ตอนที่ 9 ศิษย์พี่? (3)

2241 Words
ตอนที่ 9 ศิษย์พี่? (3) ไป๋หยางสูงชะลูดเทียมเมฆยืนตระหง่านท้าลมพายุริมหน้าผาสูงชัน ต้นหนึ่งมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ต้นหนึ่งยืนตระหง่านแผ่กิ่งก้านอย่างสง่างาม ดุจดั่งตัวแทนของหยินหยาง ผืนดินและแผ่นฟ้า การกำเนิดและการดับสูญ สูงสุดสู่สามัญ หงหลิงมองต้นไม้สองต้นนั้นเนิ่นนาน อาจารย์ของนางก็มิได้ส่งเสียงขัดจังหวะ หากแต่มองลูกศิษย์ด้วยสายตายากจะคาดเดา เพียงแต่หวังว่าในภายภาคหน้านางจะเข้าใจอะไรบางอย่างจนสามารถปล่อยวางได้ เทพสาวทอดถอนใจพลางผินหน้ามองผู้เป็นอาจารย์ “ท่านพาข้ามาดูรังนกหรือ จะให้ข้าอวยพรให้พวกมันบำเพ็ญเป็นเซียนได้หรืออย่างไร” มหาเทพเสวียนอู่ไป๋หยางสุ่ยผู้สั่งสอนยอดคนมานักต่อนักได้แต่ทดท้อในใจ ดูท่าแล้วเขาจะคาดหวังกับนางมากเกินไปกระมัง “ช่างเถิด วันนี้เจ้าเดินทางมาคงเหนื่อยมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้คนพาไปเดินดูโดยรอบของสำนัก มาอยู่ที่นี่เจ้าอยู่ในฐานะของมนุษย์ที่ฝึกได้ร่างเซียนแล้ว ศิษย์คนอื่นจะรู้เพียงเท่านี้ หากใครถามอายุของเจ้า” เขานิ่งคิดครู่หนึ่ง “เอาเป็นว่าเจ้าคือศิษย์ใหม่ที่ข้าพบตอนเดินทางไปปราบมารร้ายในแดนตะวันตกก็แล้วกัน ผู้อื่นจะได้เลิกสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงโผล่มาที่นี่ได้” นางพยักหน้ารับพลางนึกกลวิธีกลั่นแกล้งศิษย์น้องทั้งหลาย หลังจากศึกที่ประตูมารสิ้นสุดศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนพลีชีพในสนามรบ หรือไม่ก็พากันหายสาบสูญไป ชีวิตที่วันๆ เอาแต่ง่วงเหงาหาวนอนของนางช่างน่าเบื่อหน่ายนัก บัดนี้มีอะไรให้ทำ นางย่อมกระตือรือร้นเป็นพิเศษ “อย่าได้คิดเหลวไหล ข้าบอกอวิ๋นจิ้งว่าเจ้าถือเป็นศิษย์พี่ในสำนัก แต่ในเมื่อเข้าสำนักมาทีหลังผู้อื่น มิได้ผ่านกระบวนการรับศิษย์อย่างเป็นทางการ ด้วยศักดิ์ในสำนักคุนหลุนแล้วเจ้าต้องเป็นศิษย์รุ่นล่าสุดของข้า” หงหลิงหน้าเผือดสี นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการอย่างแน่นอน “อาจารย์ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ ข้าเป็น…” “เสี่ยวหง ยามนี้เราอยู่ในยอดเขาเซียนที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ มิใช่แดนเทพแดนสวรรค์ หากให้ผู้อื่นทราบความจริงว่าเจ้าเป็นใคร แล้วข้าเป็นใคร สุดท้ายแล้วเบื้องบนก็จะทราบข่าว หลายหมื่นปีที่ผ่านมาอาจารย์หลบเร้นดวงตาที่สามของหลี่จิ้งมาได้ นับว่าเหนื่อยยากแล้ว ขอให้เจ้าคิดให้หนัก” “อาจารย์ ศิษย์ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านจึงซ่อนดวงจิตจากเทพสามตา” เรื่องนี้นางรู้สึกขัดแย้งในใจตั้งแต่ที่เหลียวเยว่แจ้งเบาะแสว่าไป๋หยางสุ่ยคืออาจารย์แล้ว เทพบรรพกาลแม้ยามจุติมาเกิดเป็นมนุษย์จะไม่เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดิน หากแต่เมื่อดวงจิตระลึกได้ ดวงดาวประจำตัวของพวกเขาจะส่องแสง เทพดาราจะเป็นผู้ที่ถ่ายทอดสัญญาณให้แก่เทียนจวิน และเทพสามตาจะเป็นผู้ตรวจสอบดวงจิตในหกภพภูมิ “เรื่องนี้แม้แต่เจ้ายังซ่อนดวงจิตได้ แล้วเหตุใดอาจารย์จึงทำไม่ได้” ถูกย้อนเช่นนี้ เดิมทีนางควรเงียบได้แล้ว ทว่าความจริงที่ว่าตบะของนางแม้จะถูกผนึกไว้ถึงเจ็ดส่วน แต่ที่เหลือก็มากกว่าตบะร่างนี้ของอาจารย์ไม่รู้กี่เท่า การเร้นดวงจิตจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ หากแต่ในเมื่ออาจารย์เลี่ยงจะตอบ นางก็ทำได้เพียงสงสัยเท่านั้น อย่างน้อยตอนนี้มหาเทพเสวียนอู่ก็ถือกำเนิดใหม่ เท่านี้นางก็ยินดีมากแล้ว “ท่านเอาน้ำตาข้าไป หรือว่าอยากจะเปลี่ยนนามใหม่?” “มิใช่หรอก เผ่าข้ามีเทพเซียนน้อยยิ่งกว่าน้อย ทั้งยังไม่สุงสิงกับผู้ใด แม้แต่เศษกระดองเต่าจำแลงยังไร้คนดูแล ยามที่ร่างเทพของข้ากลับสู่ผืนดิน ก็ไม่อาจมีผู้ใดสังเกตความเปลี่ยนแปลงของมันได้อีกต่อไปแล้ว” “เช่นนั้นท่านจะเก็บไว้ทำอะไร” เขาถลึงตาทีหนึ่ง “เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นน่ะสิ เจ้าทำไมจึงซักไซ้ข้าเช่นนี้ กินอะไรผิดสำแดงมาหรือ” หงหลิงหดคอ ยื่นปากกล่าวว่า “ไม่ได้พูดกับท่านมานับแสนปี พูดให้มากหน่อยจะได้คุ้มค่ากับที่ท่านปกปิดข้าอย่างไรเล่า” “ฮึ…ตอนอาจารย์อยากพูดกับเจ้า มิใช่เป็นเจ้าเอาแต่กินๆ นอนๆ หรอกหรือ สมัยนั้นยังบินขึ้นฟ้าได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว” “อาจารย์ ยามนั้นเป็นช่วงแห่งการเติบโต ข้าต้องกินให้มากหน่อยสิ” “เอาล่ะข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าแล้ว อยู่ในที่แห่งนี้เจ้าจะมีความรู้สึกหิวเหมือนมนุษย์ กระหายเหมือนมนุษย์ ต้องดื่มกินเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งกิเลสของมนุษย์นั้นแสนยั่วยวนใจ ต้องรู้จักควบคุมตนเองให้ดี ระมัดระวังเผ่าจิ้งจอกเอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะปีศาจจิ้งจอกหรือเซียนจิ้งจอก พวกนี้มีมนตร์เสน่ห์ที่ยากจะต้านทานนัก” นางกลอกตา อาจารย์กำชับราวกับว่านางไม่เคยมาโลกมนุษย์ อย่างนางน่ะหรือจะพ่ายต่อมนตร์จิ้งจอก ต่อให้เอาเทพจิ้งจอกมายั่วยวนก็ใช่ว่าจะทำได้ เพราะครั้งล่าสุดที่นางถูกเทพจิ้งจอกเกี้ยวพา คนผู้นั้นถึงกับสูญเสียตบะครึ่งหนึ่งไปและไม่ออกมาจากแดนจิ้งจอกอีกเลย “ศิษย์น้องหงหลิง เจ้าต้องคัดกลอักษรร้อยแปดจบ กลับไปคัดให้เสร็จได้แล้ว” “ข้าคัดเสร็จแล้ว” “หืม…กระดาษเปล่าและอาคมหลอกเด็กพรรค์นั้น เจ้าอย่ามาหลอกข้า กลับไปคัดกลอักษรให้เสร็จ! มิเช่นนั้นไม่ต้องกินข้าว” “ข้าไม่!” “ศิษย์น้อง องค์ชายอุตส่าห์มาเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้า ไยจึงดื้อดึงเช่นนี้ เป็นบุรุษชาติอาชาไนย ไยจึงขี้เกียจราวกับอิสตรีในห้องหอ” ปัง! นางโมโหจนเผลอทุบโต๊ะพังครืน ศิษย์พี่ที่กำลังเตือนนางด้วยความหวังดีหน้าซีด ทว่าเฉียนเวยกลับเอียงศีรษะมองนางอย่างผู้ชนะ พู่กันในมือขยับบนม้วนไม้ไผ่พลางรำพึงออกมา “โต๊ะไม้ตัวนี้เป็นทางสำนักตะวันตกส่งมาให้ ทั้งหมดมีสิบตัว เจ้าทำลายไปหนึ่งตัว ค่าความเสียหายทางใจเทียบไม่ได้กับทรัพย์สินเงินทองภายนอก ข้าจะรายงานอาจารย์เจ้าสำนักให้ อย่างน้อยก็จะต้องถูกลงโทษให้คัดกฎสำนักอีกร้อยแปดจบ” หงหลิงอ้าปากพะงาบๆ ราวกับปลาขาดน้ำ มองเฉียนเวยด้วยสายตาชิงชัง นางกำหมัดแน่น พึงสังวรไว้ว่าตนเองถูกผู้อื่นมองเป็นบุรุษ อีกทั้งยังเป็นศิษย์คนเล็กสุดของสำนัก เพื่อมิให้อาจารย์เดือดร้อน นางจำต้องกัดฟันตอบรับอย่างเสียมิได้ “ข้าทราบแล้ว…ศิษย์พี่” นางอยู่ที่นี่มาเดือนกว่าแล้ว ผู้อื่นทราบเพียงว่านางเป็นศิษย์ที่อาจารย์ออกปากรับจากข้างนอก ทว่าตามกฎแล้วจะนับลำดับขั้นตามเวลาที่เหยียบย่างเข้าสู่สำนักเท่านั้น ยามนี้จึงกลายเป็นศิษย์น้องของมังกรชั่วไปแล้ว ปกตินางสามารถใช้อาคมและกลโกงเล็กน้อยเพื่อให้ตนเองสะดวกสบาย ทว่ากลับไม่อาจตบตาร่างจุติของเฉียนเวยได้ ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกขัดอกขัดใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดอาจารย์จึงส่งเขามาคอยดูแลนาง “เฉียนเวย เจ้าเข้มงวดเกินไปแล้ว ได้เวลากินข้าวเย็น ให้เขาไปพักก่อนเถอะ” สวรรค์ยังมีเมตตาต่อนางบ้าง อย่างน้อยก็ส่งอวิ๋นจิ้งมาเป็นผู้พิทักษ์ให้นาง หงหลิงมองเขาด้วยความซาบซึ้ง “ขอบ…” “หากเขาคัดอักษรไม่เสร็จ เกรงว่าจะให้กินข้าวไม่ได้” ใบหน้าของอวิ๋นจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพยักหน้ารับอย่างเขาใจ ก่อนจะมองนางแล้วชูกำปั้นพร้อมกับรอยยิ้มให้ “สู้ๆ นะศิษย์น้อง ไม่นานก็เสร็จ ข้าจะให้คนเก็บอาหารไว้ให้” นางอยากร้องไห้ทว่าไร้น้ำตา ได้แต่กล่าวขอบคุณอวิ๋นจิ้งแล้วส่งสายตาอาฆาตให้กับเฉียนเวย “อาจิ่ง เฉียนเวย พวกเจ้าไปกินข้าวก่อนสิ” “ให้อาจิ่งไปเถิด ข้าไม่หิว ไว้ค่อยรอจนเขาคัดอักษรเสร็จ” อาจิ่งคือศิษย์พี่ที่ถุงน้ำดีเล็กเท่าเม็ดถั่ว เขาไม่ปฏิเสธเฉียนเวย ทั้งยังก้าวไปหาอวิ๋นจิ้งอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์พี่ข้าไปกับท่านด้วย” อวิ๋นจิ้งพยักหน้า ก่อนไปยังหันมากล่าวทิ้งท้าย “ข้าจะบอกให้คนครัวเก็บอาหารไว้ให้พวกเจ้า” ทั้งสองจากไปแล้ว เหลือเพียงเฉียนเวยที่นั่งจดบันทึกอะไรสักอย่างลงในม้วนไม้ไผ่ ส่วนนางก็ทำได้เพียงกัดฟันคัดอักษร คัดได้ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกปวดเมื่อยจนต้องลอบมองไปที่เขา กลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นยังเขียนอะไรไม่หยุด เสี้ยวหน้านุ่มนวลของมนุษย์ผู้มีเชื้อสายจิ้งจอกคล้ายเปล่งแสงเรืองรองใต้แสงเทียน ทั้งน่ามองและน่าค้นหาอยู่เป็นนิจ แตกต่างกับร่างเทพของเขาลิบลับ น่าเสียดายที่ยามนี้แววตาก็ยังเป็นของเฉียนเวยผู้นั้นไม่เคยเปลี่ยน หงหลิงคิดอักษรจนปวดเมื่อย สุดท้ายนางทนไม่ไหว เริ่มให้พู่กันขยับเองบ้างแล้ว การกระทำของหงหลิงไม่อาจรอดพ้นสายตาคมกริบที่ใช้มองนางยามเผลอไผล เฉียนเวยไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนใดมีอากัปกิริยากึ่งอ่อนโยนกึ่งแข็งกร้าวเช่นศิษย์ใหม่ของอาจารย์เจ้าสำนักคนนี้ อีกทั้งด้วยความสามารถของเขา จากที่ทราบมาว่าหงหลิงได้ร่างเซียนแล้วนั่นยิ่งทำให้เขาสงสัยเป็นอย่างมาก หากแต่จะว่าหงหลิงเป็นปีศาจที่ได้ฝึกบำเพ็ญเซียนก็มิใช่ เพราะแม้ปีศาจจะสามารถบำเพ็ญตบะได้ง่ายกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่เพราะคนผู้นี้ไม่มีกลิ่นอายปีศาจแม้แต่น้อย อีกทั้งกลิ่นกายของเขายังไม่เหมือนกลิ่นกายของมนุษย์อีกด้วย หากจะมองว่าเขาเป็นสำเร็จเป็นเซียนก็มิใช่อีก แม้อาจารย์เจ้าสำนักจะบอกว่าเขาได้ร่างเซียนกระดูกเซียนแล้ว แต่เฉียนเวยเคยได้กลิ่นเซียนจากอาจารย์เจ้าสำนักมาก่อน เผ่าจิ้งจอกไวต่อสัมผัส ไม่มีทางที่จะแยกแยะกลิ่นประจำตัวของแต่ละเผ่าไม่ได้ เพราะเหตุนี้เฉียนเวยจึงอาสามาดูแลศิษย์น้องผู้แปลกประหลาดคนนี้ หากว่าหงหลิงมีท่าทีที่เป็นภัยต่อสำนัก เขาจะรีบแจ้งต่อเจ้าสำนักและส่งองครักษ์เข้ามาช่วยจับตัวศิษย์ใหม่ผู้นี้ทันที พู่กันที่สามารถขยับไหวอย่างเป็นธรรมชาติทำให้ดวงตาของเฉียนเวยเป็นประกายประหลาด คนปกติต้องใช้เวลานับสิบปีเพื่อฝึกใช้พลังควบคุมสิ่งของได้ เห็นอยู่กับตาว่าหงหลิงผู้นี้มิใช่คนปกติ และไม่น่าไว้ใจสักนิด “หากเจ้าจะใช้เวลานี้ลอบมองใบหน้าอันสง่างามของข้าก็ไม่ว่า แต่ช่วยส่งม้วนไม้ไผ่ที่เจ้าคัดลอกมาให้ข้าด้วย” ชายหนุ่มชะงัก มองม้วนไม้ไผ่ในมือสลับกับมองใบหน้าของศิษย์ใหม่จอมโอหัง เห็นว่าหงหลิงกำลังเท้าคางพร้อมกับโปรยยิ้มให้อย่างรู้ทัน นางกระดิกปลายนิ้ว เฉียนเวยเผลอขยับตัวเข้าหาอย่างใจลอย พลางยื่นม้วนไม้ไผ่ในมือให้นาง “ขอบคุณศิษย์พี่” น้ำเสียงของนางไม่ดังไม่ค่อย ทั้งยังฟังดูเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง หากแต่เมื่อฟังเข้าหูแล้วกลับยากจะแยกแยะว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี เป็นเสียงที่นุ่มนวลกว่าสตรี หากแต่ไพเราะเกินกว่าจะเป็นเสียงของบุรุษ ครั้นม้วนไม้ไผ่หลุดจากมือ เฉียนเวยจึงได้สติ เมื่อเห็นรอยยิ้มแขวนบนใบหน้าของศิษย์น้องที่เขาเข้าใจว่าเป็นชาย กลับใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ มองรอยยิ้มงดงามที่แขวนบนใบหน้า และดวงดาวระยับในตาหงส์อันเย่อหยิ่งกลับรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกตรึงวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น เฉียนเวยสูญเสียความมั่นใจชั่วขณะ ปกติมีแต่เขาที่ใช้รูปโฉมล่อลวงผู้อื่น วันนี้กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่กำลังมองชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นโฉมงาม เขารีบถอยกรูด มองหงหลิงด้วยท่าทีอันแตกตื่นไม่ต่างจากครั้งแรกที่พบกันในห้องอาบน้ำ “เจ้าใช้อาคมชั่วร้ายอันใดกับข้ากันแน่” หงหลิงลอบยิ้มกับน้ำเสียงแตกตื่นนั้น ขณะเดียวกันคิ้วเรียวกลับขมวดมุ่นเพราะคำกล่าวหาของเขา “ข้าเปล่าทำอะไรเจ้า กล่าวหากันเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่…ศิษย์พี่” เฉียนเวยกลับมาสงบเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว ครั้นตระหนักได้ว่าเมื่อครู่เขามีความคิดที่จะช่วยศิษย์น้องคัดกลอักษรก็จริง หากแต่ไม่คิดมาก่อนว่าม้วนไม้ไผ่ที่ใช้จดบันทึกความผิดของศิษย์ใหม่จะกลายเป็นกลอักษรที่เต็มไปด้วยลายมือของเขา เจ้าคนผู้นี้เป็นใครกันนะ!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD