ตอนที่ 10 ตำราเรียน (1)
หลังจากหลบหนีเนตรของเทพสามตาลงมายังโลกมนุษย์ แต่เดิมหงหลิงคิดว่าจะได้อยู่อย่างสุขสบายเพื่อรอชมงิ้วของเฉียนเวยกับองค์หญิงแห่งเผ่าสวรรค์ กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วนางต้องมานั่งคัดลายมือราวกับเซียนฝึกหัด จะออกไปเที่ยวเล่นยังเมืองด้านล่างก็หาทำได้ไม่ แต่ละวันนอกจากต้องเข้าไปคารวะอาจารย์ทุกเช้า ทุกสัปดาห์ยังมีวันหนึ่งที่ต้องเข้าร่วมฝึกกระบี่กับศิษย์ทุกคนในสำนัก
เทพปักษาอันเกรียงไกรในอดีต บัดนี้ถือเป็นศิษย์ปลายแถว แม้จะเป็นถึงศิษย์ของเจ้าสำนัก อวิ๋นจิ้งยังให้เกียรตินางถึงเจ็ดส่วน แต่ถึงกระนั้นเพราะว่านางเข้าสำนักมาช้ากว่าศิษย์รุ่นสุดท้ายเพียงหนึ่งเดือน นั่นทำให้ตอนนี้นางได้กลายเป็นน้องเล็กเสียแล้ว
คัดอักษรก็คัดไป ฝึกกระบี่ก็ฝึกไป เหตุไฉนยังต้องมาเป็นน้องเล็กให้พวกมนุษย์โง่เขลาเหล่านี้มองอย่างดูแคลนด้วยหนอ
“ศิษย์น้อง ช่วยข้ายกถังน้ำไปไว้ที่โรงครัวได้หรือไม่” ศิษย์ปลายแถวของผู้คุมกฎคนหนึ่งในสำนักตะโกนเรียกนาง เทพสาวหันมองตามเสียง พบว่าเป็นตัวโง่งมผู้หนึ่งที่มักถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งเพราะไม่ค่อยมีปากมีเสียง เขาส่งยิ้มมาให้นาง คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปี รูปร่างสูงใหญ่ ผมเผ้ารุงรัง มักจะยิ้มโง่งมทุกครั้งที่ผู้อื่นใช้งานเยี่ยงทาส ทว่าพอเห็นผู้อื่นพูดว่านางเป็นศิษย์ใหม่ ไม่ทันไร แม้แต่เจ้าคนไร้ศักดิ์ศรีผู้นี้ก็ยังกล้าใช้งานนาง
หงหลิงทอดถอนใจ แต่เดิมนางควรจะสั่งสอนเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้ให้หลาบจำว่าอย่าบังอาจมาใช้งานเทพปักษาอย่างนาง แต่เพราะกฎที่ห้ามเทพทำร้ายร่างกายมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย นางจึงทำได้เพียงเดินไปหาเขาแล้วใช้ร่างกายที่แข็งแรงกว่าเจ้ามนุษย์ผู้นี้มากนักหิ้วถังน้ำข้างละสองถัง
เอาเถิด...นางมิใช่คนจิตใจงดงามที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพียงแต่รำคาญรอยยิ้มโง่งมของเจ้าคนผู้นี้ก็เท่านั้นแหละ
“เจ้าช่างมีน้ำใจนัก”
หงหลิงเหลือกตา ไม่ปริปากแม้ครึ่งคำ นางเร่งฝีเท้ารุดหน้า อยากจะไปให้ห่างจากตัวโง่งมโดยไว
“เจ้านี่...นอกจากรูปงามและเปี่ยมความสามารถ ยังมีน้ำใจเมตตาต่อผู้อื่น ไม่เสียแรงที่ท่านเจ้าสำนักมองเห็นประกายบางอย่างในตัวเจ้า จนในที่สุดก็ได้พบ...”
“เสร็จแล้ว ขอตัว” อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาชื่นชม ทว่านางหาได้ใส่ใจไม่
นางวางถังน้ำแล้วเดินออกจากโรงครัวในทันที ไม่รอฟังเจ้าคนที่นางไม่คิดจะจำชื่อกล่าววาจาเหลวไหลจนจบ เสียงงึมงำดังลอยตามหลัง แต่เนื้อความมิได้เข้าไปในโสตประสาทของนางเลยแม้แต่น้อย
หงหลิงทอดถอนใจ
น่าเบื่อ...น่าเบื่อยิ่งนัก
“ศิษย์พะ...ศิษย์น้องหงหลิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่” อวิ๋นจิ้งในชุดฝึกซ้อมกระบี่สีขาวบริสุทธิ์เดินสวนนางมาพอดี หงหลิงคอตก ยามที่นางไม่อยากพบเจอผู้อื่น เหตุใดสวรรค์จึงไม่เป็นใจเช่นนี้กันนะ
นางประสานมือคารวะศิษย์พี่
“ข้าช่วยคนแบกถังน้ำมาที่โรงครัว ศิษย์พี่มีธุระอะไรหรือไม่”
อวิ๋นจิ้งส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าเพิ่งฝึกเสร็จ ไม่ทราบว่าเจ้าฝึกคัดอักษรไปถึงไหนแล้ว”
หงหลิงคิดถึงตอนที่นางให้เฉียนเวยช่วยคัดตัวอักษรแล้วรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
โลกมนุษย์น่าเบื่อยิ่งนัก
นางทอดถอนใจอีกคำรบ ร่างกายที่ตอนนี้คล้ายกับบุรุษหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดทำให้นางเดินเหินสะดวกก็จริง แต่ผู้อื่นก็ยิ่งจับตามองมากขึ้นอีกด้วย เพราะการเข้ามาเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักไป๋หยางสุ่ยโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ ทำให้ผู้อื่นทั้งริษยาและชื่นชมไปพร้อมๆ กัน หากว่านางทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานของศิษย์รุ่นก่อนๆ คงได้เห็นผู้อื่นยืนหัวร่อดูแคลนอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ เหตุใดจึงไม่ให้ข้าไปฝึกวิชายุทธ์ของสำนักเล่า” นางไม่เห็นว่าการคัดอักษรจะช่วยอะไรได้มากนัก มีแต่ถ้อยคำยืดยาว หาหลักใหญ่ใจความมิได้
“อา...” อวิ๋นจิ้งยิ้มเก้อกระดาก “อาจารย์กำชับมาว่า ลายมือของศิษย์น้องงดงามอ่อนช้อย ประดุจเส้นไหมสีหมึกที่ทอดตัวอยู่บนกระดาษขาว แม้ว่าคนโง่งมจนเจียระไนมิได้มาอ่าน ก็ยังเคลิบเคลิ้มไปกับเนื้อหาสาระในบทเรียนที่เจ้าคัดลอก” เขาอมยิ้มกับอากาศ ดวงตาเป็นประกายเคลิบเคลิ้ม “หากได้ลายมืออันงดงามของเจ้ามาคัดตำราเรียน ย่อมช่วยเหลือมิให้ศิษย์ที่ขลาดเขลาสอบตกในอีกสองเดือนอย่างแน่นอน”
บัดซบ!
หงหลิงเลือดขึ้นหน้า หากแต่ยังสามารถยับยั้งโทสะมิให้อาละวาดต่อหน้าอวิ๋นจิ้งได้ อีกฝ่ายเห็นสีหน้านางเรียบตึง คล้ายกับมีเปลวเพลิงลุกโชนในดวงตาก็รีบเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าได้เขินอายไปเลย อาจารย์ชมเจ้าเช่นนี้จริงๆ”
เขินอายบ้านเจ้าสิ!
นางโกรธจนควันออกหู เจ้าคนโง่งมผู้นี้คิดว่านางเขินอาย สวรรค์ต้องการทดสอบอะไรนางกันแน่
หงหลิงฝืนยิ้ม กล่าวเสียงลอดไรฟัน “เป็นเกียรติยิ่งนักที่อาจารย์เห็นคุณค่าในตัวอักษรที่ข้าคัดลอก เห็นทีต้องไปขอบคุณอาจารย์ด้วยตัวเองเสียแล้ว”
“อา...เจ้าคงภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง” อวิ๋นจิ้งตบบ่านางเบาๆ “จงพยายามต่อไป ข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่ อนาคตเจ้าจะต้องได้เป็นยอดเซียนเพราะสั่งสมบารมีจากการคัดลอกตำราเรียนเพื่อชี้ทางสว่างแก่ผู้อื่นอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจ”
ประสบความสำเร็จ? เจ้าลูกเต่า ข้าเป็นถึงเทพบรรพกาลที่เหล่าเทพมือใหม่ต้องกราบไหว้ขอพร ข้ายังต้องสั่งสมบุญบารมีเพิ่มอีกรึ
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ประเดี๋ยวก่อน ข้าลืมไป”
“มีอะไรอีกหรือขอรับ” มือที่ยังประสานไว้ตั้งแต่แรกยังมิได้ลดลง สองมือที่ประกบกันอยู่แทบจะแหลกเป็นผุยผง กระนั้นแล้วก็ยังต้องรักษาสีหน้าของสุภาพชนเพื่อมิให้เขาคลางแคลงใจ แต่ดูเหมือนยิ่งทำตัวกลมกลืนกับบรรดาศิษย์คุนหลุนมากเท่าไร นางกลับคิดว่าตนเองเทพจะธาตุไฟเข้าแทรกเสียทุกครั้ง
“อาจารย์จะไม่อยู่ราวหนึ่งเดือน เขาให้ข้ามาบอกเจ้าว่ามีคัมภีร์เล่มหนึ่ง ต้องให้เจ้าไปเอาที่เตาหลอมวิเศษบนหน้าผาไป๋หยาง บอกว่าภายในหนึ่งเดือนนี้ให้เจ้าตั้งใจอ่านมันให้ดี เผื่อว่าหลังจากท่านอาจารย์กลับมาจะได้ทดสอบความก้าวหน้า”
หงหลิงเลิกคิ้ว ลอบถอนหายใจที่อาจารย์ไม่ได้มอบหมายให้นางคัดลอกตำราอีก แต่ว่าตาเฒ่านั่นไปไหนกันตั้งหนึ่งเดือน หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
“อาจารย์ได้บอกหรือไม่ว่าไปไหน”
“อาจารย์ไม่เคยบอกว่าท่านไปไหน ศิษย์น้องวางใจเถิด ประเดี๋ยวท่านก็กลับมา”
“ขอบคุณศิษย์พี่ หงหลิงจะพยายามศึกษาหาความรู้ให้ปัญญาแตกฉาน”
นางก้มศีรษะ รีบทาน้ำมันที่เท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นจิ้งมองร่างของอีกฝ่ายจนลับสายตา พลันทอดถอนใจกับกระบี่ในมืออย่างเศร้าหมอง “น่าเสียดายที่เขาเป็นชาย...น่าเสียดายยิ่งนัก” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ มุ่งหน้าไปยังธารสวรรค์ที่อยู่ใกล้กับผาไป๋หยางด้วยฝีเท้าอันเงียบกริบ