Just night : 5

3100 Words
ปริ้น! เสียงแตรรถที่ถูกบีบขึ้นมาทำให้เธอที่กำลังจมลงสู่ห้วงนิทรานั้นพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาหันซ้ายแลขวาโดยฉับพลันตามสัญชาตญาณ ซึ่งเธอก็ได้พบเห็นแล้วว่าตัวการของรถคันที่บีบแตรนั้นจอดอยู่ใกล้ ๆ เคียงข้างกับเธอ และเหตุผลของการบีบแตรนั้นก็เป็นการเรียกคนจากรถของเขาเองที่กำลังจะเดินเข้าไปภายในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดมันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเธอแต่อย่างใดเธอจึงละความสนใจออกจากพวกเขาเหล่านั้น จันทร์เจ้าหันมองไปรอบ ๆ กายอีกครั้งอย่างสำรวจว่าตอนนี้ตัวของเธอนั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งเธอก็พลันได้พบว่าตอนนี้ตัวของเธออยู่ภายในปั๊มชื่อดังแห่งหนึ่ง และตอนนี้รถก็จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อชื่อดังให้เธอรีบหันมองหาคนข้างกายโดยทันควันว่าเขาลงไปซื้อยามาทานแล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่าที่นั่งด้านข้างของเธอนั้นว่างเปล่า แต่เขากลับติดเครื่องยนต์เอาไว้ คงเป็นเพราะว่าเธอเผลอหลับไปอย่างแน่แท้เขาจึงไม่อยากรบกวน สายตาสอดส่องมองไปยังนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่ทางด้านหน้าของตน และเธอไม่แปลกใจกับตัวเองเลยที่เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่อาจจะรู้ได้แน่ชัด เพราะนี่มันเป็นเวลาตีสองแล้วแต่เธอยังคงอยู่ข้างนอก โดยที่ตัวของเธอเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะถูกพาไปที่ไหน ร่างของคนที่เธอเฝ้ารออยู่นั้นค่อย ๆ เดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับขนมคบเคี้ยวเต็มถุงเลขเจ็ดเด่นหรา แถมยังมีน้ำในแก้วที่เขาถือติดมือออกมาอีกด้วยต่างหาก จันทร์เจ้าเผลอขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจในทันใดเพราะพอจะเดาได้ว่าน้ำที่อยู่ในแก้วของเขาจะต้องเป็นกาแฟรสขมปี๋อย่างแน่แท้ แล้วเวลาตีสองมันเป็นเวลาที่สมควรแล้วหรือที่เขาจะดื่มกาแฟ แต่เมื่อกลับมาคิดหลักเหตุผลแล้วเธอเองก็ยังไม่รู้ได้แน่ชัดว่าเขากำลังจะพาเธอไปที่ไหน ดังนั้นหากเขาจะดื่มกาแฟเพื่อให้ตาตื่นในระหว่างที่ขับรถ มันก็พอจะหักล้างกันได้กับการที่เขาดื่มกาแฟในช่วงเวลานี้ สมัยที่เรียนมหาลัยฯ นับหนึ่งน่ะชอบดื่มกาแฟในช่วงเวลาใกล้ ๆ เที่ยงคืนเพื่อที่เขาจะได้ตาตื่นและมานั่งเล่นเกมกับเพื่อน ๆ ของเขา มันจึงทำให้เธอเอ็ดเขาอยู่บ่อยครั้งเพราะมันเสียสุขภาพ แถมในตอนเช้ามาเขายังชอบงอแงไม่ไปเรียนอยู่บ่อย ๆ ให้เธอต้องยื่นคำขาดในตอนนั้นเลยว่าหากยังเป็นอย่างนี้เธอจะไม่ปล่อยเอาไว้ แรก ๆ ก็เหมือนจะดีขึ้นบ้างแต่หลัง ๆ เขาก็เริ่มที่จะทำอีกในตอนที่เราสองคนแยกกันนอนที่คอนโดใครคอนโดมัน มันจึงทำให้เธอต้องเข้มงวดกับเขามากยิ่งขึ้นจนกลับกลายเป็นเขาที่อึดอัดและสั่งสมมาตลอดจนกระทั่งมาระเบิดใส่กันในวันนั้น ร่างของนับหนึ่งค่อย ๆ เดินมาที่รถแต่แล้วสองขาของเขาก็หยุดชะงักราวกับมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเขาเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ นับหนึ่งหันไปที่ร้านด้านข้างซึ่งอยู่ติดกับร้านสะดวกซื้อ และร้านนั้นก็ไม่ใช่ร้านอะไรที่เปิดในกลางดึกแต่เป็นเกมเซ็นเตอร์ขนาดย่อม ๆ ที่มีตู้คีบตุ๊กตาอยู่หลายตู้ท้าทายเกมเมอร์อย่างเขาให้ตาลุกวาว เขาหันมาสบมองที่รถเล็กน้อยและพยายามเพ่งมองให้เธอเผลอขบขันเพราะฟิล์มรถของเขามันมืดมากจนมองจากข้างนอกก็อาจจะทำให้มองไม่เห็นด้านในแต่เธอสามารถมองเห็นเขาได้ชัดแจ๋ว นับหนึ่งชั่งใจกับตัวเองเล็กน้อยว่าควรจะเดินกลับมาที่รถเลยดีไหมหรือว่าจะแวะเล่นเสียหน่อยดี...ซึ่งความท้าทายที่มันอยู่ในสายเลือดของเขาก็ทำให้เธอเดาได้ไม่ยากเลยว่าสุดท้ายแล้วฝีเท้าของเขาจะหันกลับไปข้างหลังและเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังเกมเซ็นเตอร์เล็ก ๆ นั่นในทันใด โชคดีเหลือเกินเพราะที่ที่เขาเลือกจอดรถนั้นมันอยู่กึ่งกลางระหว่างร้านสะดวกซื้อกับเกมเซ็นเตอร์พอดิบพอดี ซึ่งเธอสามารถมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจนจากที่ตรงนี้ นับหนึ่งล้วงเศษเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าของตนเองขึ้นมาสบมองดูอย่างพิจารณาว่าควรจะเล่นที่ตู้ไหน ก่อนตู้ที่เขาเลือกจะเดินเข้าไปนั้นจะทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวอีกครั้ง เพราะมันเป็นตุ๊กตาหมีตัวสีน้ำตาลชื่อดังและเขาเคยให้มันกับเธอแล้วครั้งหนึ่ง...ในตอนที่เธออยู่มัธยมปลายและเขายังเป็นเพียงแค่เด็กมัธยมต้นเท่านั้น วันที่ 1 “พี่จันทร์...นับขอโทษ” หญิงสาวที่เธอตั้งใจเดินมาหาที่ตึกมอปลายนั้นเดินผ่านหน้าของเธอไปโดยไม่แม้แต่จะหันมาสบมองกันเลยด้วยซ้ำไป วันที่ 2 “ไปเลยไอหนึ่ง...พี่เขาต้องชอบขนมที่มึงซื้อให้แน่!” เธอหันสบมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ยกมือขึ้นมาแตะไหล่กันอย่างให้กำลังใจ ก่อนที่เธอจะพยักหน้าตอบรับ และรีบเดินปรี่เข้าไปหาหญิงสาวในชุดมัธยมปลายที่เดินออกมาจากห้องเรียนพอดิบพอดีในช่วงพักเที่ยงของวัน “พี่จันทร์...” “เจ้า...ไปกินข้าวกัน” เจ้าหล่อนไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำไป แถมยังเดินหน้าผ่านเธอไปราวกับเห็นเธอเป็นอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น วันที่ 7 “ปิดมาส์กดี ๆ อย่าไปปล่อยหวัดใส่พี่เขาล่ะ” “เชื่อใจกูได้เลยเพื่อนรัก!” เธอยกมือทำท่าไฟต์ติ้งและแน่นอนว่าข้าวสวยเพื่อนสนิทของเธอนั้นก็ให้กำลังใจเธออย่างดีเยี่ยม ร่างสูงเกินวัยเดินปรี่เข้าไปหาหญิงสาวโดยมีดอกกุหลาบในมือหนึ่งดอก และมีความคาดหวังสูงสุดว่าเจ้าหล่อนจะคิดถึงกันบ้างเพราะเธอเป็นหวัดไม่ได้มาตามง้อเจ้าหล่อนตั้งนานหลายวันแล้ว “อ๊ะ!” “เวรแล้วไงไอหนึ่ง!” แต่ยังเดินไม่ทันถึงตัวเธอก็ดันสะดุดขาของตัวเองเข้าให้อย่างจังเพราะความเบลอ ๆ อึน ๆ ที่พึ่งทานยาเข้าไป จำให้ในครั้งนี้ใบหน้าของเธอจุ่มลงกับพื้นอย่างจังไม่มีอะไรมารองรับแทนกัน และเธอก็รู้สึกเจ็บจมูกของตัวเองมาก ๆ จนกังวลเลยว่าดั้งที่โด่งสวยของเธอนั้นมันจะยุบหายไปแล้วหรือยัง “เป็นไรไหม?” เสียงของคนที่มาเอ่ยถามกันนั้นกำลังทำให้เธอเผยยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง “ไอหนึ่ง!” แต่เมื่อมันเรียกชื่อกันเท่านั้นแหละ...รอยยิ้มของเธอก็พลันเลือนหายราวกับว่าไม่เคยมีมันอยู่บนใบหน้ามาก่อน เธอรีบเงยหน้าหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาคนที่เธอตั้งใจมาหาอีกครั้ง แต่เธอกลับพบแผ่นหลังไว ๆ ของเจ้าหล่อนที่เดินจากกันไปไกลแล้ว แถมเพื่อนที่เดินอยู่ข้าง ๆ กับพี่จันทร์เจ้านั้นยังหันมาสบมองเธอราวกับกำลังจะเยาะเย้ยกันอยู่กราย ๆ อีกด้วยต่างหาก... “กุหลาบมึง...โดนเหยียบเละหมดเลย” เธอหันมองตามที่เพื่อนสนิทของตนเองนั้นเอ่ยบอกในทันใด ก่อนจะได้เห็นดอกกุหลาบที่เธอเป็นคนถือมันมาในคราแรกนอนเละตุ้มเป๊ะไร้คนเหลียวแลอยู่ไกล ๆ จากการที่เธอสะดุดขาของตนเองจนล้มลงเมื่อสักครู่ และอยู่ ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้ได้อย่างไรอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่เธอเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตอนพี่จันทร์เจ้าตะโกนใส่หน้ากัน...มันยังไม่ได้รู้สึกหัวใจเจ็บจี๊ดเหมือนกับตอนนี้เลย ให้ตายสินี่เธอเป็นบ้าอะไร! “นับหนึ่งของเรา...โตพอจนรู้จักความรักแล้วสินะ” “ความรัก?” เธอเงยหน้าสบมองเพื่อนสนิทที่เลือกจะทบกระโปรงและนั่งลงมาอยู่เคียงข้างกันอย่างไม่ได้เหนียมอายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแต่อย่างใดเลย “ก็มันเจ็บจี๊ดเลยใช่ไหมล่ะหัวใจน่ะ โห่วเธอ...เจ็บจี๊ดส์” ข้าวสวยยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะไหล่ของเธอบางเบาราวกับให้กำลังใจพร้อมกับเอ่ยถามประโยคแปลก ๆ ให้เธอขมวดคิ้ว แต่บ้าจริงมันรู้ได้อย่างไรนะว่าเธอเจ็บจี๊ดที่ตรงหัวใจน่ะ! และมันก็ทำท่าเหม่อมองออกไปแสนไกลราวกับว่าตัวเองเป็นพระเอกในละครที่คิดในใจแต่ดันมีเสียงออกมาให้คนดูได้ยินอย่างไรอย่างนั้น แล้วจะเก๊กเสียงทำบ้าอะไร? “นี่มึงกำลังเล่นละครช่องไหนอยู่ไอข้าว?” “ช่องสามสิบ...เดี๋ยวกูก็โบกให้!” มันยกมือขึ้นมาตั้งท่าว่าจะตบกบาลเธอเสียจัง ๆ “แต่วันนี้จะยกโทษให้ก็แล้วกัน” “อ้าว...” แล้วอยู่ดี ๆ มันก็หดมือกลับลงไปวางที่ไหล่ของเธอดังเดิม “ก็มึงอะ เสียใจใช่ไหมที่พี่เขาไม่สนใจมึง...แถมดอกไม้ที่ตั้งใจจะซื้อให้พี่เขา ก็ดันมาเละไม่เป็นท่าอีก” “อือ...” มันก็น่าเสียใจจริง ๆ นะให้ตายเถอะ! เจ้าหล่อนเดินหนีเธอไปอย่างไม่มีเยื่อใย แถมยังไม่คิดจะพูดจากันเลยด้วยซ้ำ ไม่สิ...เรียกว่าไม่คิดจะมองหน้ากันราวกับเธอเป็นอากาศธาตุเลยถึงจะถูก “แล้วมีอาการเจ็บจี๊ด ๆ ที่หัวใจเหมือนมีมีดหลาย ๆ เล่มมาแทงด้วยใช่ปะ?” “นี่มึงก็เคยเป็นเหรอวะไอข้าว!” “เปล่าอะ...กูแค่เคยอ่านมา” “ไร้ประโยชน์!” “แต่กูรู้นะเว้ยว่ามันเป็นอาการของอะไร!” เธอหูผึ่งและรีบหันหน้าไปทางเพื่อนสนิทของตัวเองในทันทีเมื่อใกล้จะพบทางออก ซึ่งเมื่อข้าวสวยมองเห็นแล้วว่าเธอกำลังสนใจ เขาก็กลับไปทำทีท่าเหมือนพระเอกละครอีกครั้งให้เธอเผลอถอนหายใจออกมาเสียเต็มแรงและตั้งท่าที่จะลุกหนีเขาในทันใด “จะไปไหน?” “กูเบื่อจะคุยกับมึงละ” “แล้วมึงไม่อยากรู้อาการของมึงแล้วเหรอ?” “เดี๋ยวกูไปหาคำตอบเอาเองก็ได้!” “เห้ยไอหนึ่ง!” “โอ้ย!” บ้าเอ้ย! วันนี้ทั้งวันจะเป็นวันซวยของเธอหรือยังไงกันนะ เธอเงยหน้าสบมองคนที่เธอลุกขึ้นมาโดยไม่ทันระวังและชนเข้ากับหน้าอกตู้ม ๆ ของใครบางคนเข้าให้อย่างจังจนหน้าจมลงไปกับความนุ่มนิ่ม มันเป็นความนุ่มนิ่มที่เธอไม่อยากผละออก แต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนกระชากศีรษะอย่างไรอย่างนั้นมันจึงทำให้เธอจำต้องผละใบหน้าออกมาจากความนุ่มนิ่มนั้นอย่างแสนเสียดาย “ตอนแรกก็ว่าจะมาช่วย แต่ทะลึ่งตึงตังแบบนี้แล้วก็อยากจะเดินกลับไปทางที่มา...” เจ้าหล่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายและเธอไม่รู้จักเจ้าหล่อนด้วยซ้ำว่าหล่อนเป็นใคร แต่หน้าคุ้น ๆ แฮะ... “แกพึ่งเห็นหน้าฉันเมื่อห้านาทีก่อนเองนะ...นี่จำกันไม่ได้แล้วเหรอ?” นับหนึ่งพยายามนึกคิด...แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียที “สงสารคนโง่ที่โฟกัสแค่คน ๆ เดียวอย่างมันเถอะพี่ หากพี่รอให้มันนึกออกก็คงได้ยืนกันอยู่อย่างนี้จนเลิกเรียน” “นี่ฉันคิดผิดหรือคิดถูกที่เดินกลับมา...” เจ้าหล่อนยกมือกอดอกให้เธอที่พยายามนึกว่าเจ้าหล่อนเป็นใครในคราแรกต้องพลันยกนิ้วขึ้นมาดีดเพราะเธอจำเจ้าหล่อนได้ขึ้นใจแล้ว! “พี่นมใหญ่ที่ชอบมาซื้อหมูปิ้งหน้าโรงเรียนปะ?” “ฉันไม่เคยกินหมูปิ้งหน้าโรงเรียน” “หรือว่าเป็นคนที่ฉันเจอตอนอยู่ที่โรงอาหาร?” “คนเยอะน่ะ...ฉันชอบไปนั่งกินที่สนามบาสมากกว่า” “นึกออกแล้ว...คนที่เดินสวนกันหน้าห้องน้ำเมื่อเช้าไง!” “วันนี้ฉันมาเรียนสาย เข้าห้องก็คาบสามแล้ว” “หรือว่าจะเป็น...” “หยุดพูดจาไปเรื่อยเปื่อยสักทีเถอะไอเด็กนี่!” นับหนึ่งรีบหุบปากของตัวเองลงในทันใด “ฉันชื่อจันจิ...” “…” “แล้วฉันพึ่งเดินออกไปกับจันทร์เจ้าเมื่อกี้นี้!” วันที่ 14 ตอนนี้ร่างของเธอนั่งอยู่ที่สนามบาสในช่วงเย็นของวัน ทั้งมือของเธอก็ยังชื้นเหงื่ออย่างตื่นเต้นแต่เธอไม่ได้ตื่นเต้นแต่เพียงลำพังเพราะเคียงข้างของเธอนั้น...มีพี่หมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่ร้านค้าพึ่งจะเอามาส่งให้กับเธอเมื่อสักครู่นี้ที่หน้าโรงเรียน พี่จันจิบอกกับเธอว่าวันนี้ห้องเรียนของพี่เขามีเรียนเสริมภาษาฝรั่งเศษยาวจนถึงหกโมงเย็น แถมยังบอกความลับกับเธออีกด้วยว่าพี่จันทร์เจ้าน่ะ...ชื่นชอบเจ้าตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวนี้เป็นอย่างมากถึงขั้นเรียกได้ว่าคลั่งใคล้เลยก็ว่าได้ และเธอที่เมื่อได้รับรู้โค้ดลับที่พี่จันจิพยายามจะเอ่ยบอกต่อกันแล้ว เธอก็เงียบหายจากพี่จันทร์เจ้าไปกว่าเจ็ดวันเต็ม ๆ เพื่อไปเก็บเงินซื้อเจ้าหมีตัวใหญ่เท่าคนตัวนี้…และแอบจิ๊กเงินพ่อมาด้วยนิดหน่อยเพราะเงินสองสามวันก่อนที่เธออดขนมเพื่อเก็บเงิน มันทำให้เมื่อวานเธอวู่วามเหมาของกินหน้าโรงเรียนจนเงินเกลี้ยงกระเป๋าภายในวันเดียว “เจ้า...ฉันรออยู่ข้างล่าง!” “จะตะโกนทำไมจิ!” เธอได้ยินเสียงสัญญาณของพี่จันจิที่เราได้แอบเตี้ยมกันเอาไว้ก่อนแล้ว และมันก็ยิ่งทำให้เธอตื่นเต้นจนต้องผ่อนลมหายใจเข้าออกถี่รัวเพราะเธอกำลังทำตัวไม่ถูก และเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอะไรออกไปไม่ให้พี่จันทร์เจ้าต้องไม่พอใจอีก พี่จันจิสอนทฤษฎีรักให้เธอนิดหน่อยในช่วงพักเที่ยงกว่าหนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ และอาการต่าง ๆ ที่พี่เขาบอกแก่เธอนั้นมันดันตรงกับอาการที่เธอเป็นกับพี่จันทร์เจ้าทุกสิ่งอย่าง จนตอนนี้เธอเชื่อเต็มร้อยแล้วว่าพี่จันจิเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักอย่างถ่องแท้ “จิ อยู่ไหนอะ?” “ฉันเข้าห้องน้ำตึกหลัง แกอย่าพึ่งไปนะรอฉันก่อน” และพี่จันจิก็วิ่งอ้อมหลังตึกเพื่อเดินมาทางเธอ ซึ่งตอนนี้เธอแอบอยู่หลังพุ่มไม้และกำลังสังเกตการณ์อยู่ “ฉันจะทวงบุญคุณแกให้สาสมเลยนับหนึ่ง!” “หายใจหายคอเสร็จแล้วก็รีบ ๆ ไปได้แล้ว” “ไอเด็กบ้านี่!” พี่จันจิทำท่ากระฟัดกระเฟียดแต่ก็ยอมเดินจากไปแต่โดยดี ตอนนี้คนอื่น ๆ ทยอยกลับกันไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่พี่จันทร์เจ้าที่ยังยืนชะเง้อมองหาพี่จันจิที่ตอนนี้เจ้าตัวคงจะขึ้นรถกลับไปถึงบ้านแล้วก็ไม่อาจจะรู้ได้ นับหนึ่งสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียกความกล้า ก่อนที่เธอจะอุ้มพี่หมีขึ้นมาบังหน้าของเธอเอาไว้และเดินออกไปจากมุมมืด โดยเป้าหมายของเธอนั้นคือพี่จันทร์เจ้าที่ตอนนี้เธอก็ไม่อาจจะรู้ได้แน่ชัดว่าเจ้าตัวกำลังแสดงสีหน้าเช่นไรอยู่ คำพูดมากมายที่เธอตั่งเตรียมเอาไว้ก่อนหน้าเลือนหายราวกับมันไม่เคยมีอยู่ในหัวสมอง ท่าทางทุกอย่างที่ได้ซ้อมเอาไว้กับเพื่อนสนิทก็ถูกความตื่นเต้นนั้นกลบให้มันเลือนหายไปเช่นกัน...ซึ่งตอนนี้ในสมองของเธอนั้นมีแต่ความว่างเปล่า นับหนึ่งสัมผัสได้ถึงมือของตัวเองที่ชื้นเหงื่อและเธอกำลังกอดพี่หมีเอาไว้แนบแน่นอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอนึกออกในตอนนี้มันมีเพียงแค่คำเดียวที่ผุดขึ้นมา ซึ่งมันเป็นคำที่พี่จันจิเป็นคนบอกกับเธอและเธอเชื่ออย่างหมดใจเลยว่าผู้เชี่ยวชาญด้านความรักอย่างพี่จันจินั้น...จะนำพาให้เธอผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดี “นับชอบพี่...” “…” “ได้โปรดรับพี่หมีตัวนี้กลับไปนอนกอด...ทดแทนตัวของนับที่ไม่สามารถให้พี่เอากลับไปนอนกอดที่บ้านไว้ด้วยนะคะพี่จันทร์เจ้า!” “...” ความเงียบสงบแบบนี้...มันคืออะไรกันนะ เธอไม่กล้าลดพี่หมีให้ออกไปจากการบดบังใบหน้าเลย แต่ถ้าเธอไม่ลดพี่หมีลงเธอจะรู้ได้อย่างไรกันล่ะว่าตอนนี้เจ้าหล่อนยังคงยืนอยู่และยังไม่ได้วิ่งหนีกันไปแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วนับหนึ่งก็ลดพี่หมีลงเพื่อให้ตัวเองได้แน่ใจว่าเจ้าหล่อนยังคงยืนอยู่ ก่อนสิ่งที่เธอได้พบเห็นจะทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว...สั่นไหวเป็นจังหวะเดียวกับจังหวะแรกที่เธอได้พบเจอพี่จันทร์เจ้าในตอนที่ก้าวลงมาจากรถยนต์คันหรูเมื่อวันนั้น ใบหน้าของเจ้าหล่อนขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อราวกับตกแต่งใบหน้า และแววตาของหล่อนนั้นก็กำลังไหวไปมาเป็นประกายสุกใสอย่างน่ารักน่าชังเสียจนคนที่ได้สบมองอย่างเธอนั้น...ใจเจ็บไปหมด “ใครมันจะไปอยากนอนกอดเธอกัน!” หัวใจของเธอหล่นวูบเมื่อได้ยินประโยคนั้น “แต่ถ้าให้พี่หมีมาแล้ว...จะมาเรียกเอาคืนที่หลังไม่ได้แล้วนะ” รู้งี้เธอซื้อให้หล่อนเสียตั้งแต่วันแรกก็น่าจะดี!

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD