ตอนที่ 7 ศิษย์พี่? (1)

3545 Words
ตอนที่ 7 ศิษย์พี่? (1) บรรยากาศที่กำลังเย็นสบายพลันหนาวเยือก เหลียวเยว่ยิ้มค้าง ถูกดวงตาคู่งามตรึงนิ่งไม่อาจเขยื้อนไปไหน เผลอชะล่าใจเพียงแวบเดียวนางก็สามารถใช้อาคมกับเขาจนได้ พลันนึกประหลาดใจที่แม้พลังตบะจะถูกผนึกไปถึงเจ็ดส่วนแต่ก็ยังกล้าแกร่งถึงเพียงนี้ “เสี่ยวหง เจ้าจะทำอะไร” เหลียวเยว่ถูกนางใช้อาคมตรึงร่างจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ละครั้งล้วนไม่มีอันใดดี พลันตระหนักถึงเรื่องที่ตนเองเผลอพูดออกไปเมื่อครู่ จึงกระจ่างแกใจในทันทีว่ายามนี้นางต้องการสิ่งใด เทพสาวในคราบชายหนุ่มนั่งไขว้เท้า อาภรณ์สีฟ้าอ่อนสะบัดพลิ้วตามแรงไหว กลิ่นหอมอ่อนกำจายไปทั่ว เหลียวเยว่หัวคิ้วชนกัน ลูกเจี๊ยบตัวนี้ถึงกับวางแผนใส่ยาในถ้วยชา มิน่าเล่าถึงใช้อุบายกับเขาได้ทั้งๆ ที่พลังตบะหายไปมากขนาดนั้น “เจ้ามัน…” เขารีบกลืนคำพูดในทันทีเมื่อหงหลิงตวัดสายตารู้ทัน เทพหนุ่มอยากตีอกชกหัวตัวเอง แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มประจบแล้วถามนาง “เสี่ยวหง เจ้าอยากจะทำอะไรก็รีบทำ ก่อนที่จะลงไปโลกมนุษย์ไม่ทันเถอะ” นางทำเป็นแคะขี้เล็บ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน หญิงสาวเสกขนนกออกมาเส้นหนึ่ง สะบัดข้อมือเล็กน้อย ตัวของเหลียวเยว่พลันอ่อนยวบตกสู่อ้อมแขนของนาง มือข้างที่ยังแข็งแรงดีหิ้วคอเสื้อสหายรัก โยนเขาลงบนแคร่แล้วจัดการถอดรองเท้าและถุงเท้าให้ชายหนุ่ม เหลียวเยว่สังหรณ์ใจพิกลแต่ก็ไม่ทันกาล เขากลั้นน้ำตาหยดหนึ่งไว้ได้ทันขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นสะท้าน “ฮ่าๆ ๆ ๆ เสี่ยวหง เจ้านกสารเลว จะทำอะไรก็รีบทำ ฮ่าๆ ๆ ๆ คนเลว เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ” เหลียวเยว่บ้าจี้ ข้อนี้นางรู้ดีที่สุด หงหลิงปล่อยมือ ทว่าขนนกยังคงปัดป่ายไปมาตรงฝ่าเท้าของเทพหนุ่ม สิ้นท่าประมุขของสำนักหลิงหลงโดยสิ้นเชิง เหลียวเยว่หัวเราะทั้งน้ำตา ทั้งก่นด่าทั้งขอร้อง นางรอกระทั่งเขาสะอื้นจึงสั้นให้ขนนกนั้นหยุดการจู่โจม ถามสหายรักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวเยว่…บอกความจริงมา เจ้าวางแผนอะไรกับมังกรชั่ว” เหลียวเยว่หายใจหอบเหนื่อย ดวงหน้าหล่อเหลาแดงซ่านประหนึ่งกำลังเมามาย ชายหนุ่มรูปงามสองคนกำลังหยอกเย้ากัน คนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอน อีกคนนอนสิ้นท่า หากผู้อื่นมาพบเห็นคงแอบไปคิดว่าทั้งสองกำลังทำอะไรที่มิดีมิงามเป็นแน่ ราวกับว่าตั้งแต่เกิดมาสวรรค์ก็จงใจให้เขาตกเป็นรองนางทุกกระบวนท่า ครั้นหัวเราะจนสิ้นฤทธิ์ เทพหนุ่มก็เข้าใจแล้วว่าการเป็นศัตรูกับนางเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง “เขาแค่อยากดัดหลังเทียนจวิน” “หืม? เขาน่ะหรือ เจ้ามิใช่ถูกเขาหลอกใช้มาอีกคน” “ฮึ…ถึงข้าจะแพ้ทางเจ้า แต่กับผู้อื่นข้าก็มิได้ไร้น้ำยาถึงเพียงนั้น คนผู้นั้นขอร้องให้ข้าส่งเจ้าไปให้ถูกที่ถูกเวลาก็เท่านั้น” หงหลิงกลอกตา นางคิดไว้แล้วว่ามิใช่เทียนจวินที่วางแผนเช่นนี้ ทำเหมือนจงใจให้นางเข้าสู่แผนการ ตาเฒ่านั่นยังไม่รู้เลยว่านางอยู่ที่ไหน อีกอย่างเหลียวเยว่ตัดขาดกับผู้เป็นบิดามานาน มีหรือจะเข้าพบผู้เฒ่าเฝ้าสวรรค์คนนั้นได้โดยที่ไม่ถูกลงโทษ นางคลายมนตร์สะกดให้เขา เหลียวเยว่รีบลุกขึ้นแต่งตัวพลางมองค้อนนางทีหนึ่ง บ่นในลำคอว่า “หากมีศิษย์ในสำนักมาเห็นเข้า ข้าจะโกรธเจ้าสักเจ็ดหมื่นปี คอยดูสิว่าใครจะคอยช่วยเหลือเจ้าได้อีก” หงหลิงแค่นเสียงขึ้นจมูก “รอให้ครบเจ็ดหมื่นปีข้าค่อยละสังขาร ถึงตอนนั้นเจ้าจะหาคู่ครองก็คงทำไม่ได้ ปล่อยให้เป็นมังกรเฒ่าเหี่ยวเฉาตายไปบนยอดเขาหลิงหลงนี่เถิด” ครั้นนางพูดจบเหลียวเยว่ก็พลันพลิกลิ้น กล่าวปะเหลาะนางไปทีหนึ่ง “เสี่ยวหลิงก็…รีบลงไปเถอะ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเฉียนเวยเตรียมงิ้วเรื่องใดรอเจ้าอยู่” หงหลิงพยักหน้ารับ “อืม” กระนั้นก็นึกได้ว่าควรจะใช้เมฆสีทองในการเดินทาง ทว่านางลืมคาถานี้ไปแล้ว จึงได้แต่ถามสหายรักอย่างเขา “นี่เสี่ยวเยว่ คาถาเรียกเมฆมงคลทองใช้ยังไงกัน” เหลียวเยว่ลอบถอนใจ เสกม้วนไม้ไผ่ม้วนหนึ่งยื่นให้นาง “เวลาเจ้าท่องคาถา ให้คิดเหมือนว่ากำลังขี่อาวุธวิเศษ แต่จงใช้สัมผัสทางใจเหมือนกับตอนที่เจ้ากำลังบิน อ้อ…อย่าวอกแวก ปีกเจ้าโกร๋นขนาดนั้น ระวังตกลงมาบาดเจ็บเข้าใจหรือไม่” หงหลิงพยักหน้า ตกจากที่สูงยังไม่เจ็บใจเท่าที่เขาว่าปีกนางโกร๋น ใบหน้าจึงบึ้งตึงเล็กน้อยแล้วกล่าว “ขอบใจ” จากนั้นจึงเรียกเมฆสีทองทันที เหลียวเยว่มองตามร่างโปร่งบางที่ค่อยๆ หายลับไปพร้อมกับเมฆสีทอง ดวงตาพลันหม่นแสงลงเล็กน้อย พิงโต๊ะชาพลางทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน “เป็นแต่เทพกำเนิดนอกจากจะไม่มีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว แม้แต่ด่านเคราะห์ก็ยังเป็นด่านเคราะห์ที่ส่งผลต่อหกภพภูมิ เสด็จพ่อไม่เคยเข้าใจในเรื่องนี้ ข้าจึงทนไม่ได้ที่เห็นเขาใช้อำนาจในฐานะประมุขสวรรค์บีบบังคับเทพกำเนิดแต่ละองค์ให้เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น แม้แต่เจ้าก็อาจไม่รู้ อาจารย์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเสียสละจนดวงจิตสลาย หากแสนกว่าปีก่อนเทียนจวินไม่มีทิฐิจนทำให้เกิดสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ มีหรือที่พี่สามจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และผู้คนต้องมาเดือดร้อนกันเช่นนี้ เป็นเทพเซียนแล้วอย่างไร มารปีศาจแล้วอย่างไร หากไม่อาจละทิ้งจิตมารในตนได้ก็ล้วนไม่ต่างกัน ส่งเจ้าไปโลกมนุษย์ในครั้งนี้ หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตให้สงบสุขได้สักสิบปียี่สิบปี” ส่วนด่านเคราะห์ของนางนั้น…เหลียวเยว่ถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง “สักวันนางคงจะเข้าใจทุกเรื่อง ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพรายจนหมด” ขี่เมฆมงคลข้ามผ่านสิบหมื่นขุนเขาคล้ายกับฟื้นคืนพลังชีวิตให้กับนางอีกครั้ง หงหลิงแย้มยิ้มเบิกบาน ครั้นลงมาถึงโลกมนุษย์ก็ยังอดร่อนไปร่อนมาเหนือยอดเขาสูงไม่ได้ ความรู้สึกยามกระแสลมเย็นปะทะผิวกายเช่นนี้นางคิดถึงเหลือเกิน ขณะที่ร่อนอยู่ด้านบน คนด้านล่างก็พลันแตกตื่น โดยที่หงหลิงไม่ทันสังเกตก็ถูกเหล่าศิษย์เซียนด้านล่างขี่กระบี่ขึ้นมาหมายจะตรวจสอบดูว่าเป็นมิตรหรือศัตรู นางชะงักเล็กน้อยจนแทบร่วงหล่นจากก้อนเมฆสีทอง เคราะห์ดีที่ไหวตัวทันจึงเซเพียงเล็กน้อย ครั้นศิษย์เซียนคนหนึ่งขี่กระบี่วิเศษมาเทียบเคียงนางได้พร้อมกับอีกสี่ห้าคนที่ตามขึ้นมาจึงประกาศตัวไต่ถามนางในทันที “ผู้น้อยอวิ๋นจิ้งเป็นศิษย์รุ่นที่หนึ่งร้อยหกสิบสามของสำนักคุนหลุน ขอถามคุณชายว่าเป็นเซียนจากสำนักใดจึงสามารถขี่ก้อนเมฆสีทองเข้าเขตสำนักเราได้” อวิ๋นจิ้งถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หากแต่แฝงแววเคลือบแคลงสงสัย สำนักคุนหลุนไม่เคยมีใครสามารถบุกฝ่าม่านอาคมของอาจารย์เจ้าสำนักได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้าทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนัก บุรุษหน้าตาสุภาพอ่อนโยนบนเมฆสีทองนี้มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา เขาเกรงว่าเป็นแขกของเจ้าสำนักจึงมิกล้าล่วงเกิน หงหลิงคิดหาคำแก้ตัว แต่นางจวนเจียนจะร่วงจากเมฆอยู่รอมร่อ จึงส่งรอยยิ้มสุภาพให้กับหนุ่มน้อยผู้กล้าแล้วกล่าวว่า “ท่านเซียนน้อย ไม่เชิญข้าลงพื้นแล้วค่อยไต่ถามเล่า” อวิ๋นจิ้งรู้สึกว่าคนเองเสียมารยาทต่อคุณชายตรงหน้าจึงกล่าวขออภัย ทว่ายังไม่ทันจะผายมือ ชายหนุ่มตรงหน้าพลันเคลื่อนที่ลงสู่เบื้องล่างด้วยความเร็วสูง “คุณชาย!” อวิ๋นจิ้งและศิษย์ร่วมสำนักพยายามเร่งความเร็ว ทว่าตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน หงหลิงพยายามควบคุมความเร็วของเมฆสีทอง ทว่ายิ่งควบคุมกลับยิ่งเป๋ไปมา แทนที่จะร่อนสู่สำนักคุนหลุนกลับเบี่ยงไปทางเมืองด้านล่าง เทพสาวร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว จิตใต้สำนึกสั่งให้แปลงกายเป็นหงส์เพลิง แสงสีทองสว่างวาบเหนือท้องฟ้าของเมืองเฟิงหยาง ทว่าเพียงพริบตาเดียวไฟก็พลันดับวูบ ร่างเฟิ่งหวงเอียงวูบสู่ตำหนักหลังหนึ่งในเขตวังหลวง ผู้คนแตกตื่นคิดว่ามีข้าศึกบุกโจมตี ทหารทั่วทั้งวังหลวงพากันรายงานและระดมพลสู่ตำหนักซานซิง บรรดาโหรหลวงต่างก็รีบเข้าเฝ้าจักรพรรดิเพื่อกราบทูลคำทำนาย ขณะเดียวกันในตำหนักซานซิง ร่างหงส์ร่วงทะลุหลังคาตำหนักสู่สระน้ำร้อน คลื่นน้ำพัดพากลีบบุปผากระจายจนเปียกชุ่มไปทั่ว เหล่านางกำนัลกรีดร้องระงมแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง หงหลิงอาศัยจังหวะที่อยู่ใต้น้ำร้อนรีบคืนร่างมนุษย์ก่อนที่จะถูกจับได้ เทพสาวตะเกียกตะกายโผล่พ้นเหนือน้ำ เส้นผมสีดำเหลือบทองแดงเต็มไปด้วยกลีบบุปผาหลากสีสัน อาภรณ์สีฟ้าแนบชิดเรือนร่างโปร่งบางจนเผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจน นางสูดลมหายใจเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ กลิ่นหอมหวานของบุปผชาติฟุ้งกระจายในมวลอากาศ มือเรียวลูบน้ำออกจากใบหน้า ในครรลองสายตามองเห็นใบหน้าตื่นตะลึงและร่างกายเปลือยเปล่าของบุรุษผู้หนึ่ง เพียงแค่เห็นใบหน้าของเขา นางก็พลันสั่นสะท้านไปถึงดวงจิต เทพสาวตัวแข็งทื่อ คิดไม่ถึงว่าบุรุษตรงหน้าจะเป็นคนเดียวกันกับมังกรชั่วผู้นั้น แถมยังเป็นมังกรถูกขอดเกล็ด เปลือยเปล่าล่อนจ้อน คล้ายกับงูเผือกที่กำลังลอกคราบตัวหนึ่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ทว่าแฝงความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้นางเผยแววตาขบขัน ขณะเดียวกันดวงหน้างามที่แฝงไปด้วยความตื่นตกใจก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มอ่อนโยน ชายหนุ่มผู้นั้นถอยห่างไปชิดขอบสระ กลีบบุปผาช่วยปกปิดร่างกายท่อนล่าง กระนั้นก็ไม่อาจบดบังแผงอกกำยำของเขาได้ ภายใต้ความเย็นชากลับงดงามเย้ายวนราวกับปีศาจจิ้งจอก หงหลิงมองแววตาเย็นชาคู่งามด้วยความหลงใหล พลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อตระหนักได้ว่าร่างหลังจุติของมหาเทพเฉียนเวยมังกรชั่วในยามนี้ได้กลายเป็นทายาทของโอรสสวรรค์ซึ่งมีเชื้อสายของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางไปแล้ว นางถอยกรูด สีหน้าพลันสงบนิ่ง มองเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาราวกับมองท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ยามที่วัตถุแปลกประหลาดสีทองสว่างจนตาพร่าร่วงสู่ผืนธารบุปผชาติ ช่างงดงามราวกับภาพวาด ครั้นเห็นร่างบอบบางเย้ายวนแหวกผ่านธารน้ำที่ปกคลุมไปด้วยไอร้อนดูงดงามราวกับเทพธิดาแห่งมวลบุปผากำลังบานสะพรั่ง หากแต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับพลันสลายไปเมื่อความจริงปรากฏตรงหน้า ราวกับถูกค้อนเหล็กทุบกะโหลกศีรษะจนรวดร้าวเกินจะทานทน นั่นมันบุรุษ! ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องซึ่งตกใจในคราแรก ครั้นเห็นผู้มาเยือนสามารถสงบนิ่งได้ก็พลันเรียกสติกลับมา เขามองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาจับผิด มองใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งขัดกับแววตาของผู้เจนโลกแล้วนึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ดวงหน้าของอีกฝ่ายงดงามทระนง แฝงไปด้วยความผยองมาตั้งแต่เกิด หากแต่เมื่อมองปราดไปทั่วทั้งร่างของอีกฝ่าย แววตาพลันปรากฏร่องรอยของความผิดหวังวูบหนึ่ง แม้ว่าในใจจะคิดสงสัย หากแต่ก็กลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยในการออกคำสั่ง “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ไสหัวออกไปจากห้องอาบน้ำของข้าเดี๋ยวนี้!” สามหาว! นางด่าเขาในใจ ทว่าตอนนี้สภาพนางไม่ดีเท่าไรจึงต้องรักษาตัวรอดไว้ก่อน “ขออภัยคุณชาย ข้าได้รับบาดเจ็บ จึงรั้งตัวไม่อยู่จนร่วงลงมาใส่ห้องอาบน้ำของท่าน เชิญอาบน้ำอย่างสำราญใจเถิด” นางขึ้นจากสระ ไม่หันหลังกลับไปมองร่างเปลือยเปล่าของเขาอีก ทว่าภายนอกมีการเคลื่อนไหว อีกฝ่ายจึงออกคำสั่ง “เดี๋ยวก่อน!” เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากจึงได้แต่รั้งคนแปลกหน้าเอาไว้ครู่หนึ่ง “องค์ชาย กระหม่อมทราบข่าวมาว่ามีสิ่งประหลาดตกลงมาในตำหนักซานซิง ไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่มีอะไร สหายจากแดนไกลมาเยี่ยมด้วยวิธีอันพิสดาร บอกทุกคนไม่ต้องแตกตื่นไปไกล และเรียกนางกำนัลมาปรนนิบัติสหายข้า” เทพสาวนึกแปลกใจ แต่ก็มิได้เอ่ยอะไร นางทำให้อาภรณ์ของตนแห้ง ก่อนจะค่อยๆ ปัดกลีบดอกไม้ให้พ้นตัว นางกำนัลหน้าตาสะสวยจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา ครั้นพบนางก็ใบหน้าแดงก่ำ รีบก้มศีรษะไปทางชายหนุ่มเจ้าของห้องแล้วเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “องค์ชาย” พวกนางเข้าไปช่วยปรนนิบัติชายหนุ่มในน้ำ ครู่หนึ่งได้ยินเสียงน้ำหยดกระทบพื้น เสียงเสื้อผ้าเสียดสี สมองของนางพลันเตลิดไปไกลจนใบหน้าร้อนผ่าว กระทั่งนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้จึงได้รีบสลัดความคิดอกุศลออกไป “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าจะให้ข้าน้อยปรนนิบัติ…” “ไม่ต้อง ข้ามิได้เป็นอะไร” “พวกเจ้าออกไปก่อน” หลังจากสวมอาภรณ์เรียบร้อย เขาก็สั่งเสียงเรียบ “เจ้าไปกับข้า” เขาพานางมายังห้องรับรอง นางกำนัลจำนวนหนึ่งยกของว่างและชาร้อนมาให้ ชายหนุ่มยังคงจ้องนางไม่เลิก นั่นทำให้หงหลิงรู้สึกว่าบนใบหน้าของนางมีอะไรผิดปกติ อดลูบคลำเพื่อสำรวจมิได้ ก็ไม่มีอะไรนี่ “ข้างนอกมีทหารราชองครักษ์จำนวนหนึ่งพันนาย หากเจ้าตั้งใจจะมาทำร้ายข้า เพียงส่งสัญญาณออกไป ร่างของเจ้าจะกลายเป็นเม่นยักษ์ตัวหนึ่ง หรือไม่ก็อาจกลายเป็นชิ้นเนื้อที่ไม่อาจประกอบเป็นตัวเจ้าได้อีกต่อไป ดังนั้นแล้วมีเพียงตัวเลือกเดียวคือบอกความจริงแก่ข้า” คิ้วเรียวขมวดมุ่น นางทราบอยู่แล้วว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงแม้คนพวกนั้นจะคิดทำอันตรายนาง ก็หาได้ง่ายดายอย่างที่คิด อะไรกัน เมื่อครู่ยังไล่ข้า บัดนี้มาซักไซ้ไล่เลียง คนผู้นี้กินยาผิดสำแดงหรืออย่างไร หงหลิงวางท่าสุขุม คว้าชาขึ้นมาสูดดมอย่างไม่อนาทร ขณะที่ถ้วยกระเบื้องจะแตะริมฝีปาก อีกฝ่ายกลับคว้าถ้วยชาในมือนางแล้วปาทิ้ง น้ำชาที่สาดบนพื้นพรมกลายเป็นสิ่งที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในทันใด ดวงตาของนางยังคงสงบนิ่ง ทว่าดวงตาอีกคู่กลับปรากฏความเกรี้ยวกราดระคนตกใจ “โง่สิ้นดี เจ้ากำลังจะกลืนยาพิษลงท้องยังไม่รู้ตัวอีกหรือ” น้ำเสียงของเขาเครียดเคร่ง สีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน นางทราบก่อนแล้วว่าในนั้นมียาพิษ ทว่ากลับจงใจทดสอบมโนธรรมในใจเขา และคนผู้นี้ก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง หงหลิงเอนกายพิงเก้าอี้ เท้าคางมองเขาพลางอมยิ้ม “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว” เขาชะงัก เชิดหน้าแล้วกล่าว “ข้าอายุเท่าไรเกี่ยวอะไรกับเจ้า” หงหลิงพูดต่อ “อายุสิบเจ็ดสมควรแต่งงานมีภรรยา ทว่าเจ้ากลับมีจิตใจอ่อนโยนกว่าที่ข้าคิด” นางวางแผนในใจ ที่จงใจดื่มยาพิษเพื่อทดสอบจิตใจเขาเพียงเท่านั้น “เช่นนี้เป็นอย่างไร เจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ข้าจะพาเจ้าไปฝึกบำเพ็ญเป็นเซียน” หงหลิงยิ้มอย่างมีไมตรีจิต คิดว่าเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนประดุจพระโพธิสัตว์กวนอิมอย่างไรอย่างนั้น “เฮอะ เหลวไหล” เขาใช้สายตาดูแคลนมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มองขึ้นลงสามสี่ครั้งก็ยังคงแค่นเสียงขึ้นจมูกราวกับนางเป็นคนสติวิปลาสอย่างไรอย่างนั้น หงหลิงหน้าชา บังอาจมาว่านางเหลวไหลได้อย่างไร นางเป็นถึงเทพบนสวรรค์ แค่ฝึกสุนัขเป็นเซียนยังทำได้ นับประสาอะไรกับเขาที่เป็นร่างจุติของมังกรชั่ว นางลุกพรวดจนอีกฝ่ายตกใจ สบตาเขาพลางกัดริมฝีปาก “เจ้าหนุ่มน้อย ข้าอุตส่าห์มีเมตตารับเจ้าเป็นศิษย์ กลับมองข้ามความหวังดีของข้า ไม่เห็นหรือว่าเพียงพริบตาอาภรณ์บนกายข้าก็แห้งสนิท นี่มิใช่อาคมของเทพเซียนหรือ” นางพยายามขายของอย่างสุดชีวิต ใบหน้าอ่อนเยาว์กลับมาสงบดังเดิม เขายืดกายขึ้น ยังสูงกว่านางช่วงหนึ่ง ใช้ความสูงกดดันนางก่อนจะจิ้มหน้าผากของนางแล้วกล่าวว่า “ข้าเฉียนเวยเป็นถึงองค์ชายของแผ่นดิน จะให้จอมเวทไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสภาพไม่ต่างกับเด็กหนุ่มที่โตไม่เต็มที่รับเป็นศิษย์ ออกจะดูถูกกันเกินไปแล้ว คนอย่างข้า…หาอาจารย์ที่ดีกว่าเจ้าได้แล้ว อย่าเสียแรงเปล่าเลย” หงหลิงยืดตัวแข่งกับเขา แม้จะตระหนกที่ชาตินี้เขาก็ยังกล้าใช้ชื่อเดิม นับว่าอหังการเกินผู้ใดแล้ว นิสัยชอบดูแคลนนางนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่น่าจะได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง[1] หรือไม่น้ำแกงยายเมิ่งก็เอาเขาไม่อยู่แล้วกระมัง “ฮึ!” นางแค่นเสียง มาหาว่านางเป็นชายหนุ่ม ก็เพราะมังกรชั่วอย่างเขาไม่ใช่หรือถึงทำให้นางเป็นเช่นนี้ เทพสาวล้มเลิกความคิดที่จะรับเขาเป็นศิษย์ พลันเห็นตรงหางตาว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาหาพวกนางพอดี “ศิษย์พี่” เฉียนเวยแย้มยิ้ม ยกมือประสานทำความเคารพอวิ๋นจิ้งและอีกสี่ห้าคนตามกฎสำนัก “พวกท่านมาได้อย่างไร ยังไม่ถึงเวลาเริ่ม…” เขาหยุดพูดเมื่ออวิ๋นจิ้งประสานมือทำความเคารพหงหลิง เทพสาวประหลาดใจ คิดถึงคำของเหลียวเยว่ที่เร่งให้นางลงมาโลกมนุษย์เพื่อรับเขาเป็นศิษย์ นี่นางยังมาช้าไปอีกหรือ หรือว่ามีใครยื่นมือเข้ามาขัดขวางการแต่งงานของเฉียนเวย ไม่น่าไปแกล้งเจ้างูดินน้อยจนทำให้อดดูฉากเข้าหอของมังกรชั่ว น่าเสียดายจริงๆ คราแรกหงหลิงคิดว่าเขาทำความเคารพตามมารยาท ทว่าประโยคต่อมากลับทำให้นางใจเต้นรัว “ผู้น้อยคารวะศิษย์พี่ เมื่อครู่พวกเราตกใจจนทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงวกไปหาอาจารย์เจ้าสำนัก พอเล่าให้ท่านทราบ อาจารย์เจ้าสำนักก็บอกว่าท่านเป็นศิษย์ที่ไม่ได้พบกันนาน เป็นข้ามีตาหามีแววไม่ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วยเถิด” หงหลิงนิ่งอึ้ง มือไม้พลันเย็นเฉียบ หรือที่เหลียวเยว่บอกจะเป็นความจริง เป็นไปได้อย่างไร…หรือจะเป็นอาจารย์จริงๆ หนุ่มน้อยเฉียนเวยมีท่าทีตื่นตะลึง “ศิษย์พี่? หมายความว่าอย่างไรศิษย์พี่ใหญ่” โทสะที่สุมอกพลันได้รับการเยียวยา หงหลิงอาศัยบารมีของศิษย์พี่ยืดคอเชิดหน้าสูง แอบแลบลิ้นใส่เฉียนเวยทีหนึ่งแล้วกระแอม “พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ช่วงนี้ร่างกายของข้าไม่ใคร่แข็งแรงนัก การฝึกเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ควบคุมพลังในร่างกายไม่สะดวก พวกเรากลับสำนักก่อน ข้ามีเรื่องต้องปรึกษาอาจารย์ ปล่อยให้องค์ชายใช้เวลาส่วนตัวลำพังเถิด” “ช้าก่อน” อาจเป็นเพราะนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด ครั้นถูกยั่วยุเขาก็ยิ่งอยากเอาชนะ “ข้าลงเขามานานแล้ว มิสู้กลับขึ้นเขาไปพร้อมกับพวกท่านเลยเล่า” เทพสาวแย้มยิ้ม “ประเสริฐ ข้าอยากเห็นความสามารถของศิษย์น้องอยู่พอดี” มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้นางเบิกบานเพียงใด หึๆ มังกรชั่ว อาศัยร่างมนุษย์มาต่อกรกับข้า ฝันไปเถอะ [1] น้ำแกงยายเมิ่ง ตามคติความเชื่อของชาวจีนโบราณนั้นเชื่อกันว่า ยายเมิ่งเป็นเทพอาวุโสองค์หนึ่งในปรภพ เมื่อจะผ่านสะพานไน่เหอไปยังจุดแดนเพื่อเกิดใหม่ วิญญาณที่ผ่านการตัดสินเรียบร้อยแล้วจะต้องดื่มน้ำเบญจรสเพื่อให้ลืมความทรงจำในอดีต ก่อนจะข้ามสะพานไน่เหอไปเกิดใหม่อีกครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD