ลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านผิวกายของเธอในตอนนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจมาก ๆ จนเผลอปล่อยกายปล่อยใจของตัวเองไปกับสายลมพร้อมกับความเงียบสงบ เพราะเราสองคนไม่ได้มีบทสนทนาใด ๆ ต่อกันเลย แต่เธอกลับรู้สึกสบายใจมาก ๆ ที่ในค่ำคืนนี้เธอได้ออกมากับนับหนึ่ง...อดีตคนรักเก่าของเธอ
ตั้งแต่ที่เราสองคนเลิกลากันไปแล้วเธอก็ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับใครอีกเลยนอกจากการทำงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จันทร์เจ้าจำได้ว่าช่วงหนึ่งเธอไม่คุยกับใครเลยด้วยซ้ำและเอาแต่ทำงาน ขนาดป๊าของเธอที่แวะเวียนมาหาที่คอนโดบ้างเธอยังไม่ค่อยได้พูดคุยกับท่านเท่าไรเพราะเธอทำตัวเองให้ยุ่งอยู่เสมอจะได้ไม่ต้องคิดมากถึงเรื่องของคนที่พึ่งจะเลิกลากันไป
ในช่วงระยะเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอก็มีคนเข้ามาในชีวิตอยู่บ้างทั้งชายและหญิง แต่เธอกลับไม่เคยโฟกัสในสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นทำให้กับเธอเลยแม้เพียงแต่น้อย และยังเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนได้รับความไว้วางใจจากผู้หลักผู้ใหญ่แต่เธอกลับไม่ได้พูดคุยกับคนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเลยด้วยซ้ำไป
มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอลองคุยดูเพราะได้รับการแนะนำมาจากป๊าเนื่องจากว่าเขาเป็นลูกคนจีนเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราสองคนก็ห่างหายกันไปและมันก็เป็นเพราะตัวของเธอเองไม่ใช่ความผิดของชายหนุ่มคนนั้นแต่อย่างใดเลย
กลับกันเขาดีกับเธอมาก ๆ ด้วยซ้ำไป...ดีจนเธอเผลอคิดไปถึงอนาคตที่ได้เขามาเป็นสามีเลยว่าเธอและลูกของเธอนั้นจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ หากได้เขามาเป็นคู่ชีวิตและพ่อของลูก
และมันก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าถ้าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่านี้...เราจะไปด้วยกันได้หรือเปล่า?
แต่ก่อนที่เราสองคนจะห่างหายเธอยังจำประโยคหนึ่งที่เขาเคยถามเธอเอาไว้ได้มาจนถึงตอนนี้...
‘คุณเจ้าเคยมีแฟนหรือรักใครบ้างหรือเปล่าครับ?’
เธอสบมองใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความสงสัยว่าเขาเอ่ยถามแบบนั้นกับเธอเพราะเหตุใดกัน
‘หรือว่าคุณยังไม่ลืมคนรักเก่าของคุณหรือเปล่าครับ...ผมไม่เห็นทีท่าของคุณที่จะเปิดใจให้กับผมเลย’
‘…’
‘ขนาดผมนั่งอยู่ข้างคุณตรงนี้ คุณยังใจลอยราวกับกำลังคิดถึงคนอื่นอยู่...ไม่ได้มีผมอยู่ในสายตาของคุณเลยด้วยซ้ำไป’
ซึ่งสุดท้ายมันก็จบลงที่เขาเป็นคนถอยห่างจากไปเองอย่างยอมแพ้...มันเป็นเพราะตัวของเธอเองที่ยังคงนิ่งเฉยไม่มีความรู้สึกอะไรกับเขาเลย
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้มาคิดกับตัวเองอีกครั้งว่าเธอเป็นอย่างที่เขาบอกจริง ๆ น่ะหรือ...
จันทร์เจ้าไม่ได้ปิดกั้นตัวเองในเรื่องความรักและเธอยินดีเสมอหากจะมีใครเข้ามาทำความรู้จัก...แต่เธอเพียงแค่ยังไม่ได้อยากจะมีความรักและอยากที่จะตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองให้ดีเสียก่อน
เธอคิดแบบนั้นมาเสมอจนกระทั่งครั้งหนึ่งเธอลองตั้งใจดูเหตุผลที่แท้จริงของตนเองและเธอก็ได้พบว่า...เธอเห็นนับหนึ่งซ้อนทับอยู่กับพวกเขาเหล่านั้นเสมอ
และตลอดมาเธอยังไม่สามารถมองเห็นใครที่ทำให้เธอมีความรู้สึกได้เหมือนกับนับหนึ่งเลยแม้แต่คนเดียว...
เธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครแม้กระทั่งจันจิเพื่อนสนิทที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของเธอตั้งแต่สมัยมอปลาย และเธอปกปิดมันเอาไว้ให้อยู่ภายในจิตใจส่วนที่ลึกที่สุดของเธอ ซึ่งเธอคิดว่าเธอทำมันได้อย่างดีเยี่ยมแล้วมาตลอด...จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยของเขาดังมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งภายในบริษัทที่เธอนั้นเป็นเจ้าของ
จันทร์เจ้าไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าเธอเผลอเดินตามเสียงของเขาด้วยหัวใจที่สั่นไหวไปตั้งแต่ตอนไหน และแน่นอนว่าเมื่อพนักงานเห็นว่าเธอเดินมาทางโต๊ะของพวกเขา พวกเขาก็รีบเปลี่ยนหน้าจอไปเป็นหน้าของการทำงานในทันใด ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอใช้อำนาจของตนเองในการบังคับขู่เข็ญให้ลูกน้องยอมเปิดหน้าจอที่เธอมั่นใจว่ามันเป็นน้ำเสียงของนับหนึ่ง
และทันทีที่ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่ในแพลตฟอร์มฟังเพลงชื่อดังสีแดง หัวใจของเธอที่ราวกับหล่นหายไปตลอดห้าปี...ก็กลับมาเต้นแรงเป็นจังหวะอีกครั้งแค่เพียงได้เห็นใบหน้าของเขาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
เธอจำได้เลยว่าตัวเองเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของตนเองอย่างรวดเร็วและค้นหาชื่อช่องที่ลืมจดจำเอาไว้ด้วยความน่าจะเป็นไปได้ทั้งหมด
ทั้งชื่อที่เพื่อนของเขาชอบเรียก ทั้งชื่อที่เป็นสัตว์เลี้ยงตัวแรกของเขา...แต่ผลปรากฏว่าเธอไม่พบเจอกับสิ่งที่กำลังตามหาอยู่เลยและมันช่างไร้ความหวัง
จนกระทั่งเธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...และนั่นก็คือชื่อที่เธอเคยตั้งเป็นชื่อเกมให้กับเขาครั้งหนึ่งตอนที่เขาตื้อให้เธอช่วยคิดเพราะเขาคิดเองไม่ออก
nappJunnp
สองมือกดลงไปที่แป้นพิมพ์อีกครั้งอย่างมีความหวัง...ก่อนสุดท้ายใบหน้าของเขาจะโชว์หราขึ้นมาบนแฟลตฟอร์มให้เธอเผลอเผยยิ้มกว้าง จนเลขาที่เดินเข้ามาโดยที่เธอก็ไม่ทันได้มองเห็นนั้นยังตกใจกับใบหน้าของเธอที่หล่อนบอกว่ามีความสุขมากจนหล่อนเผลอยกยิ้มตาม
ในตอนที่เธอได้เห็นเขาในตอนแรกเขายังมีผู้ติดตามเพียงแค่หลักพันกับการแคสเกมไปเรื่อยเปื่อย จันทร์เจ้าใช้ช่วงเวลาเลิกงานของตนเองที่ควรจะทำงานกลับมานั่งไล่ดูคลิปของเขาตั้งแต่คลิปแรกจนมาถึงคลิปปัจจุบันพร้อมกับกดกระดิ่งเฝ้ารอคอยว่าเขาจะอัปโหลดคลิปใหม่ในช่วงเวลาไหน
มีช่วงหนึ่งที่เขาหายไปถึงสองสัปดาห์เต็ม ๆ ให้เธอเผลอนึกใจหายเพราะคิดว่าเขาจะเลิกทำช่องไปแล้วเพราะคนติดตามของเขาดูไม่กระเตื้องขึ้นเลย ก่อนที่เขาจะกลับมาในอาทิตย์ใหม่พร้อมกับน้ำเสียงแหบแห้งที่เฉลยแล้วว่าเขาป่วยหนักมากจนไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาเล่นเกมที่ค้างเอาไว้ได้
เธอรู้จักนิสัยของนับหนึ่งดีว่าเขาเป็นคนทำอะไรแล้วทำสุด นับหนึ่งเป็นคนที่มีความพยายามมากกับทุกสิ่งที่เขาชอบ...แต่ถ้าหากเขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วมันยังไม่ปรากฏผลเขาจะเลิกทำสิ่งนั้นไปเลยและไม่หวนกลับมาทำมันอีกเพราะเขารู้ว่าทำไปอย่างไรผลมันก็เป็นอย่างเดิม
ความหวาดกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจจากผู้ติดตามคนหนึ่งของเขาที่อยากจะให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักต่อ เธอเลยใช้เพจหลักของบริษัทที่มีผู้ติดตามกว่าหลายแสนคนช่วยแชร์คลิปของเขาลงสู่โซเชียล...แถมยังช่วยซื้อโฆษณาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีเต็มจนตอนนั้นบริษัทของเธอปั่นป่วนไปหมดเพราะคิดว่ามีคนแฮ็กเพจของบริษัท
เธอปล่อยเบลอเรื่องนี้ไปจนพนักงานคิดว่าเธอผีเข้าที่ไม่ยอมเอาความ แต่สุดท้ายเรื่องมันก็ซาไปพร้อมกับที่ช่องของนับหนึ่งเริ่มมีผู้ติดตามมากขึ้นจนทะลุหนึ่งล้านคนภายในระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น
นับหนึ่งออกมาสารภาพในไลฟ์สดของตนเองว่าเขาตกใจมากที่มีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนั้น จนกระทั่งมีแอคหนึ่งที่ติดตามเขาอยู่มาเฉลยว่ามีบริษัทยิงแอดให้กับช่องของเขา ซึ่งเขาก็รีบขอบคุณเป็นการใหญ่ทั้งยังให้เจ้าของบริษัทนั้นติดต่อเขาไปอีกเพื่อที่เขาจะทำอะไรบางอย่างให้เป็นการชดเชย
แต่เธอก็ทำเพียงเฝ้ามองความสำเร็จของเขาที่เติบโตขึ้นในทุก ๆ วันก็เพียงเท่านั้น...พร้อมกับที่เขาอาจจะหลงลืมมันไปตามกาลเวลาเพราะเขาเริ่มไม่ได้พูดถึงมันอีกเมื่อเวลาเริ่มเดินต่อไปจนกระทั่งผ่านมากว่าสองปีแล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
มันเป็นเพียงคอมเมนต์เดียวที่พูดถึงบริษัทของเธอ...แต่หลัก ๆ ส่วนใหญ่ก็บอกว่าเสียดายที่มารู้จักเขาช้าไปเพราะเขาเป็นคนที่มีความสามารถในการเล่นเกมมาก ๆ แถมการดำเนินเนื้อเรื่องในเกมของเขาก็ดี ทั้งภาษาก็ยังอ่านได้อย่างไม่มีติดขัด ซึ่งเธอมองว่านั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้คนมาติดตามเขา ไม่ใช่เพราะเธอหรอกที่ทำให้เขามีได้ดั่งทุกวันนี้
นับหนึ่งน่ะเก่งจะตาย...แต่เขาชอบมองตัวเองด้อยกว่าเธอก็เพียงเท่านั้นเอง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอให้เขาพยายามมากขึ้นกับการเรียนของเขา...แต่เขากลับมองว่าเธอไปกดดันเขามากเกินไปจนสุดท้ายเขาก็ระเบิดออกมาในวันนั้นกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราที่มันต้องจบลงด้วยความค้างคา
และด้วยความที่เธอไม่ใช่คนที่จะเข้าหาเขาก่อนอยู่แล้วมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเพราะเขามักจะเป็นฝ่ายที่เข้าหากันอยู่เสมอ...จึงทำให้มันจบลงอย่างสมบูรณ์แบบเพราะเราทั้งสองต่างก็ห่างหายจากกันไปในที่สุด
ถ้าในวันนั้นเธอยอมละทิ้งศักดิ์ศรีและเป็นฝ่ายที่เข้าไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดกับเขา...ป่านนี้เราสองคนจะยังมีกันและกันอยู่หรือเปล่านะ?
“ฮัดชิ้ว!”
เสียงสูดน้ำมูกที่ดังมาจากคนข้างกายดึงสติของเธอให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ของความทรงจำที่เธอเผลอดำดิ่งลงไป
ความเคยชินของเธอจำให้เธอต้องเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของเขาโดยอัตโนมัติ ก่อนจะได้พบว่าตอนนี้ตัวของเขาเริ่มมีไออุ่นรุม ๆ แล้วและเราจะต้องรีบไปหาที่บังน้ำค้างกันเสียตั้งแต่ตอนนี้
“เหมือนจะเริ่มไม่สบายแล้ว...เรารีบกลับไปที่รถกันดีกว่า”
ความห่วงใยของเธอจำให้เธอหลงลืมไปทั้งหมดถึงสถานะของเราทั้งสองคนว่าไม่ได้เป็นเหมือนเก่า
เธอลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงโดยทันทีไม่แม้แต่จะฟังคำทักท้วงของเขา ก่อนจะดึงมือของเขาให้ลุกขึ้นตามซึ่งเขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรแต่อย่างใด ทั้งยังเดินตามเธอต้อย ๆ เหมือนกับได้ย้อนวันวานกลับไปยังอดีตของเราทั้งสองคนอีกครั้งหนึ่ง
“รีบปิดประทุนเลยค่ะ”
“แต่ว่าพี่ชอบ...”
“แต่เธอจะป่วย”
นับหนึ่งหน้าหงอทันใดเมื่อเธอเริ่มใช้สรรพนามที่แปรเปลี่ยน
มันทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เธอกำลังจะเริ่มดุเขา เพราะเมื่อไรที่เธอเรียกนับหนึ่งว่าเธอแทนคำว่านับ...นั่นมันหมายความว่าเธอกำลังจะเริ่มหงุดหงิดกับความดื้อดึงของเขาเข้าให้เสียแล้ว
“ก็ได้ค่ะ”
และสุดท้ายเจ้าเด็กดื้อก็ยอมกดปิดประทุนตามคำบอกกล่าวของเธอในทันที
จันทร์เจ้าพอจำได้อยู่บ้างว่านับหนึ่งมักจะเก็บแผงยาของตัวเองเอาไว้ในรถ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เฉพาะรถของเขาหรอกแต่มันรวมไปถึงรถของเธอเองก็ด้วยที่จะพกแผงยาติดไปทุกที่
เธอพกมันติดรถเอาไว้ตั้งแต่สมัยขึ้นมหาลัยฯ ที่ได้มีรถคันแรก...จนติดเป็นนิสัยมาจนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงมีติดรถเอาไว้อยู่
โดยส่วนลึกที่สุดในหัวใจของเธอเพียงแค่คิดเล่น ๆ ว่าหากพบเจอเขานั่งเปียกฝนอยู่ข้างถนนเหมือนตอนมหาลัยฯ ที่เขายังไม่มีรถเหมือนเธอ...เขาจะได้ทานยาดักเอาไว้ก่อนที่ตนเองจะป่วยเป็นไข้หนัก แม้ความเป็นจริงการกินยาดักมันจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม แต่ก็เพื่อความสบายใจของเธอ ซึ่งเขาก็เข้าใจมัน
“ทำไมไม่มียาอยู่ในรถเลยล่ะนับ...”
เธอเอ่ยถามเมื่อมองไปทุกที่ของรถแล้วมันไม่มีแผงยาใด ๆ อยู่ในรถเลย
และความเงียบของเขาก็จำให้เธอต้องเงยหน้าสบมองเขาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เขากำลังทำหน้าตาที่บ่งบอกได้ว่ากำลังหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองอยู่กับคำถามของเธอ
“รู้ว่าตัวเองป่วยง่าย แต่ก็ยังพาตัวเองมานั่งตากน้ำค้าง ซ้ำร้ายยังไม่พกยาติดรถเอาไว้อีกเหรอคะ?”
เขาหันมาสบมองใบหน้าของเธอและหัวเราะแฮะในลำคออย่างไร้ข้อแก้ตัว
“นับหนึ่ง...”
“เดี๋ยวข้างหน้ามีปั๊มแล้วค่ะ...เดี๋ยวนับจะรีบลงไปซื้อยามาทานดักเอาไว้เลย ตกลงไหมคะ?”
และไอนิสัยชอบต่อรองน่ะ...เมื่อไรจะเลิกมันเสียที
“จะขับไปเองหรือว่าจะเปลี่ยนให้พี่เป็นคนขับคะ?”
“นะ นับขับเองค่ะ”
“งั้นก็ไปค่ะ...”
เธอหันกลับไปด้านหน้าเพื่อสบมองเส้นทางอีกครั้งหนึ่ง
แต่รถยังไม่มีการเคลื่อนตัวแต่อย่างใดให้เธอต้องหันกลับไปสบมองใบหน้าของเขาอีกครั้งด้วยความขุ่นเคือง
“อย่าคิดจะยื้อเวลาเพราะไม่อยากทานยานะคะ”
“ขะ เข้าใจแล้วค่ะพี่จันทร์”
ยังไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ สินะ...นับหนึ่ง