ในขณะเดียวกัน
ทุกการกระทำขององค์ชายเก้าแห่งแคว้นจ้าวตกอยู่ท่ามกลางสายพระเนตรของเทพเจ้าศาสตราและเทพเจ้าจันทรา ที่กำลังทอดพระเนตรผ่านทางม่านอาคมอยู่บนสรวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอยู่ในขณะนี้
“หึหึหึหึ!!!” เสียงพระสรวลดังออกมาเบาๆ อยู่ภายในพระศอ ทำให้เทพเฟิ่งเหมี่ยนหันกลับไปทันที
“แลดูท่านผู้เฒ่าจะสนุกและขบขันกับการใช้ชีวิตของเหวินฉางในเมืองมนุษย์เสียจริงๆ เทียนจวินผู้เป็นใหญ่เหนือผู้ใดในซือไฮ่ปาฮวง กุมชะตาชีวิตหกพิภพและสามโลก กลับไม่เอาถ่านเสียเลยครั้นลงไปจุติบนโลกมนุษย์ มิหนำซ้ำยังกลัวอิสตรีเข้าหาอีก ช่างเสียแรงที่เกิดมาเป็นชายชาติบุรุษเป็นยิ่งนัก” รับสั่งบ่นออกมาทันที
“ที่ข้าขบขันนั่นก็เพราะทุกสิ่งที่เจ้ากำลังเห็น คือส่วนลึกของเหวินฉางที่อยากจะเป็นเช่นนั้น นี่คือความต้องการและความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเทียนจวินเลยเชียวนะเจ้ามิล่วงรู้หรอกรึ” เทพจันทรารับสั่งตอบกลับไปเล่นเอาอีกฝ่ายเบิกพระเนตรกว้างขึ้นมาทันทีเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“ท่านกำลังจะบอกว่านี่คือสิ่งที่เหวินฉางต้องการจะเป็นมาโดยตลอดอย่างนั้นรึ! แม้กระทั่งวิ่งหนีเหล่าหญิงงามด้วยอย่างนั้นหรอกรึ!”
“อือฮึ” เทพจันทราพึมพำอยู่ในพระศอพลางพยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กัน
“แล้วเหตุใดเมื่อตอนอวตารมาเกิด เหวินฉางจึงไม่ทำในสิ่งที่ต้องการของตนเล่า เหตุใดจึงไปสะท้อนความเป็นตัวตนในเมืองมนุษย์ทำไมกัน ข้าไม่เข้าใจเลยท่านผู้เฒ่า” เทพศาสตรารับสั่งถามกลับไป
“ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเหวินฉางเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่จะต้องแบกรับเอาไว้ เกิดมาก็มีฤทธิ์ วิชาเวทแก่กล้านับตั้งแต่ถือกำเนิด ต้องปกครองเหล่าสวรรค์และยังต้องปราบหมู่มารปีศาจร้าย เป็นเวลาติดต่อกันนานนับหลายแสนปี เวลาที่ผ่านมาเคยเห็นเหวินฉางว่างเว้นจากการทำสงครามกับเผ่ามารและอสูรหรือไม่ นอกจากอารมณ์สุนทรีมิได้บังเกิดแล้วไซร้ เรื่องไขว่คว้าหญิงงามให้อยู่ข้างกายยิ่งมิต้องเอ่ยถึงแม้แต่น้อย” รับสั่งตอบกลับไป
เทพศาสตราทรงยืนอ้าพระโอษฐ์กว้าง ก่อนจะพยักพระพักตร์ขึ้นลงติดๆ กัน ด้วยทรงเริ่มเข้าพระทัยในสิ่งที่เทพเจ้าจันทราทรงมีรับสั่งขึ้นมาบ้างแล้ว
“มันก็จริงตามที่ท่านกล่าว ข้าก็ไม่เคยเห็นเหวินฉางว่างเว้นจากสงครามปราบมาร อย่างมากก็หยุดรบกันนานสุดแค่ร้อยปี เพราะต่างฝ่ายก็เสียกำลังพลไปมากก็เท่านั้นเอง” เทพเฟิ่งเหมี่ยนรับสั่งพร้อมครุ่นคิดตาม ก่อนจะมีรับสั่งขึ้นมาอีกครั้ง
“และนั่นจึงทำให้การมาจุติในเมืองมนุษย์ครั้งนี้ ทำให้เทียนจวินผู้เป็นใหญ่สะท้อนความเป็นตัวตนและความรู้สึกที่แท้จริงออกมาว่าต้องการจะใช้ชีวิตที่สมถะเรียบง่ายเช่นนี้ ข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่”
“ใช่!” เทพจันทรารับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ
“แบบนี้ชีวิตก็จืดชืดไร้สีสันน่ะสิท่านผู้เฒ่า มิหนำซ้ำยังไร้อารมณ์กับเหล่าอิสตรีมิยอมตักตวงหาความสุขในสิ่งที่บุรุษไม่ว่าเทพ มาร หรือมนุษย์พึงจะเกิดขึ้น ถ้าหากเป็นเช่นนี้ไอ้ความสุข ความทุกข์ และความรักที่จะต้องเผชิญอย่างแสนสาหัสมันก็ไม่บังเกิดขึ้นน่ะสิ หากเป็นเช่นนั้นเมื่อกลับจากเมืองมนุษย์ พลังบำเพ็ญจะฟื้นกลับคืนมาจะสักกี่ส่วนเชียว มิต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ หรอกรึ!”
รับสั่งของเทพศาสตราทำให้เทพจันทราส่ายพระพักตร์ไปมากับความคิดของพระสหายรุ่นน้อง ที่ชอบคิดเองเออเองไปก่อนอยู่ร่ำไป
“เจ้าไม่สังเกตหรอกรึว่าเพราะเหตุใดเหวินฉางจึงไปจุติในโลกมนุษย์ซึ่งมีเชื้อสายกษัตริย์” รับสั่งถามกลับไป
“ทำไมจะไม่สังเกต เทียนจวินผู้เป็นใหญ่มหาเทพแห่งสงครามเช่นเหวินฉางจะลงไปจุติบนโลกมนุษย์เป็นครั้งแรกทั้งที มีหรือจะไปจุติเป็นชาวบ้านธรรมดา แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไปจุติเพื่อเป็นฮ่องเต้ในอนาคต” เทพเฟิ่งเหมี่ยนรับสั่งตอบกลับไปตามที่ทรงคาดคิด
เทพจันทราคลี่พระโอษฐ์บางพลางส่ายพระพักตร์ไปมาเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“เจ้าก็คิดแบบตื้นเขินอยู่เช่นนี้ร่ำไป ไม่มองอะไรให้ลึกซึ้งไปกว่านี้ขึ้นมาบ้างเลย”
“เอ้า! ท่านถามกลับมาข้าก็ตอบตามความคิดของข้า ใครจะไปคิดละเอียดอ่อนเช่นท่านได้เล่าท่านผู้เฒ่า ทั้งเจ้าความคิด เจ้าแผนการ ชอบวางแผนซับซ้อน จะมีใครเกินท่านได้เล่า” เทพศาสตรารับสั่งประชด
“รู้เช่นนั้นก็ดีว่าข้าเป็นเช่นไร เพราะฉะนั้นการที่ข้าส่งเหวินฉางลงไปจุติในเมืองมนุษย์ครั้งนี้ล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น พลังบำเพ็ญจะกลับมาดั่งเดิม อยู่ที่การเผชิญเคราะห์กรรมทุกด้านที่มนุษย์ต้องเผชิญ เหวินฉางจะต้องเผชิญบาปเคราะห์ทั้งหกประการ นั่นก็คือได้รับความสุข ความสมหวัง ความทุกข์ ความเกลียดชัง ความรักและความทรมานอย่างแสนสาหัส จากการลงไปจุติในโลกมนุษย์ในครั้งนี้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคุ้มเสียยิ่งกว้าคุ้ม” เทพจันทรารับสั่งอธิบาย
“ท่านแน่ใจนะว่าการลงไปครั้งนี้จะคุ้มค่าสำหรับเหวินฉาง” เทพศาสตรารับสั่งถามย้ำเพื่อความมั่นพระทัย
“คอยดูกันต่อไปเถอะ และอีกไม่นานเจ้าเองก็ต้องลงไปที่โลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าเป็นหมากสำคัญตัวหนึ่งที่ข้าวางกลเอาไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน”
รับสั่งของเทพจันทราทำให้เทพเฟิ่งเหมี่ยนดีพระทัยจนออกนอกหน้าขึ้นมาทันที
“นะ... นี่ข้าหูไม่ฝาดใช่ไหม ที่ท่านผู้เฒ่าจะให้ข้าลงไปเมืองมนุษย์ ไปเมื่อไรบอกมาเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังได้” เทพศาสตราดีพระทัยจนออกนอกหน้า กระตือรือร้นอย่างเต็มที่
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ถึงเวลาเมื่อไรข้าจะบอกเจ้าเองลงไปสักสองสามวันก็เพียงพอแล้ว” เทพจันทรารับสั่งตอบกลับไป
“ลงไปแค่สองสามวันเองน่ะเหรอท่านผู้เฒ่า ทำไมให้เวลาน้อยนักเล่า มีเวลาน้อยนิดเพียงเท่านี้ข้าจะไปยืดเส้นยืดสายได้สักกี่น้ำกันเชียว” เทพเฟิ่งเหมี่ยนบ่นกระปอดกระแปดขึ้นมาทันที
“ข้าอุตส่าห์ให้ลงไปโลกมนุษย์ตั้งสองสามปี กลับยังไม่พอใจ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องลงแล้วกัน”
ครั้นเทพศาสตราทรงได้ยินเช่นนั้น พระเนตรเหลือกขึ้นมาทันที
“ดะ... เดี๋ยว... เดี๋ยว!!! ท่านผู้เฒ่า อย่าเปลี่ยนใจกะทันหันแบบนี้สิ ที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ก็เพราะคิดว่าให้ลงไปเมืองมนุษย์แค่สองสามวันเท่านั้น แต่ถ้าสองสามปีเรื่องอะไรข้าจะไม่ลงไปเล่า ลืมคิดไปว่าเวลาของเมืองมนุษย์กับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแตกต่างกันหนึ่งวันของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ก็คือหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ท่านให้ข้าลงไปตั้งสองสามวัน ข้าก็จะได้อยู่เที่ยวในโลกมนุษย์ตั้งหลายปีเลยเชียว ดีใจยิ่งกว่าได้ญาณตบะขั้นแปดอีกเลยนะ" เทพหนุ่มเจ้าสำราญรับสั่งอย่างดีพระทัยอย่างล้นเหลือ
เทพเจ้าหนุ่มรุ่นใหญ่ส่ายพระเศียรไปมาเมื่อทรงได้ยินรับสั่งของพระสหายสนิท
“นิสัยชอบตีโพยตีพายแก้ไม่เคยหายเลย เตรียมตัวไว้ด้วยก็แล้วกัน อีกสักประเดี๋ยวเจ้าก็ต้องลงไปแล้ว”
สิ้นรับสั่งของเทพจันทรา องค์เฟิ่งเหมี่ยนเบิกพระเนตรกว้างด้วยความดีพระทัยอย่างยิ่งยวดเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น
“จะว่าไปท่านก็ช่างล่วงรู้ใจข้าเสียจริง ดียิ่งนักจะได้ลงไปโลกมนุษย์เสียทีตั้งแสนปีแล้ว ที่มิได้ย่างกรายลงไปเลย” เทพศาสตรารับสั่งด้วยความดีพระทัยอย่างยิ่งยวด โดยมิทันได้สังเกตสายพระเนตรของเทพเจ้าจันทราที่เต็มไปด้วยแผนการซุกซนอันแยบยลซึ่งจะนำมาใช้กับพระสหายสนิท
“อย่าเพิ่งพูดอะไรมากเลย ดูม่านอาคมตอนนี้สิ ในที่สุดเหวินฉางก็จะต้องเข้าสู่สมรภูมิรบแล้ว” รับสั่งของเทพจันทราทำให้องค์เฟิ่งเหมี่ยนหันกลับมาทอดพระเนตรพระองค์ทันที
“อ่อ! ข้ารู้แล้วที่ท่านจะให้ข้าลงไปโลกมนุษย์เพราะเหวินฉางจะต้องออกไปทำสงครามนี่เอง แสดงว่าสายตาท่านยาวไกลยิ่งนัก เลือกข้านั้นได้ถูกต้องและสมควรยิ่งแล้ว เพราะข้านั้นเก่งกาจรอบด้านมิเป็นสองรองผู้ใด หากเป็นรองก็แค่ท่านกับเหวินฉางเท่านั้น” รับสั่งชมพระองค์
“ก็ข้าไม่โง่! แน่นอนว่าจะต้องเลือกคนที่เหมาะสมกับงานนี้” รับสั่งพร้อมคลี่พระโอษฐ์แย้มยิ้มออกมาบางๆ พระเนตรเป็นประกายวาววับเต็มไปด้วยแผนการแกล้งพระสหาย เทพบรรพกาลทั้งสองทรงยืนทอดพระเนตรเฝ้าจับจ้องม่านอาคมกับเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้