ตอนที่ 12 ตำราเรียน (3)

2484 Words
ตอนที่ 12 ตำราเรียน (3) ธารสวรรค์ใกล้ผาไป๋หยางก็จริง ทว่าผาไป๋หยางกินพื้นที่จากทิศเหนือจรดใต้ ยาวหลายลี้* (500 เมตร) เส้นทางที่ผ่านมิได้สะดวกสบายดังเช่นเส้นทางในสำนัก แต่กระนั้นแล้วก็ยังถือว่าเป็นเส้นทางที่น่าอภิรมย์ยิ่ง จากผาไป๋หยางไปสู่ธารสวรรค์ต้องข้ามสะพานซานไห่ไปยังอีกฝั่ง เบื้องล่างของสะพานแม้ไม่ใช่เหวลึก แต่ก็เป็นน้ำจากธารสรรค์อันเย็นเฉียบที่ไหลจากยอดเขาอีกฝั่ง ทว่าสิ่งที่ดึงดูดใจหงหลิงกลับเป็นเถาดอกไม้หลากสีที่พันรอบๆ เชือกบนสะพานต่างหาก นางปล่อยให้เฉียนเวยเดินนำ ส่วนตนเองนั้นชื่นชมบุปผาหลากสีอย่างรื่นรมย์ ดอกไม้ดอกเล็กขนาดเท่าเหรียญเงินของมนุษย์ แต่ละดอกมีทั้งหมดสิบสองกลีบ แบ่งเป็นสามชั้น เรียงตามจำนวน สาม สี่ ห้า แต่ละชั้นไล่สีจากอ่อนไปเข้ม กลิ่นหอมอ่อนจางชวนให้สบายใจ หงหลิงลอบยิ้ม แอบเด็ดออกมาช่อหนึ่ง นี่เป็นดอกไม้ที่เมื่อก่อนเห็นจนชินตา เพราะมันเป็นดอกไม้ที่อาจารย์เป็นคนเพาะพันธุ์กับมือ แสนกว่าปีก่อน ตอนที่นางยังตัวสูงไม่เท่าครึ่งของตอนนี้ อาจารย์พานางไปแดนมาร ที่นั่นเป็นแดนมหัศจรรย์ที่ไม่เหมือนกับแดนอื่น พืชพรรณสวยงามละลานตาจากการใช้ตบะของพวกเขาสร้างสรรค์พันธุ์ไม้ พวกมารมักเป็นพวกที่จิตใจจับจด ฝังใจสิ่งใดแล้วจะไม่มีทางลืมเลือนเด็ดขาด ทว่าบางความทรงจำสำหรับพวกนั้นอาจเป็นเสมือนยาพิษที่คอยกัดกร่อนจิตใจจนสูญเสียตัวตน พวกมารอาศัยพลังหยินรุนแรงของตนถ่ายทอดความทรงจำบางอย่างลงในพืชพรรณพิเศษชนิดหนึ่ง และเมื่ออยากระลึกความทรงจำเหล่านั้น ก็เพียงแค่กินผลของมันลงไป พวกมารเรียกต้นไม้ชนิดนั้นว่า ‘จี้ฮวา’ มีคำกล่าวว่า มารจดจำ เทพเซียนลืมเลือน นั่นเพราะพวกมารไม่สามารถปล่อยวางสิ่งสำคัญได้ ส่วนเหล่าเทพเซียนนั้นเรียนรู้ที่จะปล่อยวางมาตั้งแต่ต้น กลิ่นอายการบำเพ็ญจึงแตกต่างกันเสียจนสองดินแดนคล้ายกับเป็นแดนตรงข้าม การนำต้นจี้ฮวามาปลูกบนเขาหลิงหลงจึงเป็นไปแทบไม่ได้ มหาเทพเสวียนอู่อาศัยที่ตนเองเป็นเทพบรรพกาล ถือว่าไม่มีสิ่งใดที่ตนทำไม่ได้ เขาใช้เวลากว่าสามร้อยปีในการเพาะพันธุ์ โดยมีหงหลิงเป็นลูกมือคอยขุดดินพรวนดินอยู่ไม่ห่าง จนนางอยากจะขอร้องให้อาจารย์ไปรับตำแหน่งแทนเทพเสินหนง[1] เสียให้รู้แล้วรู้รอด นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งตอนนี้ นอกจากอาจารย์จะชอบสั่งสอนผู้คน เขายังชื่นชอบการทำเกษตรเป็นชีวิตจิตใจ ดอกจี้ฮวาบนเขาหลิงหลง ถูกปลูกติดกับกับหน้าผาที่เรือนหงหลิงตั้งอยู่ ทุกครั้งที่นางบินกลับสำนัก เมื่อเห็นม่านดอกไม้ที่ปกคลุมหน้าผาทั้งหมด ก็จะรู้สึกราวกับได้เห็นประตูสำนักอย่างไรอย่างนั้น นึกไม่ถึงว่าเขาคุนหลุนแห่งนี้จะปลูกต้นจี้ฮวาได้เช่นกัน “เจ้าดมอะไร” รอยยิ้มบนใบหน้าหงหลิงแข็งค้าง นางเบือนหน้าไปทางอื่น กล่าวเสียงแข็ง “ตาไม่ได้บอด” ดูเอาก็รู้แล้วยังจะถามนางอีก “ดอกไม้นั่นมีพิษเย็น หากยังอยากมีชีวิตอยู่ก็ทิ้งมันไปเสีย” เฉียนเวยเอ่ยเตือน แม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับหงหลิง แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาจะทนเห็นคนผู้นี้ถูกพิษไปต่อหน้าต่อตา ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อีกอย่างหงหลิงเติบโตมากับดอกไม้ชนิดนี้ ย่อมรู้จักมันดีกว่าใคร นางยกดอกไม้ช่อเล็กขึ้นพลันสูดดมเข้าเต็มปอด “อืม...ไม่เห็นมีอะไร” “ตัวโง่เง่า!” เขาตวาด รีบคว้าดอกไม้ในมือนางโยนทิ้งพื้น แววตาที่เปี่ยมไปด้วยโทสะคล้ายกับมีสายฟ้าแปลบปลาบอยู่ด้านใน หงหลิงชะงักค้าง ไม่เคยเห็นใบหน้าของเฉียนเวยแสดงอารมณ์ขนาดนี้มาก่อน ม่านตาของเขาขยายกว้างเล็กน้อย ลมหายใจเข้าออกถี่กระชั้น แม้ริมฝีปากจะเรียบตึง แต่ก็นับว่ามากพอแล้วสำหรับการแสดงความรู้สึกบนใบหน้าของมหาเทพบรรพกาล…แม้จะเป็นในกายเนื้อของมนุษย์ก็เถอะ หงหลิงมิได้โกรธเคืองเขาแต่อย่างใด กลับกันแล้วนางยิ่งรื่นรมย์ขึ้นอีกหลายส่วน มังกรชั่วในร่างมนุษย์ช่างน่าสนใจนัก โดยเฉพาะยามมีโทสะเช่นนี้ นึกอยากจะวาดภาพเขาเก็บไว้สักภาพเอาไว้ล้อเลียนจริงๆ เฉียนเวยเห็นรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้างามเกินชายของหงหลิงก็พลันตระหนก ใจของเขาเต้นระรัว โทสะที่ผุดวาบคล้ายกับมีความรู้สึกอื่นแฝงอยู่หลายส่วน แต่ก็แอบโล่งใจที่หงหลิงมิได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก หันหลังกลับพร้อมกับรีบจ้ำเท้าให้ผ่านพ้นสะพานซานไห่โดยไว จะให้เขาพูดได้อย่างไรว่าตนเองเผลอหันกลับมามองคนด้านหลังเป็นระยะ ไม่น่าหัวร่อหรอกหรือ หงหลิงมองแผ่นหลังที่เล็กกว่าแผ่นหลังของมังกรชั่วบนสวรรค์เล็กน้อยด้วยแววตาเป็นประกาย ร่างของชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปีร่างนี้ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขาอยู่สุขสบายและยังมิได้โตเป็นบุรุษเต็มตัว แต่ด้วยเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือเพราะนิสัยที่ฝังลึกในจิตวิญญาณของเขาก็ไม่แน่ใจ ท่าทางการเดินของเขาช่างเหมือนกันราวกับว่าที่เห็นตรงหน้าคือมังกรชั่วมิใช่ร่างมนุษย์ เทพสาวเลื่อนสายตาไปยังดอกไม้บนเชือกร้อยสะพาน แววตาอ่อนแสงลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รำพึงรำพันกับตัวเอง “เทพเซียนลืมเลือน…ลืมเลือนหรือ แท้จริงคิดจะลืมก็หาได้ง่ายดายเช่นนั้น” นางแตะไล้ปลายนิ้วลงบนกลีบดอกไม้ “นี่ศิษย์พี่ ข้าไม่ชอบน้ำเย็นนะ” นางตะโกนบอกคนที่เดินนำไปไกลลิบ เพียงแค่อยากตะโกนบอกเขาเท่านั้น ธารสวรรค์ถือกำเนิดจากตาน้ำในเทือกเขาหลุนซาน เขาคุณหลุนเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขานี้ น้ำจากธารแห่งนี้ไม่มีวันเหือดแห้ง เนื่องจากเป็นเขตดูแลของเทพแห่งสายฝน...อวี่ลิ่วเสิน น้ำพุวิเศษใจกลางเมืองเฟิงหยางก็มาจากตาน้ำเดียวกันนี้ เพียงแต่เป็นสายที่แยกออกจากธารสวรรค์อีกทีหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วทางราชสำนักอาจไม่พอใจที่มีสำนักเซียนมาตั้งอยู่บนเขาคุนหลุนแล้วครอบครองลำธารแห่งนี้ไปนานแล้ว เพราะแม้พวกเขาจะให้ความเคารพสำนักเซียน แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้ที่ถือตนเป็นโอรสสวรรค์จะยอมอ่อนข้อให้ พอคิดถึงอวี่ลิ่วเสิน หงหลิงไม่แน่ใจว่าอาจารย์ทำอย่างไรเทพองค์นั้นถึงมิได้ปริปากบอกผู้ใดเลยว่าเขามาอยู่ที่นี่ ด้วยฌานตบะของเทพแห่งสายฝนองค์นั้น หงหลิงมั่นใจว่าเขาสามารถจับดวงจิตของมหาเทพเสวียนอู่ได้อย่างแน่นอน นางคิดว่าอาจเพราะทั้งสองเคยเป็นสหายกันมาเนิ่นนานจนรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี เพราะแม้แต่ตอนที่อาจารย์ดวงจิตสูญสลายจนผู้คนเข้าใจผิดไปแล้วว่าเขากลับคืนสู่แดนกำเนิด เขาก็เป็นคนเดียวที่มิได้มาร่วมงานศพของอาจารย์ ตอนนั้นหงหลิงพานคิดไปแล้วว่าถ้าเขาไม่ติดธุระสำคัญ ก็อาจจะห่างเหินกันไปนานแล้ว แต่นี่อาจารย์เลือกมาตั้งสำนักอยู่ในเขตดูแลของอวี่ลิ่วเสิน คิดได้อย่างเดียวคืออีกฝ่ายรู้มาโดยตลอด ด้วยพลังอำนาจของอวี่ลิ่วเสิน คิดจะปิดตาที่สามของหลี่จิ้งย่อมมิใช่เรื่องที่ไกลเกินตัวนัก ถึงจะอย่างไร อีกฝ่ายก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับมหาเทพเสวียนอู่ อยู่มาจนถึงป่านนี้ นับว่าไม่เสียเวลาเปล่า ผ่านสะพานดอกจี้ฮวาที่หงหลิงแอบเรียก เดินไปราวสองลี้ก็ถึงเขตของธารสวรรค์ เมื่อมองไปยังอีกฝั่งของสะพานจึงสังเกตเห็นหลังคาอารามเลือนเมฆาอยู่ไม่ไกลนัก ขึ้นชื่อว่าธารสวรรค์ ย่อมต้องเป็นธารสวรรค์อย่างแท้จริง หงหลิงได้ยินเสียงน้ำตกดังมาจากที่ไกลๆ กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้กรุ่นกำจายไปทั่ว หากแต่ไอเย็นที่แผ่ออกมาจากลำธารสายใหญ่นั้นไม่ชวนให้นางรื่นรมย์เท่าใดนัก พฤกษาสูงเสียดฟ้า เหนือศีรษะของคนทั้งสองคือรังนกและดอกกล้วยไม้หลากสีสัน ต่างก็ส่งกลิ่นหอมแข่งขันประชันกันราวกับสาวงาม ครั้นเดินเข้าใกล้น้ำตกไปเรื่อยๆ พลันได้ยินเสียงของบุรุษสนทนาพาทีกันอย่างออกรส หงหลิงขนลุกเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะอากาศที่เย็นเกินกว่าที่นางคิดนัก มิใช่ไพล่นึกไปถึงร่างกายเปลือยเปล่าของบุรุษแต่อย่างใด เฉียนเวยหยุดเดิน เบี่ยงฝีเท้าไปอีกทางซึ่งเป็นเส้นทางที่มีลำธารสายเล็กแยกไป เขารู้ได้อย่างไรว่าต้องไปที่นั่น เส้นทางที่เฉียนเวยเดินนำไปมีม่านบุปผาขึ้นรกครึ้ม คล้ายกับเป็นกำแพงธรรมชาติที่ทำให้ไม่เห็นคนที่อยู่ริมธารด้านใน อีกทั้งบริเวณนี้ยังอบอุ่นกว่าบริเวณอื่นมากนัก “เจ้ารออยู่หลังม่านบุปผาตรงนี้ ข้าจะเข้าไปถามศิษย์พี่อวิ๋น” หงหลิงเลิกคิ้ว น้ำบริเวณนี้อุ่นกว่าที่อื่นนัก เหตุใดนางจึงเข้าไปไม่ได้ “ข้าอยากเล่นน้ำบ้าง” “ศิษย์ใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ่อน้ำร้อน หากต้องการเล่นน้ำก็ไปเล่นด้านนอก” เขาเลิกสนใจนาง แหวกม่านบุปผาเข้าไปด้านใน หงหลิงมองตาม แลบลิ้นใส่เขาด้วยความโมโห เรื่องแค่นี้ก็ยังยกมาข่มนาง ในโลกนี้มีที่ใดที่นางเข้าไปไม่ได้บ้าง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว “ศิษย์พี่อวิ๋น” “เฉียนเวย มีอะไรถึงต้องมาหาข้าที่นี่ เมื่อครู่ได้ยินเสียงศิษย์น้องหงหลิง เขาก็มาด้วยรึ” อวิ๋นจิ้งเปลือยกายล่อนจ้อน ครึ่งตัวอยู่เหนือน้ำร้อน อีกครึ่งอยู่ใต้น้ำร้อน ร่างกายที่ปราศจากอาภรณ์กำยำล่ำสันกว่าที่เห็นภายนอกนัก เฉียนเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดจึงไพล่คิดไปถึงภาพตอนหงหลิงเปลือยกายแช่ในน้ำร้อน ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง เอ่ยธุระออกมา “อืม...ข้ามีเรื่องจะถามท่าน อาจารย์ให้เขาเฝ้าเตาหลอมวิเศษหรือ” “อา...ข้ามิได้บอกเจ้าไว้ก่อนต้องขออภัย อาจารย์ให้ศิษย์น้องเล็กนำตำรายาออกมาจากเตาหลอมวิเศษ นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องได้รับ” “ศิษย์ใหม่อย่างเขามีสิทธิ์อะไรถึงแตะต้องเตาหลอมวิเศษของเทพโอสถ อาจารย์มิกลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีหรอกหรือ อีกอย่างศิษย์ทั้งหลายในสำนัก น้อยคนนักจะได้อาวุธวิเศษจากเตาหลอม มิเท่ากับอาจารย์ทำให้เกิดข้อครหานี้หรอกหรือ” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความไม่พอใจ หงหลิงนิ่วหน้า นึกแปลกใจว่าเหตุใดศิษย์ในสำนักถึงต้องใช้อาวุธวิเศษจากเตาหลอม ว่าก็ว่าเถิด เตาหลอมวิเศษกว่าจะหลอมได้ครั้งหนึ่งต้องรอถึงร้อยปีแดนสวรรค์ ศิษย์สำนักเซียนคิดจะครอบครองอาวุธสักชิ้น ต้องรอจนแก่หงำเหงือก หรือไม่ก็ต้องฝึกจนได้ร่างทองกระดูกทองถึงจะมีโอกาสได้เห็นอาวุธวิเศษสักครั้ง เฉียนเวยพูดเช่นนี้ ช่างดูไม่ประมาณตนเอาเสียเลย “ศิษย์น้องใจเย็นๆ ก่อน” อวิ๋นจิ้งขึ้นจากน้ำ เพียงพริบตาอาภรณ์แห้งสนิทก็สวมทับบนร่างกาย “อาจารย์ทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล เป็นเจ้าคิดมากเกินไป อีกอย่างศิษย์น้องเล็กมีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดา ถึงขั้นที่ฝ่าม่านอาคมเข้ามาในเขตสำนักได้ เห็นได้ว่าอาจารย์สั่งสอนเขาเป็นอย่างดี หากคิดให้มากขึ้น เขาอาจฝึกปรือมานานกว่าเจ้าและข้าก็ได้” เฉียนเวยพยักหน้ารับ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่คำพูดของอวิ๋นจิ้งมีเหตุผล คนผู้หนึ่งสามารถเหาะเข้ามาในสำนัก ทั้งๆ ที่อาจารย์ลงอาคมห้ามใช้เวทลอยตัว นอกจากจะขี่อาวุธวิเศษเท่านั้น ถือว่าฝีมือฝึกปรือยังห่างไกลเขาอยู่มาก ยิ่งกว่านี้แล้ว...ศิษย์ปัจจุบันทุกคนก็อาจจะสู้คนผู้นั้นไม่ได้แม้สักคน อวิ๋นจิ้งเห็นสีหน้าคร่ำเคร่งของเฉียนเวยแล้วเข้าใจศิษย์น้องของตนเป็นอย่างดี “เฉียนเวย แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ที่มีฝีมือที่สุดในสำนักเราตอนนี้ ข้าก็เข้าใจความเป็นกังวลของเจ้าดี อย่าได้กังวลแทนอาจารย์เลย ข้าบอกได้แต่เพียงว่า แม้เจ้าจะไม่ไว้ใจเขา แต่จะไม่ไว้ใจอาจารย์มิได้” “ข้าเข้าใจแล้ว” “หรือฝ่าบาทเร่งเจ้ามาอีกแล้ว” เฉียนเวยไม่ตอบ เขาไม่อยากให้คนหลังม่านบุปผาได้ยิน ไม่อยากรู้สึกจนตรอกจนต้องขอร้องอย่างไรศักดิ์ศรี สิ่งใดก็ตามที่เขาต้องการ ย่อมต้องเป็นเขาที่ลงมือคว้ามาด้วยตัวเองเท่านั้น อวิ๋นจิ้งเข้าใจสีหน้าของเฉียนเวยเป็นอย่างดี “เสด็จลุงของข้าก็เป็นเช่นนี้ ทางที่เลือกให้เจ้าก็มิใช่ทางที่ย่ำแย่สักเท่าใดนัก อย่างน้อยหม่านหงก็เหมาะสมกับเจ้า นางเป็นถึงบุตรีของมหาเสนาบดี ยอมลำบากเพื่อเข้าสำนักนี้ตามเจ้า เหตุไฉนจึงใจแข็งมาจนถึงป่านนี้ได้ อา...ขออภัย ข้าพูดมากไปแล้ว” “เช่นนั้นข้าขอตัว” “ไม่ต้องหรอก ออกไปพร้อมกันดีกว่าไหม” อวิ๋นจิ้งแหวกม่านบุปผาออกมา ส่งยิ้มให้หงหลิงที่ยืนทำหน้านิ่ง “เจ้าอยากแช่น้ำร้อนหรือ ที่จริงมิได้มีกฎอะไรห้ามศิษย์ใหม่เข้ามาแช่น้ำร้อนหรอก หากว่าปราณตบะเจ้าสูงพอ จะมาแช่ที่นี่ก็ย่อมได้” เฉียนเวยแค่นเสียงขึ้นจมูก “อยากตายก็เชิญ” หงหลิงหัวเราะ ที่นางชอบที่สุดก็คือสีหน้าบูดบึ้งของเฉียนเวยในตอนนี้ พูดถึงหม่านหง นางเพิ่งรู้ว่าองค์หญิงแห่งเผ่าสวรรค์จะมาเกิดเป็นบุตรีของมหาเสนาบดี อีกทั้งยังตามเฉียนเวยมายังสำนักนี้อีกด้วย เห็นทีต้องเข้าไปทำความรู้จักองค์หญิงน้อยเสียแล้ว นางยิ้มกว้างให้อวิ๋นจิ้ง “ขอบคุณศิษย์พี่” [1] เทพแห่งการเกษตร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD