฟิ่งเหมี่ยนได้ทอดพระเนตรพระสหายอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาที่โศกเศร้าเมื่อครู่ที่ผ่านมาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน
“เหวินฉาง! นี่เจ้ายังไม่ดับขันธ์ใช่ไหม! ใช่ไหมท่านผู้เฒ่าเยว่เทียน” ประโยคสุดท้ายหันกลับไปมีรับสั่งกับเทพบรรพกาลซึ่งเป็นพระสหายของพระองค์
เทพจันทราพยักพระพักตร์ขึ้นลงเป็นการยอมรับ
“เหวินฉางกำเนิดจากดวงจันทรา ไฉนเลยจะแตกดับได้เล่า ตราบใดจันทรายังคงอยู่การดับขันธ์ย่อมมิเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ตบะและพลังเวทสูญสิ้นไปทั้งหมด ท่าทางคงจะหลับลึกอาจจะมากกว่าหนึ่งแสนปีเสียแล้ว”
“หา! มากกว่าหนึ่งแสนปีเลยเหรอท่านผู้เฒ่า” เทพเฟิ่งเหมี่ยนตกพระทัยกับกาลเวลาที่พระสหายต้องหลับลึกยาวนานถึงเพียงนั้น
“คงเป็นเช่นนั้น! มิรู้ว่าจะยาวนานเพียงใดคงได้แต่รอเมื่อกาลเวลาพาดผ่านพ้นไป” เทพจันทรารับสั่งตอบกลับไป ก่อนจะได้ยินเทพเฟิ่งเหมี่ยนรับสั่งถามขึ้น ครั้นยังเห็นศิลาสวรรค์แยกออกจากกันอยู่เช่นนั้น
“ท่านผู้เฒ่า เหตุใดศิลาสวรรค์จึงยังแยกอยู่เช่นนั้น แล้วหยกจันทราสิ่งวิเศษของเทพบิดรอยู่ที่ใดกันเล่า หรือแตกสลายไปเสียสิ้นแล้วอย่างนั้นหรอกรึ”
เทพจันทราทอดพระเนตรตรงไปยังศิลาสวรรค์อยู่เพียงครู่ พระเนตรสีฟ้าครามที่ผ่านการสร้างสามโลกมานานนับหลายแสนปี ปิดลงโดยพลันเพื่อค้นหาหยกจันทราจากญาณตบะของพระองค์ ก่อนจะคลี่พระโอษฐ์แย้มยิ้มออกมาบางๆ พลางเปิดพระเนตรขึ้นมาอีกครั้ง
“หยกจันทรามิได้แตกสลายหายไปดั่งที่เจ้าคิดเอาไว้หรอก ทว่า น่าจะอยู่แห่งหนใดในสามโลกนี้สักแห่ง จะมีเพียงเหวินฉางเท่านั้นสามารถนำหยกจันทรากลับคืนสู่ศิลาสวรรค์ได้ดั่งเดิม เพราะผู้ที่เปิดผนึกหยกจันทราจะต้องมาปิดผนึกด้วยตัวเองเท่านั้น หามีผู้ใดกระทำแทนได้”
“ท่านว่ายังไงนะ มีเพียงเหวินฉางเท่านั้นที่จะนำหยกจันทรากลับคืนสวรรค์ได้อย่างนั้นเหรอ แล้วถ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่มีหยกจันทรา สิ่งวิเศษที่อยู่ค้ำสวรรค์มาโดยตลอดกลับหายไปเช่นนี้จะเป็นเช่นไรต่อไปเล่าท่านผู้เฒ่า จะมิวุ่นวายและเกิดเหตุเภทภัยขึ้นมาอีกอย่างนั้นหรอกรึ แค่นี้ข้าก็ปวดหัวจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ไม่รู้จะจัดการสิ่งใดก่อนหรือหลังดี” เทพศาสตรารับสั่งบ่นกระปอดกระแปด
“ไม่ต้องไปห่วงพะวงสิ่งใดทั้งนั้น หยกจันทราจะสำแดงเดชร้ายกาจก็ต่อเมื่อผู้มีตบะญาณขั้นเก้าเท่านั้นจึงจะล่วงรู้วิธีใช้ ไม่ว่าหยกจันทราจะอยู่ที่ใดหรือตกอยู่กับใครสิ่งที่ปรากฏก็แค่หยกธรรมดาดีๆ นี่เอง ยกเว้นเสียแต่ว่า...” เทพจันทรารับสั่งออกมาเพียงแค่นั้นก็หยุดเสียดื้อๆ
“เอ้า! หยุดทำไมท่านผู้เฒ่า ข้ากำลังตั้งใจฟัง” เทพศาสตรารับสั่งอย่างขัดใจ
เทพบรรพกาลปรายสายพระเนตรไปยังเทพเจ้าหนุ่มหน้ามนที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นเทียนจวินองค์ต่อไปเพียงครู่
“เรื่องอะไรจะบอก ลิขิตสวรรค์ข้าล่วงรู้เพียงผู้เดียวก็พอแล้ว... เจ้าเองก็จงเตรียมตัวรับตำแหน่งใหม่เสียเถอะปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ได้ ดินแดนซือไฮ่ปาฮวงและสามโลกจะไร้สิ้นผู้ปกครองได้อย่างไรกัน” รับสั่งพร้อมพระสรวลออกมาเบาๆ ก่อนจะร่ายเวทแหวกอากาศเลือนหายไปทันที
“ท่านผู้เฒ่าเยว่เทียน! ทำแบบนี้ได้ยังไง! ล่วงรู้สิ่งใดแทนที่จะเล่าสู่กันฟัง เก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันเล่า!” เทพศาสตราได้แต่ทรงยืนฮึดฮัดอย่างขัดพระทัยเป็นยิ่งนัก เมื่อสิ่งที่ควรล่วงรู้กลับมิได้รู้ไปโดยปริยาย ครั้นคิดถึงพระองค์เองว่าจากนี้ต่อไปต้องมารับตำแหน่งเทียนจวินสืบต่อจากพระสหาย ยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม
เทพศาสตราทอดพระเนตรไปยังร่างเซียนของพระสหาย พลางส่ายพระพักตร์ไปมาติดๆ กัน
“วันใดที่เจ้าตื่นขึ้นมา... ข้าจะเป็นคนแรกที่จะอัดเจ้าให้น่วมเลยเคยดูสิเหวินฉาง! เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก โทษฐานทิ้งตำแหน่งบ้าบออะไรแบบนี้ให้ข้าทำ ทั้งๆ ที่ข้าไม่อยากที่จะได้มันสักนิด คอยดูเถอะ”
เทพเฟิ่งเหมี่ยนรับสั่งบ่นกระปอดกระแปดเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว ก่อนจะร่ายเวทเร้นพระวรกายหายไปจากสถานที่เก็บรักษาร่างเซียนของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ เฝ้ารอคอยกาลเวลาเพื่อให้พระองค์ทรงตื่นจากการหลับใหลขึ้นมาอีกครั้ง มิรู้ว่าพระองค์จะอยู่ในห้วงนิทราอันยาวนานนี้สักเพียงใด ผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนานกี่หมื่นปีก็ยากหยั่งรู้ได้ หรือจะต้องตกอยู่ในห้วงหลับใหลนานนับแสนปีหรือมากกว่านั้นหรือไร หรือจะเป็นด้วยสวรรค์จงใจลิขิตให้พระองค์อยู่ในห้วงนิทราอันยาวนานจนกว่าจะถึงวันที่เฝ้ารอคอย
เก้าหมื่นปีผ่านไป
เทือกเขาหัวซาน
กาลเวลาผ่านพ้นไปจากวันเป็นคืนจากเดือนเป็นปี จากปีก้าวสู่ร้อยปี หนึ่งพันปี และข้ามหมื่นปี จนเก้าหมื่นปีผ่านไปดินแดนแห่งสวรรค์ผ่านระยะเวลาอันยาวนาน หนึ่งวันของสวรรค์เบื้องบนเท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ เก้าหมื่นปีของสวรรค์เท่ากับหลายแสนปีของเมืองมนุษย์
ในยามนี้โลกมนุษย์เบื้องล่างเจริญเติบโตตามอารยธรรมที่ถูกสร้างขึ้น แผ่นดินโบราณถือกำเนิดกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่และเริ่มปกครองตนเอง มีสังคมหลากหลายแยกย้ายปกครองตามเขตแดนที่ตนถือครองและเริ่มมีการปกครองแบบชนเผ่า จากเผ่าขยายเป็นชุมชนใหญ่กลายเป็นระบบกษัตริย์ปกครองตามแคว้นของตนที่เข้าครอบครอง
หิมะโปรยปรายจนทั่ว ทั้งเทือกเขาเต็มไปด้วยสีขาวโพลน อากาศหนาวเหน็บเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยไอเย็นแผ่ไปทั่วทั้งเทือกเขาสูง เบื้องล่างปรากฏกองทหารองครักษ์กำลังอารักขากั๋วฮองเฮาจากแคว้นเจียงกำลังเดินทางผ่านเทือกเขาหัวซาน ซึ่งเป็นเทือกเขาสูงเสียดฟ้า มีอันตรายอย่างยิ่งยวดประกอบไปด้วยเทือกเขาเกาะกลุ่มเดียวกันในเขตเทือกเขาหัวซาน รวมถึงห้าเทือกเขาด้วยกัน
และจุดที่กั๋วฮองเฮาใช้เป็นเส้นทางหลบหนีไปแคว้นหลงอัน จัดได้ว่าเป็นเส้นทางสุดโหดและมีอันตรายรอบด้าน มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี มีแต่ฤดูเหมันต์เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ทหารจากแคว้นจ้าวติดตามได้ทัน พระนางกำลังหนีตายอย่างสุดชีวิตด้วยแคว้นเจียงถูกแคว้นจ้าวบุกยึดดินแดน เจียงเฉียงฮ่องเต้ออกรบป้องกันแคว้นจนสวรรคตกลางสนามรบ
แคว้นเจียงถูกตีแตกและบุกยึดดินแดน กั๋วฮองเฮาซึ่งกำลังทรงพระครรภ์ใกล้มีพระประสูติกาลได้หลบหนีออกจากพระราชวังหลวงตามพระบัญชาของพระสวามีเพื่อรักษาพระโลหิตของแคว้นเจียงเอาไว้ พระนางยังทรงจดจำถ้อยรับสั่งของพระราชสวามีได้เป็นอย่างดี
ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย เมื่อกองทัพของแคว้นเจียงถูกตีแตก กองทัพจากแคว้นจ้าวบุกเข้าเมืองหลวงไล่เข่นฆ่าประชาชน เหล่าทหาร รวมไปถึงชาวบ้าน ชายฉกรรจ์ต่างพากันจับดาบเพื่อปกป้องแคว้นของตนให้จนถึงที่สุด ภายในพระราชวังหลวงขณะนี้เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย เชื้อพระวงศ์ต่างวิ่งหนีตายหลบหนีออกจากวังหลวงอย่างหัวซุกหัวซุนเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันฮ่องเต้เจียงเฉียงมีพระบัญชาให้ราชองครักษ์ประจำพระองค์จำนวนห้านายคอยถวายอารักขากั๋วฮองเฮานำพระนางหลบหนีออกจากวังหลวง มุ่งหน้าไปยังแคว้นหลงอัน ซึ่งพระขนิษฐาของพระองค์ทรงดำรงยศเป็นฮองเฮาอยู่ในขณะนี้ อย่างน้อยกั๋วฮองเฮาและพระโอรสหรือพระธิดาที่ใกล้จะประสูติก็จะปลอดภัยจากเหตุการณ์ล่มสลายของแคว้นเจียงในครั้งนี้ พระขนิษฐาของพระองค์ซึ่งมีศักดิ์สูงในตำแหน่งแม่ของแผ่นดิน ณ แคว้นหลงอัน จะปกป้องกั๋วฮองเฮาและพระโอรสหรือพระธิดาของพระองค์ได้
รับสั่งสุดท้ายก่อนจากลาทำให้ดวงหน้างามหลั่งรินน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“หากแม้นข้าต้องรบจนตัวตายกลางสนามรบ และแคว้นต้องถูกยึดครอง ขอเจ้าจงจดจำให้ดี รักษาเลือดเนื้อของราชวงศ์เจียงให้จนถึงที่สุด และบอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันไป หากแม้นมีโอกาสจงกอบกู้ดินแดนของแคว้นเจียงกลับคืนมาให้จงได้! รับปากกับข้าสิซีซวน” ฮ่องเต้หนุ่มขอสัตย์สัญญาจากผู้เป็นทั้งดวงใจของพระองค์
“แปะ!” หยาดน้ำตาร่วงหล่นถูกพระหัตถ์หนาด้วยความรักและอาลัยพระสวามีอย่างยิ่งยวด นับจากนี้ต่อไปจะได้เห็นหน้ากันอีกหรือไม่ก็มิอาจล่วงรู้ได้
กั๋วฮองเฮาพยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กันพร้อมมีรับสั่งตอบกลับไป
“หม่อมฉันให้สัญญาเพคะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สายพระโลหิตของพระองค์ที่กำลังอยู่ในครรภ์ของหม่อมฉันจะต้องรอดและปลอดภัยอย่างแน่นอน ภายภาคหน้าแคว้นเจียงจะต้องกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” พระนางให้สัตย์สัญญากับพระสวามีก่อนจะถูกพระองค์ดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“หากชาติหน้ามีจริงขอเราสองได้กลับมาครองคู่กันอีก ชาตินี้ข้าขอล่วงหน้าไปรอเจ้าก่อน จงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลลูกของข้าและเจ้าให้ดี” เจียงเฉียงฮ่องเต้รับสั่งพร้อมประทับจุมพิตลงบนหน้าผากมน ท่ามกลางหยาดน้ำตาของอีกฝ่าย
ก่อนจะผลักร่างอวบอิ่มไปให้ราชองครักษ์ที่รอรับพระบัญชาพาหลบหนีออกจากพระราชวัง
“รีบพาฮองเฮาออกไป! อย่าได้หันกลับมาอีก!” รับสั่งพร้อมทอดพระเนตร ไปที่ฮองเฮาของพระองค์
ฮ่องเต้หนุ่มตัดพระทัยหันหลังกลับจับดาบคู่พระวรกายวิ่งออกไปจากพระตำหนัก เสด็จขึ้นประทับบนหลังม้าควบออกจากตัวพระราชวัง นำกองทหารออกป้องกันเมืองหลวง ท่ามกลางสุรเสียงร้องเรียกของกั๋วฮองเฮา
“ฝ่าบาท!!!” พระนางร้องเรียกพระสวามีจนสุดพระสุรเสียง หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่ายี่สิบวันแล้วที่ราชองครักษ์นำเสด็จพระนางหลบหนีออกจากพระราชวังหลวง พ้นเทือกเขาหัวซานก็จะเข้าสู่แคว้นหลงอัน ทว่า ดูเหมือนว่ากั๋วฮองเฮาจะเสด็จไปต่อไม่ไหวเสียแล้ว พระนางทรุดพระวรกายประทับลงริมแม่น้ำที่บัดนี้มีแต่น้ำแข็ง ดวงจันทราลอยเด่นอยู่บนเหนือฟากฟ้านภากว้าง ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มเปิดหมอกหนาที่ลงจัดมาตลอดกว่ายี่สิบวัน และหิมะโปรยปรายมลายหายไปในค่ำคืนนี้
“ข้าไปไม่ไหวแล้ว! รู้สึกเจ็บท้องเสียนี่กระไร” พระนางรับสั่งหอบโยน พระพักตร์ขาวซีดด้วยเพราะทรงเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบวันที่ผ่านมา
“ทรงหยุดพักก่อนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ พระพักตร์ทรงซีดเซียวเสียเหลือเกิน” หนึ่งในราชองครักษ์กราบทูลพร้อมรีบจัดหาที่ประทับให้แก่กั๋วฮองเฮาอย่างเร่งด่วน
ทั่วบริเวณคือแม่น้ำไหลพาดผ่านเทือกเขา หากแต่บัดนี้กลับกลายเป็นน้ำแข็งจนหมดสิ้น มีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่พอจะใช้พักพิงได้ ลมหายใจหรือแม้แต่การเอ่ยถ้อยเจรจามีแต่ไอเย็นยะเยือกออกจากปากอยู่ตลอดเวลา อาการเจ็บพระครรภ์เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น พระพักตร์เริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดจนสุดจะฝืนได้อีกต่อไป
“ข้าเจ็บท้อง! สงสัยข้าจะคลอดแล้ว” พระนางรับสั่งกับเหล่าราชองครักษ์
และนั่นทำให้ราชองครักษ์ทั้งห้าถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อล่วงรู้ว่าฮองเฮาของตนเกิดมีพระอาการเจ็บพระครรภ์และกำลังจะมีพระประสูติกาล
“ทะ... ทำยังไงดี! พระนางทรงเจ็บพระครรภ์แล้ว นี่คงจะต้องมีพระประสูติกาลเป็นแน่แท้... ช่วยกันคิดสิ... ช่วยกันคิด” เหล่าราชองครักษ์ต่างหันกลับมาปรึกษาหารือเป็นการใหญ่
ทันใดนั้นเอง
“ครืนนนน!!!” เสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นมาจากเทือกเขาดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ทุกชีวิตพากันแหงนหน้ามองเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมจนขาวโพลน ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเทือกเขาสูงเสียดฟ้ากำลังปรากฏภัยทางธรรมชาติบางอย่างเกิดขึ้น
“หิมะถล่ม! หนีเร็ว!!!” เหล่าราชองครักษ์ต่างรีบวิ่งเข้าอารักขากั๋วฮองเฮาเป็นการด่วน
ร่างอวบอิ่มซึ่งกำลังเจ็บท้องอย่างหนักแทบจะลุกขึ้นยืนไม่ไหว ทันทีที่ราชองครักษ์วิ่งเข้ามาอุ้มพระนางเพื่อหนีหิมะกำลังถล่มลงมา พระนางก็มีพระประสูติกาลออกมาทันที
“พรืดดด!!! อุแว้! อุแว้! อุแว้!” ทารกแรกเกิดหลุดออกจากพระครรภ์ทันทีที่ทรงพยายามลุกยืน
พระนางทรุดพระวรกายรองรับทารกน้อยเอาไว้ได้ทันท่วงที ก่อนจะแย้มพระโอษฐ์กว้างเมื่อทรงทอดพระเนตรพบว่าพระนางประสูติพระราชธิดา พระพักตร์แหงนขึ้นทอดพระเนตรแผ่นฟ้าเบื้องบน ดวงจันทราลอยเด่นกลมโตสวยงามอย่างยิ่งยวด พระโอษฐ์คลี่ยิ้มกว้างพร้อมทรงมีรับสั่ง
“เจ้าเกิดในวันที่พระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ แม่ให้เจ้ามีชื่อว่าอิ้งเยว่ เจียงอิ้งเยว่ ลูกรักของแม่!” พระนางรับสั่งพร้อมรีบช้อนพระราชธิดาเอาไว้ในอ้อมพระกรทันที
เหล่าราชองครักษ์ครั้นเมื่อเห็นฮองเฮามีพระประสูติกาลอย่างไม่คาดฝัน ต่างรีบช่วยกันคนละไม้คนละมือตัดสายรกที่ยังคงติดอยู่ออกจากกันทันที พร้อมรีบนำผ้าที่เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วสำหรับพระโอรสหรือพระธิดารีบห่อพระวรกายอย่างรวดเร็ว
“ครืนนนน!!!” เทือกเขาหัวซานสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปหมด หิมะเริ่มพังถล่มลงมาจากยอดเขาลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยมิทันได้ตั้งตัว
“วิ่ง!!!” เสียงของหัวหน้าราชองครักษ์ร้องตะโกนกึกก้อง ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันวิ่งหนีตายจนสุดชีวิต
กั๋วฮองเฮาถูกช้อนพระวรกายขึ้นมาจากพื้นทันที ในขณะที่พระราชธิดาน้อยทรงอยู่ในอ้อมแขนของราชองครักษ์อีกผู้หนึ่ง ส่วนที่เหลือวิ่งรั้งท้ายเพื่อคอยระวังความปลอดภัย ทว่าต่อให้วิ่งเร็วเพียงใดก็มิอาจต้านทานความแรงและกระแสคลื่นหิมะที่พังถล่มจากยอดเขาหัวซานนี้ได้
ทันใดนั้นเองประกายแสงสว่างเรืองรองพลันสาดแสงไปทั่ว เมื่อหยกจันทราที่ตกจากสรวงสวรรค์ลงมาอยู่บนยอดเขาหัวซานนานนับหลายแสนปี บัดนี้ด้วยแรงถล่มของหิมะทำให้หินผาบนเทือกเขาพังถล่มลงมา จนหยกจันทราสิ่งวิเศษจากสรวงสวรรค์กระเด็นหลุดลอยเคว้งคว้างมาตามกระแสหิมะดังกล่าว
หยกจันทราลอยคว้างกลางอากาศกระแทกเข้าไปในร่างของพระราชธิดาองค์น้อยที่เพิ่งประสูติออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ด้วยชีวิตที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่ หยกจันทราลอยละลิ่วหายลับไปในร่างของพระราชธิดาตัวน้อยสถิตอยู่ตรงหัวใจเข้าให้พอดิบพอดี จะด้วยเหตุบังเอิญหรือสวรรค์ลิขิตก็มิอาจล่วงรู้ได้ จังหวะเดียวกับที่คลื่นหิมะลูกมหึมาถาโถมลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะกลบทุกชีวิตที่กำลังวิ่งหนีตายอย่างสุดความสามารถจนถูกกลืนหายไปใต้หิมะอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่หยกจันทราซ่อนเร้นเข้าไปในพระวรกายของพระราชธิดาจากแคว้นเจียงที่เพิ่งล่มสลายไป ลำแสงสีเงินยวงพวยพุ่งออกจากร่างทารกที่เพิ่งเกิดใหม่สู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า จนตกกระทบถึงเทือกเขาจันทรา สาดแสงลงปล่องถ้ำอันเป็นห้องที่ประทับร่างเซียนของเหวินฉางเทียนจวิน ก่อนจะสาดแสงตกกระทบไปที่ร่างเซียนของจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่ จนพระองค์ทรงตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานขึ้นมาโดยพลันหลังจากที่หลับลึกไปนานกว่าเก้าหมื่นปี
ในขณะเดียวกันปรากฏการณ์อันเหนือความคาดหมาย ทำให้พระเนตรที่ปิดสนิทของเทพเจ้าจันทราซึ่งกำลังเข้าญาณตบะอยู่ในขณะนั้นพลันเปิดขึ้นมาทันใด พระเนตรสีฟ้าครามทอดพระเนตรลำแสงสีเงินยวงที่ยังคงสาดแสงอยู่โลกมนุษย์เบื้องล่างจนถึงดินแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเบื้องบน ก่อนจะคลี่พระโอษฐ์แย้มยิ้มออกมาบางๆ
“สวรรค์ลิขิตหลีกหนีอย่างไรก็ไม่พ้น” เทพจันทรารับสั่งพร้อมเลือนหายไปทันทีจากตำหนักที่ประทับ ก่อนจะมาปรากฏพระวรกายภายในถ้ำอันเป็นที่ประทับร่างเซียนของเหวินฉางเทียนจวิน
“ตื่นแล้วรึ!” เทพจันทราถามกลับไปทันที ครั้นเห็นจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นประทับนั่งด้วยท่าทีสับสนอยู่มิใช่น้อย หากแต่ยังมิทันกล่าวสิ่งใด เทพศาสตราพลันปรากฏพระวรกายขึ้นมาโดยพลัน
“เหวินฉาง! นี่เจ้าตื่นจากการหลับใหลแล้วอย่างนั้นหรอกรึ นี่เพียงแค่เก้าหมื่นปีเท่านั้น เจ้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว ดีเสียนี่กระไร ข้าไม่ต้องรอจนครบแสนปี หรือมากกว่านั้นตามที่ท่านผู้เฒ่าเคยกล่าวเอาไว้”
ถ้อยรับสั่งของเทพศาสตราทำเอาเหวินฉางเทียนจวินนิ่งงันไปชั่วขณะจิตด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด
“นี่ข้ายังไม่ดับขันธ์อย่างนั้นหรอกรึ แล้วนี่หลับใหลไปเพียงแค่เก้าหมื่นปีก็ตื่น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า” รับสั่งพึมพำก่อนจะเงยพระพักตร์ทอดสายพระเนตรไปยังเทพเจ้าจันทรา ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพบรรพกาลเช่นเดียวกับพระองค์
“เย่วเทียนอธิบายให้ข้าได้ล่วงรู้อย่างกระจ่างได้หรือไม่” รับสั่งถามเทพเจ้าจันทราทันที
“จริงด้วย! ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ท่านยังค้างคำตอบกับข้าตั้งแต่เก้าหมื่นปีที่แล้วนะ วันนี้ข้าจะต้องล่วงรู้ให้ได้ทั้งหมดเช่นกัน” เทพศาสตรารับสั่งทวงถามสิ่งที่ยังข้องใจออกมาทันที
“จะสงสัยไปไย ลิขิตสวรรค์ชักพาให้บังเกิด ข้าก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเหวินฉางจะตื่นตอนไหน ก็แค่บอกว่ามิรู้จะหลับลึกยาวนานเท่าใด จริงหรือไม่ เจ้าต่างหากเล่าที่คิดเองเออเองแต่เพียงผู้เดียว” เทพจันทรารับสั่งตอบแบบไม่รู้ไม่ชี้
“โอ้โห ท่านผู้เฒ่า! ให้คำตอบกันแบบนี้รึ” เทพศาสตรารับสั่งอย่างขัดพระทัย
“อือฮึ! แล้วจะทำไมรึ!” รับสั่งตอบกลับไปหน้าตาเฉย
“ฮึ่มมม! ท่าน!!!” เทพศาสตราได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหันกลับมามีรับสั่งกับพระสหายสนิท
“ท่านตื่นขึ้นมาก็ดีแล้วเหวินฉาง ข้าจะได้หมดภาระแบกหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้เสียที แต่บอกเอาไว้ก่อนว่าข้าไม่ได้เข้าพิธีรับตำแหน่งเทียนจวินสืบต่อจากท่านหรอกนะ แค่รักษาการณ์ช่วยกันกับท่านผู้เฒ่าเยว่เทียนแห่งเทือกเขาจันทรา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์เคยปกครองเป็นเทียนจวินพระองค์แรก รอให้ท่านกลับมาปกครองต่อไป คราวนี้ข้าก็จะได้มีเวลาไปไหนมาไหนเสียที” เทพศาสตรารับสั่งไม่หยุดตั้งแต่เสด็จมา
จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่นิ่งฟังพระสหายสนิทที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในขณะนั้น พระพักตร์หล่อเหลายังคงเรียบเฉยอยู่เช่นเดิม มีเพียงรอยแย้มเยือนปรากฏขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พระองค์ส่ายพระเศียรไปมากับความช่างเจรจาของพระสหายที่ยังมิแปรเปลี่ยน ก่อนจะทอดสายพระเนตรไปทางเทพจันทราพร้อมมีรับสั่งขึ้น
“เยว่เทียน เหตุใดข้าจึงมิได้ดับขันธ์ตั้งแต่ศึกคางค่าย แต่กลับเข้าสู่ห้วงนิทราและยังหลับลึกเพียงแค่เก้าหมื่นปีเท่านั้นเป็นเพราะเหตุใดกระนั้นรึ” รับสั่งถามกลับไปด้วยความใคร่รู้
พระโอษฐ์แย้มยิ้มพริ้มพราย พระเนตรสีฟ้าครามหรี่ลงพลางทอด พระเนตรเทียนจวินผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลมาอย่างยาวนาน
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าถือกำเนิดมาจากดวงจันทร์ เฉกเช่นเดียวกับข้าอย่างไรเล่า ตราบใดที่จันทรายังคงอยู่คู่กับสามโลกหล้า ตราบนั้นเจ้าและข้ายังคงอยู่ค้ำฟ้าเป็นแม่นมั่น แตกต่างจากทวยเทพองค์อื่นๆ ที่จุติในครรภ์ทิพย์ หากเป็นการอวตารเฉกเช่นเดียวกับข้าและเจ้าแล้วไซร้ การดับขันธ์จึงมิบังเกิด หากจะต้องดับขันธ์จริงๆ นั้นหมายถึงจันทราถึงกาลแตกดับนั่นเอง”
พระพักตร์หล่อเหลาโฉมสลักตราตรึงพยักขึ้นลงเมื่อทรงเข้าพระทัยในถ้อยรับสั่งของเทพจันทรา
“และเหตุใดข้าจึงตื่นจากการหลับลึกก่อนเวลาอันควร” รับสั่งถามกลับไปในสิ่งที่ยังค้างคาพระทัย
พระวรกายสูงสง่าของเทพจันทราค่อยๆ หันหลังกลับพระดำเนินออกไปจากโพรงถ้ำดังกล่าวทันที
“ตามข้ามา!” รับสั่งเพียงสั้นๆ