ตอนที่ 5 ตื่นจากการหลับใหล 2

3841 Words
ความเดิมจากตอนที่แล้ว เหวินฉางเทียนจวินทรงลุกยืนจากแผ่นหินทันที ทรงพระดำเนินตามหลังไปติดๆ โดยมีเทพศาสตราเฟิ่งเหมี่ยนเสด็จพระดำเนินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ครั้นเสด็จมาถึงแกนลึกของเทือกเขาซึ่งศิลาสวรรค์ตั้งอยู่นั้น แสงสีเงินยวงยังคงสาดแสงอยู่เช่นเดิมยังมิดับสิ้นไปแม้แต่น้อย ครั้นองค์เทียนจวินทอดพระเนตรศิลาสวรรค์ที่แยกออกจากกันมิได้ปิดผนึกเอาไว้ ทรงล่วงรู้โดยพลันว่าหยกจันทรานั้นมิได้สถิตอยู่ภายใน “หยกจันทราหายไปกระนั้นรึ!” รับสั่งถามกลับไปทันทีก่อนจะได้ยินเทพศาสตรารับสั่งแทรกขึ้น “หยกจันทราหายไปในวันที่ทั่วทั้งสวรรค์และผืนพิภพเข้าใจว่าท่านดับขันธ์ไปแล้ว พอคางค่ายดวงจิตแตกดับท่านและหยกจันทราก็เลือนหายไปทันทีต่อหน้าทัพสวรรค์เป็นเรือนแสน” เหวินฉางเทียนจวินทอดพระเนตรศิลาสวรรค์เขม็ง เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “หยกจันทราหายสาบสูญไปหลังจากที่ข้าเข้าสู่ห้วงหลับใหล แล้วไปตกอยู่ที่ภพใดกันเล่าในหกภพนี้” รับสั่งรำพึง “ภพมนุษย์!” เทพจันทรารับสั่งแทรกขึ้นมาทันที “ภพมนุษย์อย่างนั้นรึ!” จอมเทพรับสั่งทวนประโยค เทพจันทราพยักพระพักตร์ขึ้นลงเป็นสัญญาณตอบรับแทนถ้อยรับสั่ง ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของเทพศาสตราดังแทรกขึ้นมาโดยพลัน “หยกจันทราเข้าใจเลือกที่ตกเสียด้วย ภพมนุษย์มีสีสันจะตาย ข้ายังอยากแอบไปยืดเส้นยืดสายเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ทำงานแทนท่านจนหลังขดหลังแข็งจะตายอยู่แล้ว ไม่เป็นไร! เรื่องตามหาหยกจันทราไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ท่านจะได้กลับวังเมฆาไปนั่งตำแหน่งเทียนจวินปกครองสวรรค์ต่อไป” เทพศาสตรารับสั่งอาสาอย่างกระตือรือร้น ทว่าสุรเสียงของเทพเจ้าจันทราดังแทรกขึ้นมาทันที “มีเพียงเหวินฉางเท่านั้นที่จะตามหยกจันทรากลับคืนมาได้ ต่อให้เจ้าลงไปหรือเทพองค์ใดลงไปก็มิสามารถค้นหาหยกจันทราพบแม้แต่น้อย อย่าลืมสิว่าหยกนั่นเป็นสิ่งวิเศษที่เทพบิดรทรงสร้างขึ้นประทานให้แก่ภพสวรรค์ ผู้ใดเปิดผนึกศิลาสวรรค์เพื่อนำไปใช้ ผู้นั้นจะต้องนำกลับมาคืนด้วยตนเองและทำการปิดผนึกดั่งเดิม” เหวินฉางเทียนจวินเข้าพระทัยโดยพลันเมื่อทรงได้ยินรับสั่งเทพจันทราเช่นนั้น “นั่นเป็นสิ่งที่จะต้องทำและความรับผิดชอบโดยตรงของข้าที่จะตามหาหยกจันทราของเทพบิดรกลับคืนสู่สวรรค์ แต่ท่านให้ข้ามาดูสิ่งนี้เพราะนี่คือสาเหตุทำให้ตื่นจากการหลับลึกก่อนกำหนดอย่างนั้นรึ” รับสั่งอย่างสงสัย “มิใช่!” เทพจันทรารับสั่งตอบกลับไปทันที “แล้วเพราะเหตุใดกันเล่า!” องค์เทียนจวินถามกลับไปทันที พระพักตร์หล่อเหลาคลี่พระโอษฐ์ยิ้มบางๆ พลางมีรับสั่งกลับไป “บัดนี้หยกจันทราตกอยู่ในความครอบครองของมนุษย์ผู้หนึ่ง และมนุษย์ผู้นั้นเป็นต้นเหตุทำให้เจ้าตื่นจากการหลับลึกมานานกว่าเก้าหมื่นปี ลำแสงนี้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ผู้นั้นมีวาสนาต่อกันกับเจ้า จึงเป็นสาเหตุทำให้ตื่นจากการหลับลึกก่อนเวลาอันควร” ถ้อยรับสั่งของเทพจันทราทำให้เหวินฉางเทียนจวินทรงยืนนิ่งฟังอย่างครุ่นคิด “ข้ากับมนุษย์ผู้นั้นมีวาสนาต่อกันถึงเพียงนี้เชียวรึ จึงเป็นสาเหตุทำให้ตื่นจากการหลับลึกอันยาวนานได้” พระองค์รำพึงออกมา “หากแม้นมิมีวาสนาต่อกันแล้วไซร้ เหตุใดเจ้าจึงตื่นขึ้นมาได้เล่า จริงไหม” เทพจันทราผู้หล่อเหลาย้ำลึกอย่างชัดเจนและชัดถ้อยชัดคำ เทพเฟิ่งเหมี่ยนซึ่งยืนฟังอยู่นานแล้วอดไม่ได้ที่จะมีถ้อยรับสั่งแทรกขึ้นมา “หรือว่ามนุษย์ผู้นั้นคือคู่วาสนาบุพเพของเหวินฉางกระนั้นหรอกรึ! แต่ศิลาสวรรค์หามีรายชื่อบุพเพเกิดขึ้นจะเป็นไปได้อย่างไรกันท่านผู้เฒ่า” “เป็นไปได้อย่างไรหรือเป็นไปไม่ได้อย่างไร วาสนาก็ก่อเกิดแล้ว หากแต่จะเป็นชายหรือหญิงใช่ว่าสำคัญ เพราะมีวาสนาต่อกันให้พานพบเป็นไปได้ทั้งอิสตรีและบุรุษ มิได้หมายถึงคู่บุพเพสันนิวาสเสมอไปเสียเมื่อไรกันเล่า จริงหรือไม่” “เออ… ก็จริงดั่งเช่นท่านผู้เฒ่ากล่าว” เทพศาสตรารับสั่งพึมพำ ในขณะที่เหวินฉางเทียนจวินยังทรงยืนเคร่งขรึม มิได้แสดงความเห็นใดๆ ออกมา ด้วยเพราะทรงครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในพระทัย “ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงไปในโลกมนุษย์เพื่อนำหยกจันทรากลับคืนสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า” จอมเทพรับสั่งในสิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยออกไป “ไปด้วย!” เทพศาสตรารับสั่งแทรกขึ้นมาทันที เทพจันทรายกพระหัตถ์ตบลงบนพระอังสะของเทพศาสตราโดยพลัน “เจ้าไม่ต้องตามลงไปหรอกเฟิ่งเหมี่ยน ทิ้งหน้าที่รักษาการณ์เทียนจวินไปได้อย่างไร ลืมไปแล้วรึว่ามีหน้าที่ใดกระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อายุก็หลายแสนปีแล้วยังทำตนเป็นหนุ่มเจ้าสำราญอยู่ร่ำไปสินะ” “โอ้โห! ท่านผู้เฒ่าไยจึงกล่าวเช่นนี้ ข้าเพิ่งจะมีอายุเพียงแค่สองแสนห้าหมื่นปี อ่อนกว่าท่านทั้งสองตั้งเยอะ” เทพศาสตรารับสั่งโวยวาย “แล้วไม่แก่รึ!” ทั้งเหวินฉางเทียนจวินและมหาเทพเยว่เทียนต่างมีรับสั่งขึ้นมาพร้อมกัน “แก่ที่ไหน! ถ้าเทียบเป็นอายุมนุษย์ ข้าก็แค่เพิ่งจะห้าสิบห้าเท่านั้น เทียบกับท่านแล้วเหวินฉางถ้านับรวมระยะเวลาที่ท่านหลับใหลไปถึงเก้าหมื่นปี ท่านจะอาวุโสที่สุดในหมู่เทพทั้งมวลหากไม่นับท่านผู้เฒ่าจันทรา เพราะเท่ากับว่าท่านมีอายุถึงสามแสนหนึ่งหมื่นปีเข้าไปแล้ว ก็เท่ากับมนุษย์อายุสักประมาณหกสิบห้าปี ส่วนท่านผู้เฒ่าจันทราน่ะรึ!” เทพศาสตรารับสั่งเพียงเท่านั้นก็ทรงหยุดเมื่อเทพจันทราปรายสายพระเนตรมาทางพระองค์ “ข้าเป็นหนึ่งในเทพบรรพกาลที่อวตารมาเกิดเฉกเช่นเดียวกับเหวินฉาง ช่วงที่ข้าและเหวินฉางอวตารลงมานั้นเจ้าและเหล่าเทพน้อยใหญ่ยังอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่า นั่นหมายถึงลำดับอาวุโสข้ามีมากอยู่แล้ว อยากแก่เท่าเทียมกับข้าอย่างนั้นรึ อยากได้ก็เอาไปสิข้ายกให้แค่สามแสนเก้าหมื่นปีเอง เทียบกับอายุมนุษย์ก็ดั่งเช่นบุรุษวัยเจ็ดสิบห้า แต่ถึงแม้ว่าข้าจะแก่แต่ก็หล่อเหลางดงามอยู่เสมอด้วยญาณตบะแก่กล้า หรือว่าจะเถียง” เทพจันทรารับสั่งชมพระองค์เองหน้าตาเฉย เทพศาสตราหมดคำจะเถียง ด้วยมิอาจใช้ถ้อยคำเถียงสู้เทพบรรพกาลพระองค์นี้ได้เลย เพราะถึงแม้ว่าอยากจะเถียงใจแทบขาดเพียงใดก็ไม่สามารถเถียงสู้ได้อยู่ดี ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของเทพจันทรารับสั่งขึ้นอีกครั้ง “แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรลงไปจุติในโลกมนุษย์จะดีกว่า เพราะพลังบำเพ็ญของเจ้าในขณะนี้กลับมาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ยังไม่ถึงครึ่งเลย เหตุเพราะตื่นจากหลับลึกก่อนเวลาอันควร จึงไม่ได้มีพลังบำเพ็ญเปี่ยมล้นดั่งเก่าก่อน การลงไปจุติในโลกมนุษย์ทำให้ฟื้นฟูพลังบำเพ็ญได้เร็วกว่าการหลับลึกยาวนานนับหลายหมื่นปีเป็นยิ่งนัก ภพมนุษย์มีทั้งความสุขและความทุกข์นานาประการ ยิ่งต้องพบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัสมากเพียงใด พลังบำเพ็ญของเจ้าก็จะยิ่งเต็มเปี่ยมด้วยญาณตบะแก่กล้าเสียนี่กระไร” ถ้อยรับสั่งของเทพเจ้าจันทราทำให้พระพักตร์งามหมดจดพยักขึ้นลงติดๆ กัน ด้วยทรงเห็นด้วยกับความคิดเห็นดังกล่าวของเทพเย่วเทียน “เช่นนั้นก็ดี ข้ายังไม่เคยลงไปจุติบนโลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญเพียรเลยสักครา เพราะเกิดมาก็มีญาณตบะและวิชาเวทมาตั้งแต่ถือกำเนิดแล้ว ลงไปเกิดครานี้นับเป็นประสบการณ์ที่หายากแก่ข้ายิ่งนัก” เหวินฉางเทียนจวินรับสั่งเห็นด้วยก่อนจะได้ยินเสียงของเทพศาสตรารับสั่งขึ้น “ท่านจะลงไปจุติที่ใดกันเล่า จึงจะได้รับความสุขและได้รับความลำบากและความทุกข์ให้แก่ตนเองได้อย่างแสนสาหัส จนสามารถฟื้นฟูพลังบำเพ็ญภายในระยะเวลาอันรวดเร็วได้” เทพศาสตรารับสั่งถามด้วยความอยากรู้ ครั้นเทพจันทราทรงได้ยินเช่นนั้นพระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อทรงล่วงรู้แล้วว่าจะจัดการอย่างไรต่อไปดี “ตอนนี้หามีผู้ใดล่วงรู้ว่าเหวินฉางตื่นจากการหลับใหล ดังนั้นก็ขอให้รู้เพียงเท่านี้เถิด บรรดาหมู่มารหลังจากถูกล้างเผ่าพันธุ์ไปเมื่อเก้าหมื่นปีก่อน ยังไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ หมดห่วงไปเปลาะหนึ่ง แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ ดังนั้นทำทุกอย่างให้เป็นปกติดั่งเดิม การลงไปจุติในโลกมนุษย์ครั้งนี้ของเทียนจวินให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง มิต้องให้เทพแห่งโชคชะตาเข้ามารับรู้ด้วย มากเรื่องจะมากความกันไปใหญ่” ทั้งเหวินฉางเทียนจวินและเทพศาสตราเฟิ่งเหมี่ยน ต่างพยักพระพักตร์อย่างพร้อมเพรียงกัน ทรงเห็นด้วยกับเทพเยว่เทียน เจ้าของความคิดในเรื่องนี้ ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของเทพศาสตรารับสั่งถามขึ้น “แล้วท่านผู้เฒ่าคิดได้หรือยังว่าเหวินฉางควรจะลงไปจุติในที่แห่งใดจึงจะได้รับความสุขและความทุกข์อย่างแสนสาหัสอย่างพร้อมเพรียงกัน” ครั้นเทพจันทราทรงได้ยินเช่นนั้นพระองค์ทรงร่ายเวทอดีตกาลขึ้นมาโดยพลัน กงล้อสีน้ำเงินปรากฏให้เห็นภพมนุษย์สะท้อนภาพความเจริญอันแสนยิ่งใหญ่ตรงหน้าพระพักตร์ของเทพทั้งสอง “นี่คือแคว้นจ้าว ภพมนุษย์เบื้องล่างเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งยวด ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยกิเลสแห่งบาปเคราะห์เป็นยิ่งนัก ดำรงอยู่ด้วยการแย่งชิงและเข่นฆ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งความยิ่งใหญ่ของแคว้นตน ฮ่องเต้ทุกพระองค์ของแคว้นนี้กระหายสงครามและบุกยึดดินแดนแคว้นน้อยใหญ่ที่อ่อนแอมาเป็นของตนเองมากมายยิ่งนัก” เหวินฉางเทียนจวินทรงหันกลับไปทอดพระเนตรเทพเจ้าจันทราทันที ด้วยทรงล่วงรู้โดยพลันว่าเพราะเหตุใดเวทอดีตกาลจึงสำแดงภาพแคว้นจ้าวให้พระองค์ทอดพระเนตร “ท่านกำลังจะให้ข้ากลายเป็นทรราชที่ผู้คนกล่าวถึงอย่างนั้นใช่หรือไม่” “หากใช่แล้วอย่างไร และถ้าหากไม่ใช่แล้วเป็นอย่างไร มนุษย์มีทั้งด้านมารและเทพเหมือนกัน ดังนั้นการที่เจ้าจะได้พลังบำเพ็ญกลับมาทั้งหมดจึงต้องเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนี้ ความสุขจากการเป็นเจ้าแผ่นดิน เป็นที่รักอย่างล้นเหลือ และถูกเกลียดแสนชิงชังบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ สุดท้ายจบลงด้วยการพลัดพรากสุดแสนจะร้าวรานเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส” “โอ้โห! จะโหดร้ายเกินไปไหมท่านผู้เฒ่า มิเจ็บปวดเจียนตายอย่างนั้นหรอกรึ” เทพเฟิ่งเหมี่ยนรับสั่งขัดจังหวะขึ้นมาทันทีเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “ประเสริฐ! ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง!” จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่รับสั่งแทรกขึ้นมาโดยพลัน “ฮือออ!!!” เทพเฟิ่งเหมี่ยนส่งเสียงอยู่ในพระศอ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะใช้มนตร์อดีตกาลร่ายเวทให้เทียนจวินลงไปจุติเป็นพระโอรสองค์ที่เก้าของฮ่องเต้แคว้นจ้าว ซึ่งประสูติจากฮองเฮา” ครั้นเหวินฉางเทียนจวินทรงได้ยินถ้อยรับสั่งของเทพจันทราเช่นนั้น พระองค์พลันสงสัยขึ้นมาทันที “เหตุใดไยจึงต้องใช้มนตร์อดีตกาล ข้าลงไปจุติเลยมิได้หรอกรึ!” “นั่นน่ะสิเหตุใดต้องกระทำเยี่ยงนั้น” เทพศาสตราไม่วายรับสั่งแทรกทะลุกลางปล้อง “เจ้าทั้งสองเลิกขี้สงสัยได้แล้ว เหตุที่ข้าต้องร่ายเวทบทนี้เพราะมันต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว” “เหตุผลอย่างไรรึ” องค์เทียนจวินไม่วายรับสั่งถามกลับไปทันทีก่อนจะได้ยินสุรเสียงของเทพจันทรารับสั่งตอบกลับมา “เดิมทีฮองเฮาผู้นี้เป็นผู้มีบุตรยากอยู่แล้ว ครั้นตั้งพระครรภ์ก็ต้องแท้งเพราะถูกสนมเอกลอบวางยาทำลายสายโลหิตเพื่อขัดขวางมิให้มีรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ นางต้องการให้บุตรของตนเป็นรัชทายาทเพื่อเป็นฮ่องเต้ในอนาคต เจ้าเป็นถึงเทียนจวินปกครองซือไฮ่ปาฮวงและมหาเทพแห่งสงคราม ความสามารถของเจ้าจะทำให้สนมเอกผู้นี้และรัชทายาทจ้องที่จะคอยวางแผนคิดกำจัดเจ้าอยู่ตลอดเวลา เป็นด่านแรกที่จะต้องเผชิญกว่าจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้” “โอ้โห! อุปสรรคช่างมีมากเสียนี่กระไร นับตั้งแต่ถือกำเนิด ประเสริฐยิ่งนัก” เทพศาสตรารับสั่งออกมาทันทีเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “แล้วมันเกี่ยวกับมนตร์อดีตกาลตรงไหน จึงต้องร่ายเวทย้อนเวลากลับไป ตรงนี้แหละที่ข้าไม่เข้าใจอย่างยิ่งยวด” จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่รับสั่งถามกลับไป “ถามได้ดี! สาเหตุเพราะหากให้เจ้าลงไปจุติในเวลานี้ ฮองเฮาผู้นั้นมีอายุมากถึงสามสิบสองปีแล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะหมดอายุขัยต้องละสังขารจากโลกมนุษย์ ส่วนฮ่องเต้แคว้นจ้าวนั้นเล่าก็ชราภาพมากแล้วด้วยในเวลานี้น่าจะมีอายุห้าสิบห้าได้แล้วกระมัง หมดเรี่ยวหมดแรงทำอะไรไม่ได้แล้วละ หรือเจ้าคิดว่าทำได้รึ” ประโยคสุดท้ายเทพจันทรารับสั่งกระเซ้าองค์เทียนจวิน พระพักตร์หล่อเหลาคลี่พระโอษฐ์ออกมาบางๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังวางพระองค์เคร่งขรึมได้เป็นอย่างดี “เรื่องเช่นนี้ข้าหาได้มีประสบการณ์แต่อย่างใดไม่ กาลเวลาที่ผ่านมานับหลายแสนปี ทำให้ข้ามิมีสิ่งใดให้ต้องคิดนอกจากการทำสงครามปราบเหล่ามารเท่านั้น เรื่องอื่นจึงมิได้หวนคำนึง” รับสั่งตอบกลับไปตามความเป็นจริงก่อนจะได้ยินสุรเสียงรับสั่งเทพศาสตรา “งานนี้ล่ะได้หวนคำนึงแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าฮ่องเต้จะต้องมีนางสนมมากมายมาคอยปรนเปรอความสุขให้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะมีก็แต่ท่านนี่แหละที่ไม่คิดเช่นนั้น ดูรึเป็นถึงองค์เทียนจวินผู้ยิ่งใหญ่ในสามโลกหล้าและซือไฮ่ปาฮวง กลับไม่มีวังหลัง ไร้เทียนโฮ่วไม่มีแม้แต่พระสนมนางใน ข้าไม่เข้าใจเลยเหตุใดเทพบรรพกาลที่อวตารมาจากดวงจันทร์เช่นท่านและท่านผู้เฒ่าเยว่เทียนจึงมิยอมมีวังหลังเสียที” รับสั่งพร้อมปรายสายพระเนตรไปทางเทพเจ้าหนุ่มใหญ่ทั้งสองพระองค์ ก่อนจะทรงมีรับสั่งสำทับตามติดมา “คิดแล้วก็อยากลงไปบ้าง เอาไว้หมดภาระเมื่อไร หวังว่าท่านผู้เฒ่าเยว่เทียนจะส่งข้าลงไปจุติบนโลกมนุษย์เพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญได้ญาณตบะขั้นที่เก้าเหมือนท่านกับเหวินฉางด้วยนะ” “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะลงไป แต่อีกไม่นานหรอกได้ลงไปแน่” เทพจันทรารับสั่งแฝงเร้นปริศนาพลางแย้มพระโอษฐ์พริ้มพรายราวกับว่าทรงล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ของเทพศาสตราล่วงหน้าแล้ว “เอาเป็นว่าข้าจะร่ายเวทมนตร์อดีตกาลย้อนเวลากลับไป เมื่อครั้งที่ฮองเฮาผู้นี้มีอายุยี่สิบหกปี เป็นการตั้งครรภ์ครั้งที่สองของนาง ในขณะนั้นโอรสของสนมเอกได้ถูกสถาปนาให้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว จะมีอายุมากกว่าเจ้าแปดปีในช่วงเวลาที่เจ้าลงไปจุติ ร่างเซียนของเจ้าก็ให้อยู่ที่เทือกเขาจันทราต่อไป เวลากลับขึ้นมาพลังบำเพ็ญจะได้รับเต็มที่ไม่ต้องไปเข้าญาณอีกนับหลายพันปี” “แล้วข้าคอยดูความปลอดภัยของเหวินฉางอยู่ห่างๆ บนสวรรค์ได้ไหมท่านผู้เฒ่า หากมิยอมให้ข้าลงไปโลกมนุษย์”เทพศาสตรารับสั่งถามเป็นเชิงขออนุญาต “ก็ตามใจเจ้าสิ ข้ามิได้ห้ามเสียหน่อย ถึงอย่างไรเสียการจุติของเทพผู้เป็นใหญ่จากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จะต้องมีเหล่าเทพเจ้าคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา อ่อ... อีกอย่างข้าเกือบลืมไป” ประโยคสุดท้ายเทพเยว่เทียนนึกสิ่งสำคัญขึ้นมาได้อย่างทันท่วงที “มีอะไรเพิ่มเติมอย่างนั้นรึ!” เหวินฉางเทียนจวินรับสั่งถามออกไปทันที “การลงไปจุติครั้งนี้จะไร้สิ้นการบันทึกจากเทพโชคชะตาแต่จะเป็นข้าบันทึกให้แทน ดั่งนั้นเมื่อเจ้ากลับมาเหตุการณ์บนโลกมนุษย์ก็จะลืมเลือนมลายหายไปจากความทรงจำ ไม่มีกำหนดระยะเวลาว่าเจ้าจะสิ้นชีพเมื่อใดในโลกมนุษย์ ครั้นเจ้าได้ละสังขารจากภพมนุษย์แล้ว เมื่อกลับมาพลังบำเพ็ญก็จะหวนคืนมาทั้งหมด ส่วนหยกจันทราจะได้กลับขึ้นมาด้วยหรือไม่นั่นคือสิ่งที่จะต้องไปเสาะหาในโลกมนุษย์” “แล้วข้าจะลงไปจุติทำไมหากแม้นมิได้หยกจันรากลับคืน” พระองค์รับสั่งถามกลับไปทันทีก่อนจะได้ยินสุรเสียงเทพจันทรารับสั่งตอบกลับมา “มนุษย์ที่ครอบครองหยกจันทราจะเข้ามาพัวพันในชีวิตของเจ้าเอง หยกจันทราที่อยู่กับมนุษย์ผู้นั้นจะชักนำให้มาพานพบกัน ส่วนจะได้กลับคืนมาด้วยวิธีใดนั่นแล้วแต่สวรรค์ลิขิต เพราะในยามนี้มนุษย์ผู้นั้นเพิ่งจะถือกำเนิดในโลกมนุษย์ดั่งที่เจ้าเห็นลำแสงที่พวยพุ่งมาถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ดังนั้นการจะได้พบผู้ครอบครองหยกจันทราจึงต้องย้อนเวลาถอยหลังไปอีกหกปี เจ้าและมนุษย์ผู้นั้นจะได้พบกันเมื่อเจ้าอายุเข้าสู่ปีที่ยี่สิบสามและมนุษย์ผู้นั้นเจริญวัยเข้าสู่ปีที่สิบเจ็ด” เหวินฉางเทียนจวินพยักพระพักตร์ขึ้นลงด้วยทรงเข้าพระทัยทุกอย่างแล้ว “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเข้าญาณและกำหนดดวงจิตลงสู่โลกมนุษย์เสียแต่เดี๋ยวนี้ แล้วค่อยพบกันคงใช้เวลาไม่ถึงสองเดือนกระมัง” รับสั่งคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า “หนึ่งวันของสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ลงไปจุติสองเดือนเท่ากับหกสิบวันของสวรรค์ก็เท่ากับหกสิบปีของโลกมนุษย์ โอ้โหนี่ท่านจะอยู่นานถึงเพียงนั้นเลยเชียวรึ!” เทพศาสตรารับสั่งทักท้วง “อยู่ที่สวรรค์ลิขิตข้าจะอยู่นานหรือไม่ก็ต้องคอยดูกันต่อไป” เหวินฉางเทียนจวินรับสั่งตอบกลับมา “ไม่นานหรอกเชื่อข้าสิ ข้ารู้ดีกว่าใครเพื่อน” เทพจันทรารับสั่งพร้อมทรงพระสรวลออกมาเบาๆ “ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ ล่วงรู้อะไรดีๆ มิเคยเล่าให้ฟังแม้แต่น้อย เก็บเอาไว้อยู่แต่เพียงผู้เดียว ระวังนะ เก็บความลับเอาไว้มากๆ ร่างท่านจะแตกเอา” เทพศาสตรารับสั่งบ่นพึมพำ “เรื่องอะไรที่ข้าจะเล่าความลับสวรรค์ให้ผู้อื่นล่วงรู้ ไม่ใช่พวกเก็บความลับไม่อยู่และพวกชอบนินทาจึงจะต้องเที่ยวพูดให้ใครต่อใครล่วงรู้ไปเสียทั้งหมด หรือเจ้าว่าไม่จริง” พระเนตรสีฟ้าครามทอดพระเนตรเทพศาสตราที่กำลังทำท่าอยากเอาพระเศียรของพระองค์โขกกับโขดหินของเทือกเขาไม่รู้กี่พันรอบ อยู่ดีไม่ว่าดีโดนท่านผู้เฒ่ารูปงามเล่นงานด้วยคำคมอาบยาพิษอีกแล้ว” “เอาละ เสียเวลามากแล้ว ข้าจะเริ่มร่ายเวทมนตร์อดีตกาลส่งเจ้าไปจุติเป็นองค์ชายเก้าของแคว้นจ้าว อ่อ... เกือบลืมไป ดีนะที่ยังนึกขึ้นได้ แสดงว่าข้าก็ยังไม่แก่สักเท่าไร” เทพจันทรารับสั่งชมพระองค์ “หึ! อายุจะสี่แสนปีอยู่แล้วจะต้องหลงลืมบ้างล่ะ” เทพศาสตราอดไม่ได้จนมีรับสั่งออกไป เทพจันทรายักพระขนงเข้มได้รูปสวยส่งให้เทพศาสตราเป็นการเย้ยหยัน “จะกี่แสนปียังไงข้าก็หล่อเหลารูปงามอยู่เสมอ เจ้าเองเป็นผู้น้อยกว่าข้าเกือบแสนห้าหมื่นปียังหล่อเหลาทัดเทียมข้ามิได้เลย หรือไม่จริง... จะเถียงก็ได้นะข้ามิถือสา” รับสั่งชมพระองค์พร้อมรับสั่งเหน็บกลับไป “เชอะ! ตาแก่ทึ่มทื่อหลงรูปโฉมตัวเอง ถือว่าอวตารมาจากจันทราหล่อเหลารูปงามในสามโลกหล้า อย่างน้อยก็มีเหวินฉางอีกผู้หนึ่งละนะ ที่หล่อเหลางดงามทัดเทียมได้เช่นกัน”เทพศาสตรารำพึงอยู่ภายในพระทัย ก่อนจะทอดพระเนตรขวดหยกสีขาวปรากฏอยู่ในพระหัตถ์ของเทพจันทรา พลางยื่นส่งให้แก่องค์เทียนจวิน “เจ้าจงดื่มน้ำลืมเลือนเสียก่อนจะลงไปจุติ ความทรงจำในฐานะเป็นเทียนจวินบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและเป็นมหาเทพสงครามจะได้ไม่เอาลงไปใช้ในโลกมนุษย์ การบำเพ็ญเพียรในครั้งนี้จะให้คุณประโยชน์แก่เจ้าอย่างยิ่งยวดเมื่อละอสุภะจากโลกมนุษย์นั้นแล้ว” เหวินฉางเทียนจวินรับขวดหยกจากพระหัตถ์เทพจันทรา พลางยกขึ้นเสวยรวดเดียวจนหมด ก่อนจะเริ่มเข้าญาณสมาธิถอดดวงจิตเพื่อลงไปจุติในโลกมนุษย์ โดยมีเทพจันทราทรงร่ายเวทอดีตกาลกำกับไปพร้อมกัน กงล้อสีน้ำเงินแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ พระดรรชนีวนรอบกงล้อย้อนเวลากลับไปเมื่อหกปีก่อน ในสมัยที่ฮองเฮาของแคว้นจ้าวมีพระชนมายุยี่สิบหกปี พร้อมนำดวงจิตของจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่ลอยละลิ่วเข้าไปอยู่ในกงล้อแห่งกาลเวลา พุ่งตรงเข้าไปในสถิตอยู่ในพระครรภ์ของหวังฮองเฮา เพื่อรอการประสูติเป็นองค์ชายในลำดับที่เก้าของฮ่องเต้จางเหว่ยแห่งแคว้นจ้าวอันยิ่งใหญ่ ที่กำลังเรืองอำนาจอยู่ในขณะนี้ ทันทีที่ดวงจิตของเหวินฉางเทียนจวินลงไปจุติในโลกมนุษย์ย้อนกาลเวลากลับไปเมื่อหกปีก่อน แสงสีเงินยวงที่พวยพุ่งมาจากโลกมนุษย์ดับวูบลงไปโดยพลัน ท่ามกลางรอยแย้มพระโอษฐ์พริ้มพรายของเทพจันทราเมื่อลิขิตสวรรค์ที่พระองค์ทรงล่วงรู้ สามารถจัดการได้เป็นผลสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง “แล้วเจ้าจะต้องขอบใจข้าเหวินฉาง!” เทพจันทรารำพึงอยู่ในพระทัย พระโอษฐ์แย้มเยือนอยู่ตลอดเวลา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD