ตอนที่ 6 ร่างสถิตแห่งหยกจันทรา 1

3835 Words
ในขณะเดียวกัน โลกมนุษย์ ท่ามกลางหิมะที่พังถล่มลงมาจากเทือกเขาหัวซานจนเบื้องล่างจมอยู่ภายใต้สีขาวโพลนไปทั่วบริเวณ ห้าชีวิตของบุรุษและหนึ่งอิสตรีและทารกแรกเกิดล้วนสิ้นชีพภายใต้หิมะดังกล่าวมิเหลือรอดแม้แต่ผู้เดียว ทว่าเมื่อลิขิตสวรรค์ถูกกำหนด ลำแสงสีเงินยวงที่พวยพุ่งออกจากร่างทารกน้อยบัดนี้กลับคืนสู่ร่างดังกล่าวพร้อมลมหายใจที่หยุดไปเมื่อครู่พลันหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยอำนาจแห่งหยกจันทราได้เลือกทารกน้อยเป็นร่างสถิตแฝงเร้นอำนาจของเหล่าทวยเทพอยู่ภายในกาย สาเหตุเพราะชีวิตที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่นั้นจะเป็นที่ซ่อนเร้นได้อย่างดีที่สุด แม้แต่เทพเซียนบนสวรรค์หรือหมู่มารก็มิสามารถมองเห็นสิ่งวิเศษจากสรวงสวรรค์นี้ได้แม้แต่น้อย ร่างของทหารองครักษ์ที่กอดองค์หญิงน้อยเอาไว้ในอ้อมกอดของตน จู่ๆ จากที่หมดลมหายใจเมื่อครู่ที่ผ่านมาก็พลันกลับมามีลมหายใจอีกครั้งเช่นเดียวกัน สาเหตุเพราะอำนาจของหยกจันทราแผ่ครอบคลุมไปทั่วร่างทารกน้อยและทำให้องครักษ์ที่กอดร่างองค์หญิงน้อยได้ผลพลอยได้ในครั้งนี้ด้วย จากที่หมดลมหายใจไปแล้วก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง ร่างที่จมอยู่ใต้หิมะค่อยๆ เคลื่อนไหวไปมาอย่างช้าๆ ก่อนจะได้สติและล่วงรู้ว่าบัดนี้ร่างของตนและองค์หญิงน้อยจมอยู่ภายใต้กองหิมะอันขาวโพลน มือหนารีบควานหาทางเข้าออกก่อนจะใช้วิทยายุทธ์ที่มีอยู่คู่กายทลายกองหิมะที่ทาบทับอยู่ในขณะนี้ออกไปทันที “โครม!” กองหิมะที่ทับถมจนสูงกระเด็นออกไปไกล เผยให้เห็นร่างของราชองครักษ์มู่เจียนเจี๋ย กำลังอุ้มองค์หญิงน้อยเอาไว้แนบอก ก่อนจะค่อยๆ พาร่างของตนคลานออกจากกองหิมะมาอย่างทุลักทุเล ครั้นสามารถออกมาได้เป็นผลสำเร็จ ราชองค์รักษ์หนุ่มกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณเพื่อมองหาสหายรักอีกสี่คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอดจนถึงกั๋วฮองเฮา ทว่าสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่าและความเงียบงัน ท่ามกลางหิมะที่กำลังเริ่มโปรยปรายลงมาอีกรอบ “สวรรค์คุ้มครอง นี่ข้ารอดตายมาได้อย่างไรกัน ช่างปาฏิหาริย์ยิ่งนัก หิมะถล่มหนักถึงเพียงนั้นหาเคยมีผู้ใดรอดชีวิตได้เลยแม้แต่น้อยบนเทือกเขาหัวซานนี้ คนอื่นๆ จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็มิรู้” องครักษ์เจียนเจี๋ยรำพึงรำพัน ก่อนจะก้มลงมององค์หญิงน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของตน ที่ยังคงหลับพริ้มอยู่เช่นเดิม มือหนารีบจับชีพจรทารกน้อยทันที พร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าเมื่อล่วงรู้ว่าองค์หญิงน้อยยังไม่สิ้นพระชนม์ “คงจะไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแล้วแม้แต่พระมารดาขององค์หญิง กระหม่อมจะนำเสด็จไปแคว้นหลงอันเพื่อมอบองค์หญิงให้กับเจียงฮองเฮานะพ่ะย่ะค่ะ แม้จะเพิ่งประสูติยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปดีนักแต่ก็ประสบชะตากรรมที่แสนเลวร้ายแล้วตั้งแต่ก่อนประสูติจนกระทั่งประสูติออกมา มิหนำซ้ำยังต้องสูญเสียพระบิดาและพระมารดาไปในเวลาไล่เลี่ยกันอีก หากแต่สวรรค์คุ้มครองทรงรอดจากหิมะถล่มมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อจริงๆ” เจียนเจี๋ยบอกองค์หญิงน้อยของตน ร่างสันทัดค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปเบื้องหน้าเพื่อเดินทางไปยังแคว้นหลงอัน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินเท้าไม่ต่ำกว่าสิบวันกว่าจะถึงจุดหมายดังกล่าวเพื่อนำส่งทารกน้อยให้ถึงพระหัตถ์เจียงฮองเฮา ซึ่งเป็นพระปิตุจฉาขององค์หญิงน้อยเจียงอิ้งเยว่ สิบเจ็ดปีผ่านไป แคว้นจ้าว พระตำหนักฉิงเหวิน (ตำหนักลายเมฆ) ตำหนักอันเป็นที่ประทับขององค์ชายเก้า ทรงมีพระนามว่าจ้าวเฟยหลง ซึ่งประสูติจากหวังฮองเฮา อีกทั้งยังทรงเป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของพระนางเท่านั้น ด้วยเพราะหวังฮองเฮามีบุตรยาก นับตั้งแต่ทรงอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้แคว้นจ้าว พระนางทรงตั้งพระครรภ์เพียงสองครั้งเท่านั้น การตั้งพระครรภ์ของพระนางทุกครั้งมีอันต้องตกพระโลหิตแท้งพระโอรสหรือพระราชธิดาในพระครรภ์ทั้งสองครั้ง จนทำให้พระนางไม่เคยตั้งพระครรภ์อีกเลย ฮ่องเต้จางเหว่ยจึงมีพระโอรสและพระธิดาซึ่งประสูติจากพระสนมองค์อื่นๆ รวมทั้งสิ้นสิบห้าพระองค์ เป็นพระโอรสเก้าพระองค์และพระราชธิดาหกพระองค์ อีกทั้งได้ทำการสถาปนาองค์ชายสาม จ้าวจื่อห้าว พระโอรสซึ่งประสูติจากพระสนมเอกต้ากุ้ยเฟย ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทของแคว้นจ้าว ซึ่งในขณะนั้นองค์ชายเก้าจ้าวเฟยหลง ยังมิได้ประสูติ ทั้งนี้กงล้อแห่งกาลเวลาของเทพเจ้าจันทรา ได้ส่งดวงจิตขององค์เทียนจวินผู้ยิ่งใหญ่ประมุขของซือไฮ่ปาฮวง ครองทั้งสามโลกและหกพิภพ ย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งที่หวังฮองเฮาทรงตั้งพระครรภ์ได้เองอีกเป็นครั้งที่สอง จึงนำส่งเสด็จเหวินฉางเทียนจวิน ลงมาจุติในพระครรภ์ของหวังฮองเฮา และร่ายเวทเกราะกันภัย ปกป้ององค์เทียนจวินรวมไปถึงหวังฮองเฮาให้รอดพ้นจากการปองร้ายของต้ากุ้ยเฟย ซึ่งจ้องทำลายล้างให้สิ้นพระชนม์ชีพมาโดยตลอดนับตั้งแต่เหวินฉางเทียนจวินลงมาจุติ ต้ากุ้ยเฟยพยายามลอบสังหารและทำลายโอรสในพระครรภ์ของหวังฮองเฮามาโดยตลอด และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อกำจัดขวากหนามอันยิ่งใหญ่นี้ออกไปให้ได้ แม้ว่าโอรสของพระนางจะถูกสถาปนาให้เป็นองค์รัชทายาทแล้วก็ตาม ทว่าตำแหน่งดังกล่าวสามารถกระเด็นออกไปได้ทุกเมื่อ หากจางเหว่ยฮ่องเต้ทรงคิดเปลี่ยนพระทัย เพราะตามกฎมณเฑียรบาลของแคว้นจ้าว องค์รัชทายาทจะต้องประสูติจากฮองเฮาเท่านั้น ดังนั้นการตั้งพระครรภ์ของหวังฮองเฮาจะต้องกำจัดออกไปให้ได้ ทว่าไม่ว่าจะเป็นยาพิษชนิดใดซึ่งต้ากุ้ยเฟยส่งคนไปแอบลอบวางยาด้วยสารพัดวิธี ก็ไม่สามารถทำอันตรายหวังฮองเฮาได้แม้แต่น้อย ยาพิษที่ดื่มกลับกลายเป็นยาบำรุง หรือแม้กระทั่งยาพิษที่ต้องสูดดมไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือสิ่งหอมหวน กลับมลายหายไปโดยพลันมิเหลือสิ้นยาพิษร้ายแรงใดๆ หรือแม้แต่กระทั่งงูพิษที่จงใจฉกหวังฮองเฮาให้สิ้นพระชนม์ จากงูกลายเป็นจิ้งจกคลานหนีหายไปในพริบตา ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งนักฆ่าที่ต้ากุ้ยเฟย ส่งมาลอบสังหารหวังฮองเฮา ก็ไม่สามารถลงมือได้ เหล่านักฆ่าต้องกลับออกไปด้วยความฉงนสนเท่ห์เพราะจู่ๆ ก็ไม่สามารถเห็นเป้าหมายที่ตนจะต้องมาปลิดชีพ และนักฆ่าเหล่านั้นกลับต้องขาดใจตายทันทีครั้นเมื่อก้าวพ้นออกจากพระราชวังหลวง จวบจนกระทั่งพระโอรสน้อยทรงประสูติออกมาได้อย่างปลอดภัย และในวันที่องค์ชายน้อยประสูติออกมานั้น ท้องฟ้าเบื้องบนปรากฏลำแสงเรืองรองสาดส่องปกคลุมไปทั่วทั้งพระราชวังหลวงของแคว้นจ้าว ซึ่งลำแสงดังกล่าวมาจากเทพศาสตราและเทพจันทรา ส่งมาอวยพรที่เหวินฉางเทียนจวินประสูติ ปรากฏการณ์ดังกล่าวโหรหลวงของราชสำนักจะต้องกราบทูลคำทำนายให้แก่จางเหว่ยฮ่องเต้ ว่าพระโอรสแต่ละพระองค์เป็นเช่นไรตั้งแต่แรกประสูติ ซึ่งในบรรดาพระโอรสทั้งหมดหามีพระองค์ใดเกิดปรากฏการณ์เป็นมงคลแม้แต่น้อย มีเพียงพระโอรสองค์ที่เก้าซึ่งประสูติจากหวังฮองเฮาเท่านั้น ซึ่งปรากฏการณ์อันเป็นมงคลดังกล่าวนี้ต่อไปในภายภาคหน้า องค์ชายน้อยจะทรงเจริญชันษาและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่แคว้นจ้าว จะทำให้แคว้นเกรียงไกรแผ่ขยายอำนาจและอยู่เหนือแคว้นใดทั้งมวลไปอีกหลายร้อยปี แต่แล้วคำทำนายนี้ก็มิได้กราบทูลให้จางเหว่ยฮ่องเต้ได้ทรงทราบ เพราะต้ากุ้ยเฟยทรงรู้เรื่องนี้เสียก่อน จึงจัดการปิดปากโหรหลวงผู้นั้นมิให้มีชีวิตรอดไปกราบทูลปรากฏการณ์สวรรค์ ที่จะทำให้การก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคตของพระราชโอรสของพระนางต้องสั่นคลอน ตรงกันข้ามกลับส่งคนของพระนางเข้ามาสวมรอยเป็นโหรหลวงในราชสำนักและกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบในทางกลับกันว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายน้อยประสูติ เป็นสิ่งอัปมงคล จึงทำให้จางเหว่ยฮ่องเต้มิทรงโปรดปรานพระโอรสองค์นี้ของพระองค์เสียเท่าใดนัก ทว่ายิ่งองค์ชายน้อยเจริญพระชันษากลับทำให้พระทัยของจางเหว่ยฮ่องเต้ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อย สาเหตุเพราะพระวรกายที่สูงใหญ่ เข้มแข็งและบึกบึนประกอบกับพระสิริโฉมที่งดงามอย่างแปลกประหลาดดั่งองค์เง็กเซียนฮ่องเต้เสด็จมาจุติฉันใดก็ฉันนั้น ด้วยเพราะอัตลักษณ์ที่เป็นมงคลอย่างยิ่งยวด ทำให้จางเหว่ยฮ่องเต้เริ่มคิดได้ว่า ที่โหรหลวงทำนายนั้นอาจจะมิใช่เสียแล้ว ด้วยพระองค์ทรงมีความรู้ในเรื่องศาสตร์ทำนายมงคลบนร่างของมนุษย์นั่นเอง ในขณะเดียวกันท่ามกลางกาลเวลาที่ดำเนินต่อไป ต้ากุ้ยเฟยมิเคยหยุดการสังหารองค์ชายเก้าแม้แต่น้อย ยิ่งหวังฮองเฮาสิ้นพระชนม์ลงด้วยทรงพระประชวรเป็นฝีในท้องในขณะที่มีพระชันษาเข้าสู่ปีที่สามสิบสอง ซึ่งองค์ชายเก้าในขณะนั้นมีพระชนม์มายุเพียงแค่หกชันษาเท่านั้น องค์ชายน้อยจึงยิ่งเดียวดายมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เมื่อไร้สิ้นพระมารดาปกป้อง จึงเป็นโอกาสทำให้ต้ากุ้ยเฟยหาวิธีการสารพัดหลากหลายเพื่อกำจัดองค์ชายเฟยหลงซึ่งอยู่เป็นหอกข้างแคร่มาโดยตลอด ทว่าดั่งสวรรค์เล่นตลกทุกครั้งที่ลอบสังหารจะต้องมีเหตุการณ์ทำให้ล้มเหลวเป็นเช่นนี้ทุกครา จนพระนางเริ่มค่อยๆ รามือไปเมื่อมีข่าวเล่าลือเล็ดลอดออกมาว่า สาเหตุที่องค์ชายเก้าถูกลอบปองร้ายมาหลายครั้งหลายครา ล้วนเป็นฝีมือของต้ากุ้ยเฟยทั้งสิ้น พระนางจึงระแวดระวังพระองค์และรามือไม่กระทำการสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งจะมีผลต่อราชบัลลังก์ของพระโอรส ประกอบกับเมื่อองค์ชายน้อยเริ่มเจริญวัยขึ้น ทรงต้องได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระอาจารย์ทุกแขนง แต่กาลกลับกลายเป็นว่าองค์ชายเฟยหลงมิใส่พระทัยที่จะเรียนรู้แต่อย่างใด การฝึกศาสตราวุธก็ไม่เอาถ่าน การร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามก็ไม่เอาไหน แต่พระองค์กลับหมกมุ่นในการสร้างและประดิษฐ์อาวุธหรือกลไก หัดเล่นฉิน เรียนชงชา แตกต่างจากองค์ชายพระองค์อื่นอย่างสิ้นเชิง จนต้ากุ้ยเฟยเล็งเห็นว่าความไม่เอาถ่านเช่นนี้ ไฉนเลยจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ดั่งคำทำนายนั้นได้ จะมีข้อดีก็เพียงแค่มีพระสิริโฉมงดงามอย่างยิ่งยวดเท่านั้นเอง พระนางจึงวางมือในการตามล้างเอาชีวิต ทว่าก็ยังส่งคนแอบแฝงเร้นเพื่อส่งข่าวให้ทรงล่วงรู้ความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายเฟยหลง ในพระชันษาเข้าสู่ปีที่ยี่สิบสอง พระพักตร์โฉมสลักหล่อเหลาอย่างยิ่งยวด พระสิริโฉมงดงามดังกล่าวไม่แตกต่างจากเหวินฉางเทียนจวินแต่อย่างใด แม้ว่าจะลงมาจุติในเมืองมนุษย์แล้วก็ตาม พระสิริโฉมของจอมเทพบนสรวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไม่แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นพระสิริโฉมที่งดงามจนเป็นที่เลื่องลือหรือพระวรกายที่สูงใหญ่มากกว่าพระเชษฐาองค์อื่นๆ หรือแม้กระทั่งสีพระเนตรคล้ายดั่งสีทองอร่ามราวหยาดน้ำผึ้งสวรรค์ก็ได้มาปรากฏให้โลกมนุษย์ได้ยลพระสิริโฉม จนเป็นที่อิจฉาริษยาแก่พระเชษฐาองค์อื่นๆ อย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ไทจื่อ ทรงเกลียดและชิงชังพระอนุชาองค์นี้เป็นยิ่งนัก องค์ชายเก้าทรงนั่งประทับบนตั่งพระที่นั่งในห้องทรงพระอักษร บรรจงวาดภาพทิวทัศน์ซึ่งได้ทอดพระเนตรชมสระบัวในอุทยานหลวงเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ฝีพระหัตถ์ของพระองค์นั้นดั่งจิตรกรเอก วาดได้เหมือนจริงประหนึ่งดอกบัวหลวงมีชีวิตอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ฉันใดก็ฉันนั้น โดยไม่สนพระทัยว่ากำลังมีร่างของใครบางคนก้าวเข้ามาภายในพระตำหนักในขณะนี้ “เฟยหลง” สุรเสียงของพระนางสิฮันรับสั่งหาพระนัดดาคนโปรด ซึ่งอยู่ในความดูแลของพระนางนับตั้งแต่หวังฮองเฮาเสด็จสิ้นพระชนม์ลงตั้งแต่องค์ชายน้อยมีพระชันษาเพียงหกปี พระนางสิฮันทรงเป็นพระขนิษฐาร่วมพระมารดาและพระบิดาเดียวกันกับจางเหว่ยฮ่องเต้ พระนางได้อภิเษกสมรสไปกับแม่ทัพตระกูลโหยว ภายหลังต้องกลายเป็นม่ายเพราะพระสวามีสิ้นชีพในสนามรบ อีกทั้งไร้สิ้นพระราชโอรสและพระราชธิดา จางเหว่ยฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งให้พระนางกลับเข้าพระราชวังหลวงเพื่อคอยดูแลพระโอรสองค์สุดท้อง หลังจากที่หวังฮองเฮาสิ้นพระชนม์ พระนางจึงทรงเลี้ยงดูองค์ชายจ้าวเฟยหลงตั้งแต่พระชนมายุหกชันษาจนถึงปัจจุบัน องค์ชายรูปงามวางพู่กันวาดภาพลงบนแท่นวางโดยพลัน พร้อมลุกประทับเสด็จเข้าไปหาพระปิตุจฉาทันที “เสด็จอาอุตส่าห์มาหาข้าถึงในพระตำหนักมีสิ่งใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งถามกลับไป พระนางสิฮันทอดพระเนตรไปยังโต๊ะทรงพระอักษร ครั้นทอดพระเนตรภาพวาดสระบัวในอุทยานหลวงที่พระนัดดาทรงวาดได้อย่างเหมือนจริงเช่นนั้น พระนางแย้มพระโอษฐ์ออกมาบางๆ พร้อมมีรับสั่งขึ้น “เจ้าช่างมีพรสวรรค์เสียนี่กระไร ไม่ว่าจะวาดอะไรก็ช่างเหมือนจริงดั่งสิ่งนั้นมีชีวิตยิ่งนัก หรือแม้กระทั่งการดีดฉิน หรือชงชาก็ล้วนแล้วแต่เป็นเลิศ จะมีเพียงการคิดค้นศาสตราวุธเท่านั้นที่แลดูจะเข้าท่า เหตุใดหนอพรสวรรค์เหล่านี้ของเจ้าจึงไม่ไปศึกษาหลักการบริหารปกครองบ้านเมือง และฝึกปรืออาวุธสำหรับผู้ที่จะก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้กันเล่า” พระพักตร์หล่อเหลาทำท่าครุ่นคิดเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดเสด็จอาจึงมีรับสั่งเช่นนี้ เจ้าพี่ทรงเป็นองค์ไทจื่อสืบทอดราชบัลลังก์ของพระบิดาอยู่แล้ว เหตุใดจึงจะให้ข้าต้องศึกษาตำราการปกครองและพิชัยสงครามด้วยเล่า อีกอย่างข้าอ่านครั้งเดียวก็ล่วงรู้จนหมดสิ้นแล้วไยจะต้องให้ศึกษาเรียนรู้ไปอีกทำไมกัน พระอาจารย์ที่มาสอนก็หาได้ล่วงรู้เคล็ดวิชาที่จะสามารถบอกสอนข้าต่อไปได้อีกแต่อย่างใด” ประโยคสุดท้ายทรงรับสั่งพึมพำออกมาเบาๆ พระนางสิฮันทรงได้ยินพระสุรเสียงของพระนัดดาอย่างชัดเจน ภายในพระทัยทรงครุ่นคิดขึ้นมาทันที “หรือว่าข่าวลือที่เล็ดลอดออกมาให้ข้าได้ยินจากสำนักการศึกษาจะเป็นเรื่องจริง ว่าเฟยหลงรอบรู้และแตกฉานตำราพิชัยสงครามและสำเร็จวิทยายุทธ์ทุกตำราด้วยตัวเองไม่ต้องมีผู้ใดสอนสั่ง แต่เหตุใดเล่าเจ้าหลานคนนี้ของข้าจึงมิแสดงความสามารถของตนเองออกมาแม้แต่น้อย ตกลงเพราะความไม่เอาถ่านจริงๆ หรือไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้กันแน่หนอ” พระนางสิฮันรำพึงอยู่ภายในพระทัยอย่างเงียบๆ “เอาเถอะ! หากเจ้าไม่อยากจะเรียนรู้สิ่งใดเพิ่มเติม ข้าก็จะไม่ขัดขวาง แต่อยากจะให้ข้อคิดไว้สักหน่อยเพราะอาเป็นห่วงเจ้ามากนะเฟยหลง” “เสด็จอาจะสอนสั่งสิ่งใดให้แก่หลานรับสั่งได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเก้ากระตือรือร้นพร้อมโค้งคำนับเพื่อรับคำสอนจากพระปิตุจฉาซึ่งเปรียบดั่งพระมารดาของพระองค์ก็ว่าได้ พระนางสิฮันทอดพระเนตรพระนัดดาด้วยความเมตตา ก่อนจะทรงมีรับสั่งกับองค์ชายรูปงาม “บางสิ่งที่มิอยากล่วงรู้และไม่ต้องการ หากแม้นเป็นลิขิตแห่งสวรรค์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ คนเราเกิดมามิอยากยิ่งใหญ่เกินผู้ใดก็จริง แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงแม้ไม่อยากรับไว้ ก็จำต้องแบกภาระเจ้าจงจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี” พระนางรับสั่งทอดพระเนตรพระนัดดารูปงาม พลางมีรับสั่งสำทับตามติดมา “แคว้นจ้าวของเราใช่ว่าจะไม่เป็นที่หมายปองจากแคว้นใหญ่อื่นๆ ที่จ้องบุกยึดดินแดน หากเกิดสงครามระหว่างแคว้น เหล่าบรรดาองค์ชายทุกพระองค์จะต้องออกสู่สนามรบด้วยกันทั้งนั้น เจ้าเป็นเช่นนี้จะมิให้ข้าเป็นห่วงอย่างนั้นรึ ไฉนเลยจะรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัยได้เล่า” พระนางรับสั่งด้วยความเป็นห่วง รับสั่งของพระปิตุจฉาทำให้องค์ชายเก้าทรงพระสรวลออกมาเบาๆ เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “นึกว่าอะไร ที่แท้เสด็จอาทรงเกรงว่า ด้วยฝีมืออันอ่อนด้อยและมิเคยมีประสบการณ์ในการออกทำสงคราม จะทำให้ข้าตายในสนามรบใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งถามกลับไป พระนางสิฮันพยักพระพักตร์ขึ้นลงก่อนจะมีรับสั่งขึ้น “ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หากแม้นเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น สิ่งที่รับปากไว้กับเสด็จแม่ของเจ้าว่าจะดูแลพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของพระนางให้เติบใหญ่อย่างองอาจ ผึ่งผาย ปรีชาสามารถเหนือผู้ใดทั่วหล้า เช่นนี้แล้วข้าจะมีหน้าไปพบเสด็จแม่ของเจ้าบนสรวงสวรรค์อย่างนั้นได้อีกรึ” องค์ชายรูปงามได้แต่ทรงยืนทำพระพักตร์นิ่งมิมีรับสั่งสิ่งใดออกมา ท่ามกลางสุรเสียงถอนพระทัยของพระปิตุจฉาเมื่อพระนัดดาองค์โปรดแสดงท่าทีเช่นนั้น “เฮ้อ! เป็นเสียแบบนี้ทุกคราครั้นข้าสอนสั่ง เจ้าช่างมิได้ดั่งใจเสด็จแม่ของเจ้าเอาเสียเลย มิหนำซ้ำจนป่านนี้ยังมิยอมแต่งตั้งพระชายา พระสนมมากมายที่เสด็จพ่อของเจ้าประทานให้เจ้ารับไว้แต่ไม่เรียกมาปรนนิบัติ ตกลงยังเป็นบุรุษอยู่อีกรึ จึงเฉยเมยและเย็นชากับอิสตรีถึงเพียงนี้” ครั้นพระนางสิฮันรับสั่งออกมาเช่นนั้น องค์ชายรูปงามมีสีพระพักตร์แปรเปลี่ยนไปทันทีทำท่ากระอักกระอวนใจอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว “ขะ... ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้นเสด็จอา เพียงแต่ภายในใจของข้ามิต้องการผู้ใดมาคอยปรนนิบัติเท่านั้นเอง และที่ไม่แต่งตั้งพระชายานั้นก็เพราะว่าพวกนางมิใช่อิสตรีในความคิดของข้า” รับสั่งของพระนัดดาทำให้พระนางสิฮันปวดขมับขึ้นมาทันใด ยิ่งฟังหลานรักยิ่งมึนเข้าไปใหญ่ “เจ้าช่างผิดแปลกไปจากพระเชษฐาองค์อื่นๆ ยิ่งนัก ในขณะที่เจ้ามิสามารถมีพระโอรสและพระธิดาแม้แต่พระองค์เดียว ในขณะที่พระเชษฐาของเจ้าองค์อื่นๆ มีโอรสและพระธิดาไม่ต่ำกว่ายี่สิบพระองค์ด้วยกันทั้งสิ้น ดูองค์ไทจื่อนั้นเล่า นอกจากจะเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ยังทรงเป็นนักรักผู้ยิ่งใหญ่ มีพระโอรสและพระธิดาสามสิบกว่าพระองค์แล้ว เจ้าช่างไม่เอาไหนเสียจริงๆ แทบจะทุกเรื่อง!!!” พระนางสิฮันรับสั่งตำหนิพระนัดดา จนพระพักตร์หล่อเหลาชวนฝันสลดลงไปโดยพลัน “ก็ข้าไม่ชอบผิดด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” พระองค์รับสั่งสุรเสียงอ่อยๆ “แม้นใจมิชอบแต่อย่างใด ฝืนหน่อยมิได้เชียวหรอกรึ! เรื่องอื่นๆ ที่เจ้ามิเอาถ่านเป็นเรื่องเป็นราวก็ทำให้ข้ากลัดกลุ้มเพียงพอแล้ว นี่ยังจะมีเรื่องทายาทสืบสายพระโลหิตอีกก็ยังไม่เอาไหน จะทำให้ข้าอกแตกตายไปถึงไหนจ้าวเฟยหลง ลองบอกข้ามาสิ!” พระนางสิฮันรับสั่งตำหนิพระนัดดาอย่างเหลืออด องค์ชายรูปงามได้แต่ทรงยืนอย่างสงบนิ่ง เมื่อถูกพระปิตุจฉารับสั่งตำหนิพระองค์เช่นนั้น “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าไม่เคยบังคับสิ่งใดกับเจ้าแม้แต่น้อย แต่เห็นทีครานี้จำต้องลงมือเสียแล้วเพื่อที่จะได้มีสายพระโลหิตสืบทอดต่อไป คืนนี้ข้าจะจัดส่งพระสนมให้เข้ามาปรนนิบัติเจ้าและอย่าทำให้ผิดหวังเชียวนะ หากข้าล่วงรู้ว่าเจ้าไล่ตะเพิดพวกนางออกจากตำหนัก ข้าจะโกรธ!!!” รับสั่งพร้อมทำสุรเสียงเข้มข่มขู่พระนัดดาเล่นเอาองค์ชายรูปงามแสดงสีพระพักตร์พะอืดพะอมอย่างเห็นได้ชัด “ตะ... แต่... แต่ข้า” องค์ชายเก้ารับสั่งได้เพียงเท่านั้นจำต้องเงียบพระสุรเสียงลงทันใด ครั้นขันทีที่คอยถวายการรับใช้ภายในพระตำหนักรีบรุดเข้ามาภายในห้องทรงพระอักษรอย่างเร่งด่วน “กราบทูลองค์ชายฝ่าบาทมีรับสั่งให้องค์ชายทุกพระองค์ไปเข้าเฝ้าในท้องพระโรงเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” “เดี๋ยวนี้อย่างนั้นรึ!” องค์ชายรูปงามรับสั่งอย่างแปลกพระทัยเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่อของเจ้ารับสั่งให้เข้าเฝ้าน้อยมาก เห็นทีครานี้คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกระมัง หาไม่แล้วคงไม่มีรับสั่งถึงองค์ชายทุกพระองค์ให้ไปเข้าเฝ้าในเวลาเช่นนี้เป็นแม่นมั่น” พระนางสิฮันรับสั่งพลางครุ่นคิดตาม ครั้นองค์ชายรูปงามได้ยินพระบัญชาให้เข้าเฝ้าเช่นนั้น พระองค์ฉวยโอกาสหลีกเร้นพระวรกายไม่ร่วมอภิรมย์กับเหล่านางสนมที่พระนางสิฮันทรงจัดหามาให้คืนนี้ รีบเดินทางไปเข้าเฝ้าทันที ทั้งๆ ที่ทรงปฏิเสธในการเข้าเฝ้าต่อหน้าท้องพระโรงมาโดยตลอด “ถ้าเช่นนั้นหลานขอตัวไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อตามพระบัญชาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งพร้อมหันพระวรกายพระดำเนินออกจากห้องทรงพระอักษรอย่างรวดเร็วก่อนจะมีรับสั่งสำทับตามติดมาโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย “ส่วนเรื่องพระสนมที่จะจัดส่งมาให้หลานคืนนี้ เสด็จอายกเลิกไปเลยพ่ะย่ะค่ะไม่ต้องส่งมาเพราะมิรู้ว่าครั้งนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนในการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” รับสั่งขององค์ชายเก้าทำให้พระเนตรของพระนางสิฮันเบิกกว้างขึ้นมาทันใดเมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “เจ้าหลานคนนี้! หลบอีกแล้ว! หาเรื่องหลบหลีกอีกจนได้... เจ้าเป็นบุรุษนะ เหตุใดไยต้องเกรงกลัวหญิงงาม!” รับสั่งต่อว่าไล่หลังพระนัดดา ท่ามกลางเสียงพระสรวลขององค์ชายรูปงามเมื่อทรงได้ยินถ้อยรับสั่งพระปิตุจฉาเช่นนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD