ตอนที่ 11 ตำราเรียน (2)

2213 Words
ตอนที่ 11 ตำราเรียน (2) ผาไป๋หยาง อารามเลือนเมฆา เตาหลอมโอสถ... เตาหลอมโอสถวิเศษจริงๆ หากมันเป็นเตาหลอมโอสถวิเศษที่ยังไม่ถูกจุดคงจะดีกว่านี้ หงหลิงทราบมาบ้างว่าเทพโอสถมีเตาหลอมวิเศษอยู่เตาหนึ่ง ซึ่งการจะจุดเตาหลอมแต่ละครั้งได้นั้นต้องใช้เพลิงจากกิเลนโลกันตร์ที่หนึ่งร้อยปีของแดนสวรรค์จะจุดได้หนึ่งครั้ง ครั้งละสี่สิบเก้าวัน ในทุกเจ็ดวันจะมีของเจ็ดสิ่งที่อยู่ในเตาหลอมไม่เหมือนกัน อีกทั้งเพลิงโลกันตร์นั้นจะไม่เหมือนเพลิงที่มาจากเฟิ่งหวงหรือเพลิงที่ถูกจุดขึ้นโดยหินไฟของมนุษย์ เพราะเพลิงจากกิเลนโลกันตร์จะมีสีแดงราวกับโลหิต ทว่ามีความร้อนน้อยกว่าเพลิงที่มาจากเฟิ่งหวง หากแต่เหมาะสมแก่การหลอมของวิเศษและโอสถวิเศษเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นางลืมตาดูโลกมาแสนกว่าปีนี้ หงหลิงมั่นใจว่าเคยเห็นเตาหลอมวิเศษของเทพโอสถอยู่ครั้งหนึ่ง และนางจดจำได้ไม่มีวันลืม เพราะโอสถเทพที่นางกินหลังจากแผดเผาตัวเองเพื่อเกิดใหม่ ก็มาจากเตาหลอมโอสถเทพที่เทพโอสถเป็นผู้หลอมกับมือนั่นเอง เตาหลอมวิเศษตรงหน้า เป็นเตาหลอมโอสถแน่แท้ ทั้งเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ รูปลักษณ์ที่เห็นตรงหน้า ทำให้นางไม่อาจเอ่ยวาจาใดได้อีก คล้ายกับเตาหลอมโอสถของเทพโอสถอวี่เฉา เพลิงจากกิเลนโลกันตร์ แม้ไม่เป็นอันตรายต่อเทียนเฟิ่งอย่างนาง แต่ก็ทำให้เจ็บปวดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะยามที่นางเหลือพลังตบะเพียงสองส่วน ตำราเรียนที่อาจารย์ฝากให้นางหยิบมันออกมา ไม่รู้ว่าถูกใส่ในเตาหลอมวิเศษนานเท่าใดแล้ว หากนำมันออกมาในวันที่เจ็ดของการหลอม อาจทำให้นางบาดเจ็บได้น้อยลง ทว่ายามนี้ผู้เฒ่าเต่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ทราบแน่ชัดแล้วว่าฤกษ์ยามที่เหมาะสมคือยามใด เห็นได้ชัดว่าจะอย่างไรนางก็ต้องเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บในครั้งนี้ หงหลิงไม่ทราบว่าไป๋หยางสุ่ยต้องการอะไรกันแน่ เตาหลอมที่จุดติดในระยะเวลาสี่สิบเก้าวันของแดนสวรรค์ ต้องโทษตัวเองที่ไม่ตั้งใจร่ำเรียนศาสตร์แห่งกาลเวลา ตอนนั้นด้วยเพราะยังเยาว์วัย รู้ดีว่าเทพบรรพกาลอายุยืนยาวหลายสิบหมื่นปี แล้วนางจะมานั่งคำนวณเทียบเวลาทั้งหกภพภูมิไปทำไมกัน มาจนถึงตอนนี้จึงได้สำนึกว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ถึงเคี่ยวเข็ญให้นางร่ำเรียนวิชานี้หนักหนา สงสัยว่าเขาอาจจะอยากกลั่นแกล้งนางก็ได้ หงหลิงเดินไปยังศาลาริมผาไป๋หยาง นางมองเพลงกิเลนโลกันตร์ที่เต้นระริกอยู่ภายในเตาหลอมวิเศษ เปลวเพลิงสีโลหิตคล้ายส่งเสียงเยาะเย้ยนางอยู่เนืองๆ เทพสาวย่างเท้าเข้าใกล้ กลิ่นที่โชยมามิใช่กลิ่นไหม้แต่อย่างใด หากแต่เป็นกลิ่นหอมประหลาดคล้ายกับกลิ่นของไม้ไป๋หยาง[1]ผสมกับกลิ่นของไม้จันทน์ หงหลิงเผลอถอยหลังก้าวหนึ่ง หันไปมองต้นไป๋หยางขาวดำที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แม้ใบหน้าจะเรียบนิ่ง ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยแววสับสนระคนตกใจ ต้นไป๋หยางทั้งสองหายไปแล้ว เหลือเพียงต้นกล้าเล็กๆ ที่กำลังงอกเงยขึ้นมา อาจารย์เป็นคนทำลายต้นไม้สองต้นนั้นเองหรือ เมื่อเช้ามันยังอยู่ตรงนั้น...เตาหลอมนี้เพิ่งตั้งวันนี้หรือ นางจำได้ว่าตอนเช้าต้นไป๋หยางยังอยู่ เตาหลอมวิเศษที่อยู่ตรงนี้กลับไม่เคยถูกนางสังเกตเลยว่ามันตั้งอยู่ตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่อยู่ในเตาหลอมวิเศษนี้ต้องมีส่วนผสมของต้นไป๋หยางสองต้นนั้น นางก็มั่นใจได้ว่าเตาเพิ่งตั้งในวันนี้นี่เอง วัตถุสีเขียวอ่อนบินฉวัดเฉวียนพร้อมกับส่งเสียงหึ่งๆ กวนใจมาจากอารามเลือนเมฆาของไป๋หยางสุ่ย หงหลิงก้มหลบทันก่อนที่มันจะกระแทกศีรษะของนางจากทางด้านหลัง นางพลิกฝ่ามือยันกับเสา ตวัดปลายเท้าเตะเจ้าของสิ่งนั้นจนมันกระแทกกับพื้นหินเสียงดัง มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ สีเขียวอ่อนที่เห็นคือสีของหยกเขียวใส หงหลิงสืบเท้าเข้าใกล้ เมื่อมองให้ชัดจึงเห็นว่าของสิ่งนั้นก็คือพัดจิ๋วขนาดเท่าฝ่ามือ คล้ายกับอาวุธวิเศษประจำกายอาจารย์ในอดีต อาวุธประจำกายมหาเทพเสวียนอู่ ทว่าสิ่งที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือไอวิญญาณ อาวุธวิเศษประจำกายมหาเทพเสวียนอู่อยู่ในสุสานของเขาในเผ่าของเขา หากนำออกมาด้านนอก ย่อมมีปรากฏการณ์มหัศจรรย์ อย่างน้อยทั้งแดนสวรรค์ย่อมต้องทราบความเคลื่อนไหวของพัดลู่หลงอย่างแน่นอน ในหกภพภูมินี้ มีเพียงมหาเทพเสวียนอู่เท่านั้นที่สามารถใช้งานพัดลู่หลงได้ แต่เขากลับไม่ได้เรียกใช้มัน พัดที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงอาวุธวิเศษที่ถูกสร้างขึ้นใหม่...โดยเขา ไป๋หยางสุ่ย หงหลิงหยิบพัดขึ้นมา ร่ายมนตร์เพียงเล็กน้อย พัดเล่มขนาดเท่าฝ่ามือก็พลันขยายใหญ่ขึ้น ในพัดมีพลังตบะราวพันปี แสดงว่าเขาเพิ่งสร้างมันขึ้นมาไม่นานมานี้ นอกจากหยกเขียวที่ทำเป็นด้ามจับอันไร้ลวดลาย กระดาษที่ใช้ทำพัด...นางสูดดมกลิ่นบนตัวกระดาษ พลันเหลือบมองที่เตาหลอมแวบหนึ่ง กระดาษนี้ก็ทำมาจากไม้ไป๋หยาง... อาจารย์ของนางเป็นพวกที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เป็นตาแก่คร่ำครึหัวโบราณ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคร่ำครึ ใช้แต่ของเดิมๆ พัดไร้ลวดลาย ทว่าเมื่อมีความร้อนจากเปลวของเพลิงกิเลนโลกันตร์วาบผ่าน คล้ายกับว่ามีตัวอักษรปรากฏขึ้นจางๆ หงหลิงเดินเข้าใกล้เตาหลอมอีกนิด ตัวอักษรพลันปรากฏขึ้นจริงๆ “ผู้เฒ่าเต่านี่...ชอบทำอะไรซ้ำซาก พัดนี้ก็สร้างจากเตาเช่นกันหรือ” นางอ่านตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นจางๆ ตัวอักษรที่มิใช่ภาษามนุษย์ หากแต่เป็นภาษาโบราณที่เป็นตัวอักษรภาพ ‘ตอนที่เจ้าเห็นพัดเล่มนี้ อาจารย์เดินทางไปในที่ไกลแสนไกลแล้ว ทว่าเตาหลอมของเทพโอสถต้องจุดและมีคนเฝ้าอย่างต่อเนื่องสี่สิบเก้าวัน เมื่อเตาหลอมอยู่บนโลกมนุษย์มันจะมีพลังเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น หากแต่นั่นก็เพียงพอที่จะหลอมสมุดบันทึกดวงดาวของเจ้า’ ตัวอักษรเลือนหายไปจนหมด แล้วปรากฏเนื้อหาใหม่ขึ้นมา ‘สมุดบันทึกเล่มนี้ จะบันทึกเหตุการณ์ที่เจ้าต้องเลือก อาจารย์ใช้พลังตบะทั้งหมดหนึ่งพันปีมนุษย์เพื่อหลอมมันขึ้นมาพร้อมกับพลังหยินหยางของต้นไป๋หยางที่เจ้าได้เห็นอยู่ทุกวันตั้งแต่มาที่นี่ จงเปิดบันทึกในวันที่เจ็ดนับตั้งแต่อาจารย์จากไป และโยนมันลงเตาหลอมโอสถเพื่อทำลายมันเสีย อีกราวหนึ่งเดือนอาจารย์จะกลับมา หลังจากไฟในเตาหลอมเป็นสีเขียว จงใช้โลหิตของเฉียนเวยดับไฟในเตาเสีย อย่าใช้โลหิตของเจ้า เพราะมันจะได้ผลตรงข้าม และเตาหลอมของเทพโอสถจะไม่มีทางใช้งานได้อีก’ ตัวอักษรเลือนหายไปอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นภาพขุนเขาธาราในช่วงฤดูหนาว หงหลิงกุมขมับ นึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้เฒ่าเต่าและตบะหนึ่งพันปีของเขาที่ต้องสูญเสียไป พลันรู้สึกอึดอัดในอกอยู่เนิ่นนาน อาจารย์เป็นเช่นนี้เสมอ เพื่อศิษย์คนหนึ่ง เขาไม่เคยคิดเสียดายพลังอำนาจหรือชีวิตของตนเลยแม้แต่น้อย เสมือนต้นไป๋หยางวิเศษบนยอดผาสูงเทียมฟ้า สามารถตายแล้วงอกเมล็ดพันธุ์ใหม่ แม้จะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานกว่าจะกลับมาสูงตระหง่านดังเดิม แต่ก็ไม่นำพา “เจ้ามาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ที่เตาหลอมของอาจารย์” น้ำเสียงเจืออารมณ์เกรี้ยวกราดดังขึ้นหลังจากที่หงหลิงเก็บพัดของอาจารย์ไว้ในแขนเสื้อ ครั้นนางหันไปก็พบกับใบหน้าบึ้งตึงของศิษย์พี่ที่นางไม่อยากพบหน้ามากที่สุด “อาจารย์ให้ข้ามาเฝ้าเตาหลอมวิเศษ” เขาเลิกคิ้ว “อาจารย์ก็สั่งให้ข้ามาเฝ้าเตาหลอมวิเศษเหมือนกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าเจ้าก็ต้องมา” “นั่นเพราะศิษย์พี่อวิ๋นจิ้งเพิ่งบอกข้าเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน” นางตอบไปตามตรง เอนกายพิงเสาศาลาพร้อมกับมองเขาอย่างหาเรื่อง คิ้วกระบี่ขมวดเป็นปม ใบหน้าหล่อเหลาไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “ข้าจะไปถามศิษย์พี่” เขาไม่เชื่อว่าคนน่าสงสัยอย่างหงหลิงจะได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์ “เชิญ” เทพสาวผายมือ รู้สึกรื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง ทว่าแทนที่เฉียนเวยจะหายไปจากสายตานางเพื่อถามอวิ๋นจิ้ง กลับเดินเข้ามาในศาลา พร้อมกับกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไปอาบน้ำที่ธารสวรรค์ เจ้าก็ไปกับข้าด้วยสิ” ใบหน้าที่แสดงความรื่นรมย์จนออกนอกหน้าชะงักค้าง เมื่อได้ยินว่าเขาจะให้นางไปหาอวิ๋นจิ้งที่ธารสวรรค์ ธารสวรรค์มีแต่ศิษย์ชายอาบน้ำแก้ผ้าเปลือยกายล่อนจ้อน ถึงนางจะอยู่มาจนป่านนี้ แต่ก็มิใช่ว่าจะชมชอบดูภาพเหล่านั้นนะ นางเป็นเทพเซียน เพียงแค่โบกมือร่างกายก็สะอาดหมดจดแล้ว แต่เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย บางคราก็ไปใช้ห้องอาบน้ำรวมของบรรดาศิษย์ชายยามที่ไม่มีคนอยู่ ถึงจะอย่างไรคนเหล่านี้หมกมุ่นแต่เรื่องของตนเอง ไม่มีผู้ใดสนใจนางมากนัก อีกทั้งยามนี้นางยังอยู่ในร่างบุรุษ ไม่อาบน้ำสักสิบวันก็ยังไม่มีผู้ใดสอดปากขึ้นมาถามหรอก “เป็นอะไรไป หรือเจ้าเขินอายบุรุษด้วยกัน” หงหลิงกระแอม ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย นางรีบหันไปทางอื่นพลางกล่าวว่า “ทำไม หากข้าจะเขินอายแล้วมีปัญหาอะไรหรือไม่” นางยียวน จะอย่างไรนางก็เป็นสตรีเพศ แม้จะดูไม่ต่างกับบุรุษ ก็มิได้หมายความว่านางมิใช่สตรีเสียหน่อย เป็นผู้อื่นมองแต่รูปลักษณ์ภายนอก มิเคยถามสักคำว่านางเป็นบุรุษหรือสตรี อ้อ...เหมือนอาจารย์จะบอกพวกเขาว่านางเป็นบุรุษหรือเปล่านะ ช่างปะไรเล่า เฉียนเวยหน้าดำคร่ำเคร่งกล่าวเสียงห้วนพลางกระชากข้อมือนางอย่างแรง “เหลวไหล! เตาหลอมวิเศษต้องมีคนดูแล เจ้าอย่าได้ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ ไปกับข้า” “โอ๊ย!” แม้ผิวหนังของนางจะหนากว่าสตรีชาวมนุษย์ ทว่าเมื่อถูกเฉียนเวยทำตัวร้ายกาจใส่เช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อยเมื่อร่างของนางปลิวไปตามแรงกระชากของเขาง่ายดายราวกับตุ๊กตายัดนุ่น ไพล่คิดไปว่าเป็นบุรุษเหตุไฉนจึงแลดูบอบบางปานตุ๊กตากระเบื้อง เมื่อเหลือบมองข้อมือของหงหลิงที่ถูกเขาบีบแน่น จึงเห็นว่ามีรอยแดงเป็นจ้ำขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อสายตาสังเกตเห็นว่าหลังมือซ้ายของนางมีรอยแผลเป็นเป็นทางยาว จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาจนต้องรีบปล่อยมืออีกฝ่ายในทันที “ทำอ่อนแอราวกับอิสตรีไปได้” ก็ข้าเป็นสตรี...เหมือนพูดกับก้อนหิน เจ้าเฉียนเวยคนนี้ ทำตัวเจ้าอารมณ์ ไม่เห็นเหมือนมังกรชั่วผู้นั้นเลยสักนิด หงหลิงลูบข้อมือตัวเองพลางกล่าวว่า “ท่านก็เจ้าอารมณ์ประหนึ่งผู้ที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน” “เจ้า!” เขาชี้หน้าหงหลิงก่อนจะกำหมัดแน่นแล้วลดมือลง “แล้วเตาหลอมโอสถนี้...” “ข้าวางค่ายกลป้องกันไว้” เขาตัดบทเสียงห้วน หงหลิงเลิกคิ้วเล็กน้อย นึกในใจว่าคนผู้นี้รอบคอบจนติดเป็นนิสัยหรืออย่างไร ครั้นเห็นใบหน้าเย็นชาของเขาก็ยิ่งบังเกิดความคิดอยากจะกวนประสาทคนขึ้นมา “นำทางสิศิษย์พี่” หงหลิงยิ้มเย็น “หึ!” เฉียนเวยสะบัดแขนเสื้อ เดินนำหงหลิงออกจากศาลา ใจของเขายังสั่นไหวไม่หายตั้งแต่เห็นแผลเป็นที่ข้อมือของอีกฝ่าย พลันอดยกมือทาบอกซ้ายของตัวเองไม่ได้ นี่ตัวเขาเป็นอะไรไป เหตุใดจึงไม่สามารถควบคุมโทสะของตนเองได้ แล้วเหตุใดจึงใจสั่นเพียงเพราะแตะต้องมือชายที่ดูเหมือนไม่ใช่ชายผู้นี้ด้วย องค์ชายแห่งเมืองเฟิงหยางได้แต่หลับตาเพื่อสะกดกลั้นความคิดเหลวไหลในใจ คนผู้นี้...อันตรายยิ่ง [1] ไป๋หยาง ชื่อที่เรียกกันทั่วไปในภาษาอังกฤษคือ White Poplar ชื่อทางวิชาการก็คือ Popplus euramericana
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD