ตอนที่ 8 ศิษย์พี่? (2)

2014 Words
ตอนที่ 8 ศิษย์พี่? (2) ไม่น่าเลย…ไม่น่าเลยจริงๆ หงหลิงทำได้เพียงพูดประโยคนี้ในใจเป็นหมื่นครั้ง เพราะมันไม่น่าเลยจริงๆ สวรรค์ต้องเห็นว่าชีวิตนางสงบสุขและราบเรียบเกินไป ถึงได้ส่งตัวป่วนอย่างเหลียวเยว่มากลั่นแกล้งนาง หากแต่ความเป็นจริงแล้วอาจเป็นเพราะนางทำเรื่องชั่วช้ากับเหลียวเยว่มานับแสนปี คนผู้นั้นถึงได้ทำร้ายนางด้วยการปั่นหัวนางเช่นนี้ ผู้ใดบอกว่ามหาเทพเสวียนอู่กลับสู่แดนกำเนิด ผู้ใดบอกว่าเขาสลายจิตดับวิญญาณเพื่อใช้พลังทั้งหมดต่อสู้กับจอมมาร ไม่มีผู้ใดบอก…แต่เป็นนางเห็นกับตา เป็นนางที่เห็นกับตาว่าละอองแสงสีทองจากร่างอาจารย์สลายไปต่อหน้าต่อตา เป็นนางที่กอดร่างของอาจารย์เอาไว้จนไม่เหลือแม้แต่ไออุ่นของจิตวิญญาณ ทว่าตอนนี้ อย่าว่าแต่ร่างกายของอาจารย์เลย แม้แต่กลิ่นอายเทพ ประกายวิญญาณ ก็ยังเป็นอาจารย์คนเดิม ผู้เฒ่าเต่าเจ้าระเบียบที่นางรักไม่ต่างจากบิดา ใบหน้าและแววตาอันคุ้นเคยทำให้จิตใจของนางสั่นไหว น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงจากข้างแก้ม หากแต่กลับลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางอก มิได้ร่วงลงสู่พื้นแต่อย่างใด น้ำตาสีขาวราวกับน้ำนมที่ส่องประกายแวววาวคล้ายมุกราตรีเป็นของล้ำค่า แม้จะเป็นเทพเซียนชั้นสูงก็มิใช่จะหามาครอบครองได้โดยง่าย ชายชุดเขียวย้ายหยดน้ำตาของนางใส่ในขวดแก้วขนาดเท่ากำมือ ก่อนจะเก็บซ่อนมันให้พ้นจากสายตา “น้ำตาหงสาล้ำค่าหายาก จะปล่อยให้เสียของได้อย่างไร เสี่ยวหง...เจ้ายังเจ้าน้ำตาเหมือนเดิม” เมื่ออยู่กันตามลำพังมหาเทพเสวียนอู่หรือไป๋หยางสุ่ยมิได้มีท่าทางสุขุมน่าเกรงขามอีกต่อไป น้ำแกงหัวปลาน้ำแรกจะเป็นส่วนที่เข้มข้นที่สุด หากเติมน้ำลงไปและเคี่ยวเพิ่มเติมก็จะได้เพียงน้ำแกงที่รสชาติเจือจาง อาจารย์เปรียบเทียบน้ำตาของนางกับน้ำแกง บอกว่าน้ำตาหงสาหยดแรกจะเป็นสิ่งที่กลั่นความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลในจิตใจจนหลั่งออกมา แม้เพียงหยดเดียวก็มีค่ามากมายมหาศาล เฟิ่งหวงสามารถแผดเผาทั้งตนเองและผู้อื่น น้ำตาธรรมดาจะเหือดแห้งไปในทันทีที่สัมผัสข้างแก้ม มีเพียงความรู้สึกจากใจจริงเท่านั้นจึงจะทำให้นางหลั่งน้ำตา ในสมัยก่อนนางอาจเป็นข้อยกเว้นจากผู้สืบสายเลือดของมหาเทพจูเชว่ บิดาของนางเป็นบุรุษ บุรุษที่ไหนจะหลังน้ำตาบ่อยๆ พี่ชายของนางก็บุรุษ วันๆ เอาแต่แกล้งนาง น่ากลัวว่าเขายังหัวเราะมากกว่านางเสียอีก มีเพียงนางเท่านั้นที่พอถูกพี่ชายกลั่นแกล้งก็ร้องไห้ น้ำตาจากความอัดอั้นหลังรินไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร กระทั่งได้เหลียวเยว่มาค่อยเป็นสหายรู้ใจและคอยให้นางกลั่นแกล้ง หลังจากนั้นมาเสี่ยวหงก็ไม่ใช่เสี่ยวหงคนเดิมอีกต่อไป ผลกรรมที่นางทำกับเจ้างูดินน้อย ทำให้ตอนนี้ต้องมาหลั่งน้ำตาเพื่อคนที่นางรักและเคารพที่สุด ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตามิได้เหือดแห้งหายไป หากแต่มิใช่น้ำตาสีน้ำนมอย่างตอนแรก หงหลิงสะอื้นในอก เม้มปากแน่นไม่ยอมพูดอะไร ไป๋หยางสุ่ยทอดถอนใจ กวักมือเรียกนางให้ขยับเข้าหา “มาๆ คิดถึงอาจารย์มากใช่หรือไม่ มาให้ข้ากอดให้หายคิดถึงสักที” ราวกับเกาทัณฑ์หลุดจากคันศรที่รั้งสุดสาย หงหลิงถลาตัวไปยังตั่งตัวยาวของอาจารย์ กอดเอวท่านผู้เฒ่าแน่นแล้วสะอื้นเสียงสั่นเครือ “ผู้เฒ่าเต่า ท่านหลอกให้ข้าเสียใจเก้อ ท่านรักเจ้างูดินมากกว่าข้าใช่หรือไม่” ใบหน้าที่มิได้เฒ่าชราตามที่นางเรียกขานอ่อนโยนลง รอยยิ้มเบาบางประดับบนใบหน้า มือเย็นเฉียบลูบศีรษะของนางพลางเอ่ยปลอบประโลม “ผ่านมาตั้งนาน ไยเจ้ายังกลายเป็นไม้กระดานเยี่ยงนี้ หรือเจ้ามิได้เติบโตขึ้นเลย” หงหลิงเงยหน้า น้ำตาพรั่งพรูยิ่งกว่าเดิมด้วยความคับแค้นใจ “ผู้เฒ่าเต่า ปากคอท่านยังร้ายกาจเช่นนี้ได้ นับว่าข้าเสียให้ผิดคนแล้ว ใช่สิ ข้ามิใช่ศิษย์รักของท่านนี่” ไป๋หยางสุ่ยหัวเราะ “เอาล่ะๆ ข้าหยอกเจ้าเล่นเท่านั้นเอง เด็กน้อยของอาจารย์น่ารักน่าชังเช่นนี้ อาจารย์จะรังเกียจเจ้าได้อย่างไร เรื่องเคราะห์กรรมของเจ้าอาจารย์รู้มาบ้างแล้ว แต่นี้ต่อไปก็หาอะไรทำในสำนักไปก็แล้วกัน ทำตัวเป็นศิษย์พี่ ชักชวนเด็กพวกนั้นฝึกบำเพ็ญตบะก็ไม่เลวนัก” ใบหน้าของนางงอง้ำ ถูกอาจารย์หยอกแรงเช่นนี้มีแต่จะอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น แต่นางเองก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใครเช่นกัน น้ำตาบนใบหน้าของนางเหือดแห้งไปแล้ว หงหลิงถอยออกมาด้วยอากัปกิริยาสำรวมกว่าเดิม เกรงว่าหากผู้อื่นมาเห็นจะไม่งามนัก นางช้อนตามองอาจารย์ ถามเสียงเครียดขรึม “ข้าต้องประสบเคราะห์กรรม แต่กลับยังดูไม่ออกว่าเคราะห์กรรมที่ว่าใช่การที่ข้ากลายเป็นครึ่งหญิงครึ่งชายหรือไม่ หรือเป็นเพราะปีกข้างหนึ่งของข้าได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้ธาตุในร่างกายไม่สมดุลจนเป็นเช่นนี้ อาจารย์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่” ไป๋หยางสุ่ยส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไป๋หยางสุ่ยไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเคราะห์กรรมของผู้ใดได้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ตบะอาจารย์เป็นเพียงตบะที่ฝึกจากกายเนื้อของมนุษย์ มิใช่ร่างเทพดังเช่นกาลก่อน ตรวจชะตาของเทพชั้นสูงมิได้หรอก” หงหลิงห่อเหี่ยว สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด หรือนางควรปล่อยให้เป็นไปตามทางของมัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นางเพียงทำตัวเป็นขนนก ลอยละล่องในอากาศจนกว่าจะถึงพื้น หากร่อนลงสู่พื้นดิน อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ หากร่วงลงสู่ผืนน้ำ นางอาจจะจมลงไปแต่ไม่ตาย แต่หากร่วงลงสู่กองไฟ คงได้แต่แผดเผาตนเองแล้วกลายเป็นคนใหม่ “เสี่ยวเยว่บอกว่าให้ข้าสัมผัสความรักของมารดา ความรักของสตรีนางหนึ่ง ข้าจะทำได้อย่างไร อย่าว่าแต่ความรักของมารดาเลย แม้แต่จะเป็นสตรียังเป็นไม่ได้” อาจารย์ลูบศีรษะนาง “เทพบรรพกาลจำแลงร่างได้ เจ้าก็แปลงร่างเป็นหญิงสาวก็สิ้นเรื่อง” “ไม่มีทาง” นางไม่ยอมรับ แต่ไหนแต่ไรมหาเทพปักษาภาคภูมิในรูปโฉมของตนมาโดยตลอด ไม่เคยสักครั้งที่จะปลอมแปลงเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง แต่ถ้าหากต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย นางก็ทำเพียงเปล่งรัศมีเทพจนเทพเซียนชั้นผู้น้อยตาพร่า ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตนเองเอย่างเด็ดขาด เป็นเพราะตอนนางเรียนอาคมครั้งแรก สหายคนหนึ่งที่เป็นเผ่าจิ้งจอกสอนให้นางแปลงร่างเป็นผู้อื่น นางแปลงเป็นผู้อื่นได้ แต่กลับไม่อาจคืนร่างเดิม แม้แต่บิดาก็จำนางไม่ได้เพราะมันคือวิชาเฉพาะของเผ่าจิ้งจอกที่กลบซ่อนและปลอมแปลงจิตวิญญาณได้อย่างแนบเนียนเกินไป ตอนนั้นนางทำอะไรไม่ถูกจนต้องแผดเผาตนเองต่อหน้าบิดาและอาจารย์ พวกเขาถึงเชื่อว่าเป็นนางจริงๆ แต่หลังจากนั้นนางก็ถูกบิดาสั่งห้ามเด็ดขาดมิให้แปลวร่างเป็นผู้อื่นอีก เพราะหลังจากแผดเผาตนเอง กว่าจะจดจำอดีตได้ก็ต้องใช้เวลานับหมื่นปี มหาเทพจูเชว่รู้ว่านางมีตบะที่กล้าแกร่งกว่าเฟิ่งหวงทุกองค์ในหกภพภูมิ เขาจึงมอบตำแหน่งเทียนเฟิ่งให้นางตั้งแต่เยาว์วัย นับแต่นั้นมหาเทพสาวจึงต่อต้านการแปลงกายจนฝังในใจมานาน ครานี้หน้าอกของนางหายไป ร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมจึงทำให้นางทุกข์ใจเป็นอย่างมาก “เสี่ยวหงหน่อเสี่ยวหง อย่าคิดมากไปเลย เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องทำ ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่มีใครสามารถเลี่ยงเคราะห์กรรมได้ ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์เอง” หงหลิงมองหน้าอาจารย์ ยังคิดว่าตนเองฝันไปหรือไม่ นางลอบหยิกแขนอาจารย์ทีหนึ่ง ครั้นเห็นเบากระตุกมือก็พลอยโล่งใจ หากแต่พัดเล่มหนึ่งกับฟาดหน้าผากนางดังป้าบ! หงหลิงคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ โดนอาจารย์ด่าอีกหนึ่งที “อกตัญญู บังอาจหยิกอาจารย์เจ้าหรือ” นักพรตไป๋หยางสุ่ยที่ควรจะสุขุมคัมภีรภาพถลึงตาปูดโปน หงหลิงกลับยิ้มทะเล้นกล่าวว่า “ข้ากลัวถูกหลอกนี่ ขอหยิกท่านทีหนึ่งก็ไม่ได้ ผู้อื่นคิดว่าฝันไป” ไป๋หยางสุ่ยขยับพัดแรงๆ คลายความร้อนรุ่มในใจ “มิน่าเล่าเจ้าเด็กน่าตายเหลียวเยว่ถึงรีบร้อนให้ข้ารับเจ้ามาตั้งแต่ครั้งนั้น สร้างวีรกรรมไว้มิใช่น้อยเลยใช่หรือไม่” หงหลิงหน้าจ๋อยลง “ข้าเปล่านะ แค่รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ เพียงเท่านั้นเอง” “เสี่ยวหงหนอเสี่ยวหง ตบะเจ้าเหลือเพียงสองในสิบส่วนก็มากกว่าข้าในตอนนี้นับหมื่นเท่าแล้ว มาหยิกอาจารย์ทีหนึ่งก็เจ็บเจียนตาย ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเสียเลย” เดิมทีหงหลิงสำนึกผิดจนอยากจะขอโทษ แต่พออาจารย์พูดเช่นนี้นางจึงเปลี่ยนใจ ส่ายหน้าอย่างระอา “กลับมาครั้งนี้ท่านได้นิสัยเจ้างูดินน้อยมาเยอะเลยนี่ หรือว่าตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาเป็นคนผู้นั้นคอยดูแลท่าน” ไป๋หยางสุ่ยกระแอมอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แสร้งฮำเพลงในลำคอพลางเปลี่ยนเรื่อง “อา…ใกล้อาหารเย็นแล้ว ไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะ” “ฮึ…” นางแค่นเสียง ไม่ตอบรับแต่กลับถามขึ้นอีก “ท่านฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร หรือว่ามิวิชาฟื้นชีพด้วย เหตุใดจึงปกปิดเรื่องนี้กับข้า วิชาลับเฉพาะเช่นนี้คงถ่ายทอดให้แต่เจ้าสำนักหลิงหลงล่ะสิ” นางสังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของอาจารย์ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ส่งยิ้มให้นาง ลุกขึ้นพลางพูดลอยๆ “การมีสหายร่วมเป็นร่วมตายนั้นสำคัญไฉน เจ้าลองคิดให้ดี เสี่ยวเยว่สละความสุขทั้งชีวิตเพื่อคอยดูแลเจ้า อย่าทำให้เขาเสียใจล่ะ เสี่ยวหงหนอเสี่ยวหง ด่านเคราะห์ของเทพเซียนใช้วัดระดับของจิตใจว่าเหมาะสมกับพลังที่มีหรือไม่ บางคนผ่านมาได้ บางคนผ่านมาไม่ได้ บางคนไม่ยอมผ่าน เป็นเพราะอะไรกันหนอ…ลองคิดดูให้ดี” ถ้อยคำอันเป็นปริศนาทำให้หงหลิงตกอยู่ในภวังค์ เหตุใดจึงรู้สึกเศร้าสร้อยไปกับคำพูดของอาจารย์ราวกับว่ามันมีอะไรมากกว่าคำพูดที่เขาสื่อ หรือว่าอาจารย์ต้องการบอกอะไรนางแต่กลับพูดไม่ได้กันนะ ไป๋หยางสุ่ยกวักมือเรียกหงหลิงให้เดินตาม “ข้าปลูกต้นไป๋หยางไว้ต้นหนึ่ง ทุกหมื่นปีมันจะถูกฟ้าผ่าหนึ่งครั้งจนไหม้เกรียม แต่มันก็ยังแตกกิ่งก้านสาขาไปได้เรื่อยๆ ครั้งนี้มันก็เพิ่งถูกฟ้าผ่าไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน น่าแปลกใจนักที่ครั้งนี้มันไม่อาจฟื้นคืน แต่กลับมีเมล็ดหนึ่งงอกใกล้ๆ ต้นของมัน บัดนี้ต้นไม้นั้นสูงใหญ่ขึ้นมาก แม้ต้นไป๋หยางจะกลายเป็นถ่านดำ แต่กลับมีต้นใหม่งอกขึ้นมาทดแทน ตามมาสิ อาจารย์จะพาเจ้าไปดู”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD