Just night : Intro
เพล้ง!
“เห้ย! เสียงไรวะ?”
“เดี๋ยวกูไปดูแปป มึงเล่นไปก่อนเลย”
“เออ ๆ รีบมานะเว้ย”
“เออ”
ร่างสูงถอดหูฟังออกจากศีรษะ
ก่อนที่เธอจะหันมองไปที่ประตูห้องและก็พลันต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างรู้สึกท้อแท้ เพราะเธอคิดอยู่แล้วร้อยทั้งร้อยว่าเสียงดังที่เกิดขึ้นมาที่ด้านนอกห้องของเธอนั้นมันเกิดมาจากเหตุผลอะไร
ร่างสูงในชุดเสื้อนักศึกษากางเกงขาสั้นหลับตาลงเล็กน้อยอย่างรวบรวมสมาธิ ก่อนที่มือของเธอนั้นจะเอื้อมไปหมุนลูกบิดและก็พาร่างของตนเองออกไปจากห้องนอน
เศษแจกันที่ตกแตกกระจายกับร่างของหญิงสาวที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีปรากฏแก่สายตา และเธอคาดคิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ว่ามันเป็นฝีมือของผู้หญิงคนนี้
“นี่พี่ทำอะไร?”
เจ้าหล่อนละความสนใจออกจากแจกันและเงยหน้าขึ้นมาสบมองเธอ
ดวงตาของเจ้าหล่อนมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างสำรวจ ก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าของเธอนั้นจะแสยะยิ้มออกมา และยกมือกอดอกอย่างวางมาดให้เธอได้แต่ขมวดคิ้วฉงนเพราะเจ้าหล่อนไม่มีความสำนึกผิดใด ๆ ที่แสดงออกมาให้เธอได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ไปเรียน?”
เธอไหวไหล่อย่างไม่ได้สนใจในคำถามนั้น
“นับหนึ่ง...เมื่อไรเธอจะเลิกทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ แบบนี้สักที!”
เจ้าหล่อนตะคอกใส่กันเสียงดังลั่นด้วยความเหลืออดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน...และมันทำให้เธอที่พยายามเก็บกลั้นอารมณ์ของตนเองก็เริ่มที่จะทนไม่ไหวกับความไม่เข้าใจอะไรเลยของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนสาวเหมือนกัน
“อ๋อ...แล้วที่พี่มาประชดให้นับสนใจพี่ด้วยการขว้างแจกันให้แตก มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระเลยดิ!”
“นับหนึ่ง!”
“เคยเข้าใจอะไรกันบ้างไหม วัน ๆ พี่ก็เอาแต่เรียน ทำงานมหาลัยฯ ทำงานคณะ แถมยังให้ปิดคนอื่นอีกว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน พี่ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่านับก็มีความรู้สึก!”
“นับหนึ่ง!”
“นับต้องเป็นดั่งใจพี่ ต้องเรียนเก่งให้ได้เหมือนพี่ ต้องทำทุกอย่างให้เหมาะสมกับพี่ ทั้ง ๆ ที่นับก็อยากจะใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนกัน...พี่ยังมีหน้ามาบอกว่านับทำเรื่องไร้สาระงั้นเหรอ!”
เธอตวาดใส่หญิงสาวตรงหน้าไปด้วยความเหลืออดจากทุกเรื่องที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลากว่าห้าปีที่เราคบกันมา
นับหนึ่งรู้ดีว่าเธอไม่เหมาะสมกับเจ้าหล่อนเลยด้วยซ้ำแต่เจ้าหล่อนก็ยังยอมรับและให้สถานะกับเธอ เธอจึงอยู่ในเงามืดไม่เปิดเผยตัวตนมาโดยตลอดตั้งแต่มัธยมปลาย และพยายามจะเข้าใจกับทุกเรื่องของเจ้าหล่อน...แต่ตอนนี้เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว
“ก็เป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือไงว่ารับได้ รับได้ทุกอย่าง...”
“แล้วพี่คิดจริง ๆ เหรอวะ...ว่าคนเรามันจะรับได้ทุกอย่างอย่างที่ปากพูดจริง ๆ อะ!”
เธอน้ำตาไหลพราก...แต่มันกลับรู้สึกดีฉิบหายที่ได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจตลอดหลายปีออกไป
เป็นไงเป็นกัน วันนี้ให้มันรู้กันไปเลยว่าเจ้าหล่อนจะเลือกเธอและปรับเปลี่ยนความคิดของตนเองใหม่...หรือเจ้าหล่อนจะยังคงยึดมั่นในความเหมาะสมบ้า ๆ บอ ๆ ของตนเองอยู่
“ถ้าเป็นแบบนั้น...เราก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้”
“นี่พี่ว่าไงนะ...”
น้ำตาของนับหนึ่งรินไหลลงมาเป็นสายอย่างกลั้นมันไม่ไหวอีกต่อไป...
สุดท้ายแล้วสิ่งที่เจ้าหล่อนเลือกก็คือความเหมาะสมบ้า ๆ บอ ๆ อย่างนั้นน่ะหรือ...เจ้าหล่อนจะทิ้งเธอไปทั้ง ๆ ที่เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อเจ้าหล่อนมาตั้งมากมายขนาดนี้น่ะนะ?
ห้าปีที่ผ่านมาของเรามันไม่มีความหมายเลยหรืออย่างไร...
“บางทีพวกเรา...เป็นพี่น้องกันอาจจะเหมาะสมกว่า”
“พี่น้อง?”
นับหนึ่งหัวเราะหึออกมาอย่างรู้สึกสมเพช
“พี่น้องที่ไหนมันเอากันมาตั้งห้าปีวะ!”
เจ้าหล่อนก้มหน้าหลุบตาลงต่ำไม่ปริปากพูดสิ่งใดต่อ ตามประสาลูกผู้ดีที่ไม่กล้าพูดแม้กระทั่งคำหยาบคาย...และเราสองคนต่างกันมากโข
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็เชิญไปหาคนอื่นที่พี่ต้องการเถอะ นับคงทนเป็นคนแบบนั้นให้พี่ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว”
“…”
“เราเลิกกัน!”
และเธอก็หันหลังให้กับเจ้าหล่อนในทันใดด้วยความผิดหวังที่ก่อตัวขึ้นมาภายในจิตใจ
ปัง!
เธอปิดประตูห้องนอนลงอย่างรุนแรงแสดงถึงพฤติกรรมก้าวร้าวที่เธอไม่เคยกระทำต่อเจ้าหล่อนเลยแม้เพียงสักครั้งตลอดระยะเวลาเกือบหกปีที่เราสองคนนั้นคบกันมา
นับหนึ่งพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏโปรแกรมเกมเด่นหรา ก่อนที่เธอจะกลับไปนั่งประจำที่ สวมใส่หูฟังกลับเข้าไปดังเดิมโดยไม่วายเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่เธอรับรู้ดีว่ามันคงจะได้ยินทุกบทสนทนาของเธอจนหมดสิ้น
“หนึ่ง มึงเป็นไร...”
“อย่าพูดมาก...”
“...”
“ทีมต้องการพวกเรา!”
กึก!
คนหน้าหวานที่กำลังนอนหลับใหลขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่รบกวนแต่เธอก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาสบมองดูมันแต่อย่างใด
กึก!
เสียงนั้นยังคงเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เธอก็เหนื่อยล้ากับการทำงานมาตลอดทั้งวันจึงทำให้ยังไม่คิดที่จะสนใจและลืมตาขึ้นมาสบมองดูเลยว่ามันเป็นเสียงของอะไรกันแน่
กึก!
แต่ถ้าหากเสียงยังดังอย่างต่อเนื่องแบบนี้...คนหลับยากอย่างเธอคงข่มตาลงนอนไม่ได้เป็นแน่แท้!
สุดท้ายแล้วเธอก็เลือกที่จะลุกขึ้นมานั่งด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยตามประสาคนหลับยาก เธอหันไปสบมองประตูระเบียงที่มีม่านปิดเอาไว้อย่างมิดชิด และก็ได้เห็นอีกครั้งว่ามันมีบางสิ่งมากระทบเข้ากับประตูระเบียงของเธออีกครั้งแล้ว ซึ่งดูจากลักษณะแล้วมันคือก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ไม่ผิดแน่
เธอค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจนเต็มความสูงและเดินตรงไปทางระเบียงอย่างระแวดระวัง มือของเธอค่อย ๆ แง้มเปิดผ้าม่านออกจนพอจะมองเห็นอะไรได้บ้าง แต่ความมืดมิดด้านนอกก็ทำให้เธอเริ่มขนลุกเพราะเธอยังมองไม่เห็นอะไรเลยนอกเสียจากรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ที่หน้าบ้านเท่านั้น
รถยนต์ที่น่าจะไม่มีคนอยู่ด้านใน เพราะแม้กระทั่งไฟหน้ารถเจ้าของยังไม่คิดที่จะเปิดมันเลยแม้เพียงแต่น้อย...
เธอหมุนตัวออกมาจากระเบียงเตรียมจะโทรไปหาเพื่อนสนิทเพราะกำลังรับรู้ถึงความไม่ปลอดภัย
“จันทร์เจ้า! แกได้ดูเวลาไหมว่านี่มันกี่โมง!”
“อย่าพึ่งดุ...ฉันรู้สึกว่ามีคนมาขว้างก้อนหินใส่ประตูระเบียง”
เธอได้ยินเสียงกุกกักจากฝั่งของทางเพื่อนสนิท
แอบได้ยินเสียงผู้หญิงงัวเงียจากปลายสายตามมาอีกด้วยแผ่วเบา เดาได้ว่าหล่อนคงปลุกภรรยาให้ลุกขึ้นมาเตรียมตัวที่จะมาหาเธอแล้วในอีกไม่ช้านานนี้
“แกอยู่ในบ้านห้ามเปิดประตูออกไปเด็ดขาดเลยนะเจ้า อย่าวางสายด้วยฉันขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน!”
คนร้อนรนในตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เธอแล้วล่ะ
เธอยอมทำตามคำบอกกล่าวของเพื่อนสนิททุกประการแต่เธอก็ยังดื้อดึงอยากจะรู้ว่าคนด้านนอกนั้นเป็นใครกันแน่เธอจึงเลือกจะลุกขึ้นไปดูที่บานกระจกอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอเลือกที่จะเปิดผ้าม่านให้กว้างขึ้นอีกหน่อยเพื่อที่จะได้มองเห็นวิสัยทัศน์ที่มันกว้างขึ้น เสียงก้อนหินที่กระทบกับกระจกก็เงียบลงไปแล้วตอนนี้เธอจึงกำลังชั่งใจว่าควรที่จะเปิดประตูออกไปดูดีไหมเผื่อมีคนกำลังต้องการความช่วยเหลือ
“จันทร์เจ้า...แกยังอยู่ไหม?”
“อยู่ ๆ ฉันยังไม่ได้ออกไป”
เธอร้อนรนรีบบอกออกไปแบบนั้น
“ตอบแบบนี้แสดงว่ากำลังลังเลว่าจะออกไปดีไหมใช่หรือเปล่า อย่าทำอะไรบ้า ๆ แล้วเดินกลับมารอในห้องเลยนะ ฉันกับผัวออกมาแล้วและกำลังจะไปหา”
ความสนิทสนมไม่ได้ทำให้ปลายสายกระดากอายกับการเรียกภรรยาของตนเองว่าผัวแม้ว่าภรรยาของจันจิจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน
และเธอก็ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรด้วยเพราะครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยคบกับผู้หญิง...และในรัฐบาลสมัยนี้ก็มีกฎหมายของประเทศไทยอย่างสมรสเท่าเทียมแล้วอีกด้วยต่างหาก
อาจจะเป็นแค่คนบางส่วนเท่านั้น...ที่ยังไม่ยอมเปิดใจรับมัน
โทรศัพท์ยังคงอยู่ที่หูของเธอแต่สายตาของเธอกำลังจดจ้องมองไปรอบ ๆ บ้านอย่างคนใคร่รู้ เธอพยายามสอดส่องมองหาไปรอบสารทิศ
แต่แล้วคน ๆ หนึ่งที่ปรากฏออกมาก็ทำให้ดวงตาของเธอเบิกโพล่งอย่างตื่นตระหนก...
“นับหนึ่ง...”
“แกว่าไงนะ?”
เป็นเสียงของปลายสายที่ดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างตั้งคำถาม
หัวใจของเธอเต้นระส่ำเมื่อได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นรักครั้งแรกของเธอปรากฏตัวอยู่แถว ๆ รั้วของบ้าน และที่มันทำให้เธอสามารถมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจนก็คงจะเป็นเพราะเสื้อยืดตัวสีขาวที่เขาชอบใส่อยู่เป็นประจำเสมอ ๆ
เขาเดินกลับมาที่รั้วบ้านของเธอพร้อมกับหินก้อนเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือจำนวนหลายสิบก้อน เดาว่าน่าจะไปหามาจากข้างทางตอนที่เสียงมันเงียบไป
นับหนึ่งกำลังตั้งท่าเตรียมจะปาเข้ามาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นเธอแล้วว่าเธอมาแอบมองเขาอยู่ที่ตรงนี้ คนเด็กกว่ายกยิ้มกว้างออกมาเมื่อพบเห็นเธอ แต่สิ่งที่เธอทำคือการปล่อยมือของตนเองออกจากผ้าม่านพร้อมกับที่เธอรีบถอยหลังกลับเข้ามาในห้องของตนเองอีกครั้ง
ตึกตัก ตึกตัก
เธอยกมือกุมที่หัวใจของตนเองเอาไว้เพราะมันไม่ได้เต้นเป็นจังหวะแบบนี้มานานมากแล้วตั้งแต่ที่เราสองคนเลิกรากันไป แม้มันจะผ่านมานานหลายปี...แต่หัวใจไม่รักดีของเธอก็ยังคงสั่นไหวเสมอเมื่อได้พบเห็นเขาไม่ว่าจะเป็นในช่องทางไหน
“แกยังอยู่ไหมเจ้า?”
“อยู่ ๆ ฉันยังอยู่”
“ฉันได้ยินแกเรียกชื่อนับหนึ่ง สรุปมันมาหาแกเหรอ?”
ในตอนนั้นเธอชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป...บวกกับที่เธอเกรงใจภรรยาของเพื่อนสนิทด้วยที่ต้องขับรถมาหากันในยามวิกาลเช่นนี้เพราะความบ้าบอของเธอเอง
“ไม่ใช่...แกไม่ต้องมาหาฉันแล้วก็ได้”
“อ้าว! แกมีพิรุธนะเจ้า...สรุปหนึ่งมันไปหาแกจริง ๆ ใช่ไหม?”
ความโกหกคนไม่เก่งกำลังทำให้เธอสั่นกลัว
แต่เธอตัดสินใจแล้วในตอนนี้ว่าเธอจะไม่รบกวนเพื่อนสนิทอีกแล้ว เธอจึงจำใจกัดฟันพูดพร้อมกับสารภาพผิดอยู่ภายในใจและขอโทษจันจิเพื่อนสนิทอีกเป็นพัน ๆ ครั้งในจิตใต้สำนึก
“ฉันเข้าใจผิด...มันเป็นเสียงของคนข้างบ้าน”
หัวใจของเธอสั่นไหวเพราะหวาดกลัวว่าเพื่อนจะไม่เชื่อกัน
และจันจิก็เงียบไปนานหลายนาทีราวกับชั่งใจ...ผิดกับหัวใจของเธอที่สั่นไหวอย่างตื่นเต้นเหมือนกับจะทะลุออกมาจากอกให้ได้เลย
“โอเค ๆ ถ้ามีอะไรแกรีบโทรหาฉันเลยนะ เข้าใจไหม?”
แล้วก็ได้แต่โล่งใจที่สุดท้ายจันจิก็ยอมล่าถอยแม้ว่าเธอจะโกหกไม่เก่งเลยก็ตามที
“โอเค ขอบใจแกมากนะจิ แล้วก็ฝากขอโทษพี่เบลด้วย”
และเธอก็ตัดสายจากเพื่อนสนิทไปในทันใด
แต่ตอนนี้ความหนักใจของเธอกลับมาที่ตรงนี้อีกครั้ง เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเอาอย่างไรกับคนที่อยู่ด้านนอกรั้วบ้านของตนดี
จันทร์เจ้าลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดม่านดูอีกครั้งว่าเขายังอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าเขายังคงสบมองมาที่ห้องนอนของเธอ และเมื่อยามที่เขาเห็นว่าเธอเปิดม่านมาแอบมองดูเขา นับหนึ่งก็พลันยกยิ้มออกมาราวกับเป็นการเรียกกันนัย ๆ ให้เธอลงไปหา
ตอนนี้ในหัวใจของเธอกำลังประท้วงกันอย่างหนักหน่วงว่าควรจะทำอย่างไร...
สมองของเธอสั่งให้อย่าสนใจเพราะเขาเป็นคนที่บอกเลิกเธอเองในวันนั้น...แต่หัวใจของเธอดันสั่งขาของเธอให้เดินไปที่หน้าบ้านจนสุดท้ายเราสองคนก็ได้เผชิญหน้ากันแล้วในรอบเจ็ดปีที่ผ่านมา
นับหนึ่งยังคงเหมือนเด็กมหาลัยฯ ในวันนั้นไม่มีเปลี่ยนผัน...
ยังคงมีสไตล์การแต่งตัวเดิม ๆ ที่เธอจดจำได้เป็นอย่างดี...ไม่ต่างกันกับเธอที่ยังคงใช้ลิปสติกสีคลาสสิคเดิม ๆ ยี่ห้อเดิม ๆ ที่เขาเป็นคนซื้อให้ในวันครบรอบของเรา
“มาทำไม...”
“ไปนั่งรถเล่นกันไหม?”
แน่นอนอยู่แล้วว่าสมองของเธอมันสั่งให้ตอบปฏิเสธออกไปแบบไม่ต้องไตร่ตรองแต่อย่างใดเลย...