ตอนที่ 4 หวนคืน (2)
เทียนจวินสั่งเคลื่อนย้ายเหล่าเซียนให้ออกห่างจากสระปทุมทอง เนื่องด้วยมหาเทพเฉียนเวยในร่างมังกรทองกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับศิลาสวรรค์โดยที่รอบด้านเต็มไปด้วยประกายอสนีแปลบปลาบที่อาบย้อมเกล็ดสีทองประกายวาววามงดงามแต่แฝงไปด้วยความอันตราย เทียนจวินจึงเกรงว่าเหล่าเทพเซียนทั้งหลายจะถูกลูกหลงจากแสงอสนีที่มหาเทพแห่งเผ่ามังกรปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัว
มังกรเทพคำรามลั่นแดนสวรรค์ กรงเล็บทั้งห้าจากขาหน้าทั้งสองจิกลงไปบนศิลาสวรรค์จนเกิดเสียงหวีดแหลมเสียดแทงแก้วหูดังไปทั่วทั้งสิบขุนเขาหมื่นธารา แม้แต่ใต้ทะเลลึกเองก็ยังได้รับผลกระทบจนวังใต้บาดาลของเจ้าสมุทรทั้งสี่เกิดการสั่นไหว ตัวต้นเหตุกลับมิได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นแม้แต่น้อย แต่ถึงกรงเล็บแหลมคมจะกรีดลงบนศิลาสวรรค์สักเท่าใด ก็หาได้ระคายพื้นผิวของศิลาสวรรค์ไม่
เทพมังกรพิโรธจนไม่อาจคุมพลังในตัวได้ อี่ฉินรุดเข้ามาในเขตสระปทุมทอง เห็นว่าปล่อยไว้จะเดือดร้อนจนไม่อาจควบคุมเหตุการณ์ได้ เขาเรียกกระบี่เทียนเซี่ยออกมาแล้วเหวี่ยงตัวด้ามจับกระบี่ใส่ศีรษะของเทพมังกร
ชั่วลมหายใจเข้าออก เทพมังกรฟ้าพลันสิ้นฤทธิ์ คืนร่างมนุษย์แล้วนอนหมดสติอยู่บนพื้นข้างศิลาสวรรค์ อี่ฉินเคลื่อนกายเข้าไปประคองร่างนั้น จึงสังเกตเห็นว่าเล็บมือทั้งสองข้างของเฉียนเวยฉีกขาด อาบย้อมไปด้วยโลหิตสีชาดเกรอะกรัง สีหน้าของรัชทายาทแห่งเผ่าสวรรค์เครียดเคร่ง ออกคำสั่งแก่บริวารในทันที
“เปิดตำหนักพิรุณโปรย เรียกเซียนแพทย์มาเดี๋ยวนี้” เขาเว้นจังหวะขบคิด แววตาเจือความเบื่อหน่าย “แจ้งเทียนจวินว่าอีกสองชั่วยามจึงสามารถเข้าเยี่ยมเขาได้”
นึกด่าทอเจ้าคนไม่ได้สติสักสองสามทีเผื่อว่าจะรู้จักระงับโทสะเสียบ้าง
อสนีมังกรฟ้าแม้ร้ายกาจ ทว่ากลับพ่ายแพ้ให้แก่กระบี่เทียนเซี่ยซึ่งทำจากเงินบริสุทธิ์ มีเพียงอี่ฉินเท่านั้นที่สามารถกำราบร่างมังกรของเฉียนเวยได้อย่างหมดจด และนั่นเป็นหน้าที่ที่อาจารย์เคยมอบหมายไว้
กระแสลมตะวันออกหอบเอากลิ่นดอกท้อจากสวนท้อของเทียนโฮ่วเข้ามาด้านในวังพิรุณโปรย พาให้ความแข็งกระด้างของวังที่ร้างมานับสิบหมื่นปีน่าอยู่ขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
นางกำนัลเซียนต่างเร่งรีบปัดกวาดเช็ดถูพื้นตำหนักอย่างขะมักเขม้น ภายใต้การควบคุมงานของไท่จื่อแห่งแดนสวรรค์จึงไม่มีใครกล้าจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องที่มหาเทพแห่งสวรรค์ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล มีเพียงแอบกระซิบกระซาบกันเล็กน้อยถึงเสี้ยวหน้าคมของมหาเทพเฉียนเวยซึ่งเห็นจากที่ไกลๆ อี่ฉินจำต้องหลับตาข้างลืมตาข้าง แต่ก็มิอาจห้ามให้นางกำนัลเหล่านั้นหยุดจินตนาการถึงเทพมังกรได้
แม้ว่าเซียนชั้นผู้น้อยจะไม่สามารถมองฝ่ารัศมีของมหาเทพจนเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ แต่กับเฉียนเวยนั้นกลับเป็นข้อยกเว้น เพราะเขาไม่เคยคิดจะใช้ไอเทพมาสร้างความยุ่งยากให้ตนเอง เนื่องด้วยยิ่งเปล่งรัศมีเทพมากเท่าใด การปรากฏตัวก็ยิ่งเอิกเกริกมากเท่านั้น
เฉียนเวยมิใช่เทพจากเผ่าปักษาที่ชมชอบการเป็นจุดสนใจ ซึ่งมักจะได้ผลเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการแสร้งไม่อยากเป็นจุดสนใจตัวการที่ทำให้แดนเทพปั่นป่วนนั่งเอกเขนกบนเตียง ศีรษะถูกผ้าห่อสมุนไพรประคบไว้ คิ้วกระบี่ขมวดเป็นปม ดวงตาคมเจือความเย็นชาเหม่อมองปลายเท้า กลีบปากบางเฉียบเม้มแน่น แต่ละนิ้วถูกกลีบบัวทองพันรอบเล็บ ดูไปก็คล้ายกับสีสันที่เหล่าเซียนสาวใช้ทาเล็บเพื่อความสวยงาม
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เจ้าตัวยังไม่เอ่ยปากแม้ครึ่งคำ แม้แต่เซียนรับใช้ก็ยังไม่ให้เข้าใกล้ ครั้นมีคนย่างเท้าข้ามธรณีประตูเข้ามา เป็นอันต้องถูกสายฟ้าเล็กๆ ฟาดฟันจนอาภรณ์ไหม้เกรียม
อี่ฉินนั่งไขว้ขา เอนกายกับเบาะนุ่มด้วยท่าทีเรื่อยเฉื่อย แววตามิได้เย็นชา แต่ก็ว่างเปล่าราวกับหุ่นกระบอกอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงกลีบปากได้รูปที่ชุ่มชื้นเพราะชาเย็นชืดในมือ ที่ยังพอโค้งขึ้นบ้างยามเอ่ยเสียดสีเจ้าของวัง
“เทียนจวินเสด็จ”
ไท่จื่อแห่งแดนสวรรค์เหลือบมองคราหนึ่ง เก็บรอยยิ้มเสียดแทงแล้วยืดกายนั่งหลังตรง กระทั่งเทียนจวินและผู้ติดตามเข้ามาในห้องของเฉียนเวย เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างจงใจ
“เสด็จพ่อ อ้าว…หม่านหงก็มาด้วยรึ”
“อืม…มหาเทพเฉียนเวย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
หม่านหง สะกิดใจเทพมังกรอย่างที่อี่ฉินคิด เทพหนุ่มเบนหน้าไปหาเทียนจวิน
“ไกลหัวใจนัก” ก้มศีรษะให้เล็กน้อยแม้จะรู้สึกปวดแปลบที่หลังคออยู่บ้าง หากแต่สายตากลับหยุดอยู่ที่สตรีซึ่งยืนข้างกายเทียนจวิน
ใจเฉียนเวยกระตุกวูบ คุ้นเคยกับดวงตาหงส์ของสตรีนั้นอย่างยิ่ง มองสำรวจคิ้วเรียวงามวาดโค้ง แววตาสดใสระคนอ่อนหวาน กลีบปากอิ่มเต็มสีหวาน คลี่ยิ้มงดงามพร้อมกับย่อกายประสานมือคารวะเขาอย่างอ่อนช้อย มือเรียวงามอันไร้ที่ติจึงโผล่พ้นอาภรณ์โดยมิได้ตั้งใจ
“หม่านหงคารวะมหาเทพเฉียนเวย”
“หม่านหง?”
เทียนจวินสบตากับอี่ฉินแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาว่า “หลานสาวข้าเอง”
“เชิญเทียนจวินกับองค์หญิงนั่งก่อน” สิ้นเสียงก็มีนางกำนัลยกน้ำชาเข้ามา พวกนางจึงได้เห็นใบหน้าของมหาเทพมังกรฟ้าได้อย่างชัดเจน
เฉียนเวยไม่เคยใช้รัศมีเทพมาอำพรางใบหน้าตน ครั้นนางกำนัลเหล่านั้นเหลือบเห็นเข้าจึงพวงแก้มแดงก่ำ ขัดเขินจนต้องรีบจากไป
เฉียนเวยมององค์หญิงหม่านหงนานขึ้นอีกนิด คิ้วกระบี่ยังไม่คลายปม หากแต่เอ่ยขึ้นว่า “โลกนี้มีหม่านหงกี่คนกัน”
อี่ฉินคลึงถ้วยชา เทียนจวินเกรงว่าจะผิดแผนจึงชิงออกตัว “ย่อมต้องมีเพียงหนึ่ง นางอายุเก้าหมื่นปีแล้ว”
หม่านหงก้มศีรษะลง ครั้นเหลือบไปเห็นว่าเทพหนุ่มกำลังมองนางอยู่ลมหายใจจึงสะดุด ใบหน้าขึ้นสีเรื่อด้วยความขัดเขิน หากนางได้รับการอบรมกิริยามารยาทเป็นอย่างดี จึงมิได้แสดงออกโจ่งแจ้ง
“หม่านหงแม้จะมีร่างเฟิ่งหวง แต่ฌานตบะยังอ่อนด้อย มิอาจควบคุมดูแลประตูมารได้ดังเช่นเทพปักษาในอดีต ครั้งนี้มหาเทพตื่นขึ้น ความกลัดกลุ้มของเราชาวสวรรค์จึงได้คลายลงบ้าง” องค์หญิงหม่านหงมีร่างเฟิ่งหวง เพราะมารดาของนางมาจากเผ่าปักษา ทายาทสายตรงของราชันปักษา หากแต่มีนางเพียงคนเดียวที่มีลักษณะภายนอกใกล้เคียงกับเทียนเฟิ่งมากที่สุด เทียนจวินรู้ข้อนี้ดี
เฉียนเวยจดจำกิริยาของนางไว้ เอ่ยขึ้นว่า “แสนปีมานี้ข้าทิ้งบุพเพไปแล้ว มิคาดว่าตื่นขึ้นมาก็ยังเจอกับหม่านหงอีกคน” พลันทำหน้าเศร้าสลด “น่าเสียดายที่ศิลาสวรรค์กลับมีชื่ออื่นมาแทนที่นางเสียแล้ว”
“เป็นผู้ใดกัน” เทียนจวินถาม “มิใช่ว่าศิลาสวรรค์จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ”
เฉียนเวยหลุบตาลง ข่มความปวดที่หลังคอ ส่ายหน้าช้าๆ “หงหลิง”
เทียนจวินชะงัก ในใจนึกกังวลไม่น้อย
มิใช่ชื่อโย่วฟางของเทียนเฟิ่ง หรือเทียนเฟิ่งจะจิตดับสูญไปแล้วก็มิอาจทราบได้ อีกทั้งยังไม่ถึงกำหนดการเปลี่ยนนามของนาง เกรงว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นมากกว่าเรื่องดีเสียแล้ว มิน่าเล่าครั้นเทพมังกรตื่นขึ้นมาจึงอาละวาดใหญ่โต
เทียนจวินปั้นยิ้ม “ศิลาสวรรค์ไม่เคยโกหก มหาเทพเองก็ทราบดีมิใช่หรือ”
เฉียนเวยยิ้มเย็น มองหม่านหงตาไม่กะพริบ “นั่นสิ ท่านว่าไหนๆ ข้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว สร้างบุพเพกับองค์หญิงเพื่อทดสอบความแม่นยำของศิลาสวรรค์ดีหรือไม่”
“ฮ่าๆ ไม่เลวๆ ว่ากันว่าหากจะสร้างบุพเพต่อกัน ในโลกมนุษย์นับว่าไม่เลว”
“เสด็จปู่ หลานว่าเรื่องนี้รอให้ท่านเทพหายจากอาการบาดเจ็บก่อนดีหรือไม่” แม้จะเอ่ยด้วยความเกรงใจ ทว่าในใจขององค์หญิงแห่งเผ่าสวรรค์กลับลิงโลด…ลงไปโลกมนุษย์หรือ?
อี่ฉินคร้านจะฟัง จึงร่วมเล่นละครกับเขาด้วย “สามหมื่นปีก่อนมีเทพเซียนที่สร้างบุพเพต่อกันโดยไม่สนใจจะตรวจสอบศิลาสวรรค์ จนในที่สุดเมื่อมาตรวจสอบศิลาสวรรค์ก็ยอมรับ มิสู้พวกท่านลองสร้างบุพเพต่อกันในโลกมนุษย์ เผื่อว่าสวรรค์จะเห็นใจเปลี่ยนแปลงคู่บุพเพเป็นหม่านหงอีกครั้งให้เฉียนเวยเล่า”
เทียนจวินปรึกษากับเฉียนเวยอยู่พักใหญ่ กระทั่งเย็นย่ำแล้วจึงขอตัวกลับพร้อมกับหม่านหง อี่ฉินรอกระทั่งทั้งสองจากไป สั่งการให้ปิดประตูวังพิรุณโปรยก่อนจะนั่งมองหน้าเฉียนเวยโดยไม่ปริปากแม้ครึ่งคำ ค่อยๆ ละเลียดชาร้อนไป ครั้นใกล้หมดกา ชาก็เย็นพอดี พอชาเริ่มเย็นก็เสกป้านใหม่ขึ้นมา ดื่มแล้วเติมเกือบสามสิบรอบ กว่าเฉียนเวยจะหมดความอดทนไปเอง
“ศิษย์พี่ อยากพูดอะไรหรือไม่”
อี่ฉินโยนจอกชาทิ้ง เท้าคางพูด “ปรานีหลานข้าด้วย”
“ดูพฤติกรรมนางไปก่อน”
“นางยังเด็กนัก”
“เก้าหมื่นปีไม่นับว่าเด็กแล้ว”
เปลวเทียนไหว ไข่มุกราตรีกะพริบแสง อี่ฉินทอดถอนใจ “เพราะเหตุใด”
“ประตูมารเริ่มร้าว ข้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติก่อนที่จะตื่น พอนางไม่อยู่ พลังที่ผนึกมันไว้ก็ยิ่งอ่อนแอลง ข้าไม่อาจละทิ้งแดนสวรรค์ไปด้วยร่างนี้”
อี่ฉินแค่นเสียงในลำคอ “เจ้าเลยจงใจผนึกพลังของนางไว้ แล้วแสร้งว่าหลานข้าคือนางอย่างนั้นหรือ” เติบโตด้วยกันมา เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจเฉียนเวยที่สุด คนเช่นนี้ไม่มีทางอยากสร้างบุพเพกับใครหากไม่มีแผนการอยู่ในใจ
เฉียนเวยเบือนหน้าหนี “เป็นเทียนจวินที่เสนอทางนี้ให้ข้าเอง เสี่ยวหงน่าจะเปลี่ยนร่างทองได้ไม่นาน พลังของนางยังไม่คงที่ หากฝืนใช้พลังก็มีแต่จะเกิดอันตรายต่อทั้งหกภพภูมิเท่านั้น การผนึกประตูมารครั้งใหม่ใช่ว่ามีพลังมากจะดีเสียเมื่อไร”
“เจ้าจึงอาศัยโอกาสที่เทียนจวินประทานให้ แอบไปสร้างบุพเพกับหลานข้า เพื่อให้นางตัดใจใช่ไหม”
“อาจไม่ใช่นางที่ควรตัดใจ เด็กน้อยคนนั้นมิได้รู้เรื่องระหว่างชายหญิงเสียด้วยซ้ำ” ในน้ำเสียงแฝงแววเยาะหยัน
“เจ้ารู้ดี?”
เฉียนเวยเปลี่ยนเรื่อง “ข้าให้โอกาสนางใช้ชีวิตสงบสุขมานับแสนปี นางกลับไม่รักษาดูแลตนจนเกิดเรื่องได้ ที่แท้แล้วนางก็ไม่ต่างจากวันวานเลยแม้แต่น้อย”
“เป็นเจ้าที่ทำร้ายนาง ยังจะว่านางได้” อี่ฉินแค่นเสียงในลำคอ ระคายตาเหลือเกินกับท่าทางราวกับผู้กุมชะตาชีวิตผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น “ข้าเห็นที่เจ้ามองหม่านหงตาไม่กะพริบ ตกใจล่ะสิ”
เทพหนุ่มไม่ตอบ อี่ฉินจึงทับถมไปอีกว่า “พอเจ้าลงไปเกิดในโลกมนุษย์ เทพชะตาก็จะลิขิตให้เจ้าสร้างบุพเพกับหม่านหง อย่างไรก็ไม่มีทางได้พบเจอเสี่ยวหงอย่างแน่นอน”
เฉียนเวยยกมุมปาก นึกถึงสตรีนางนั้นแล้วก็ยิ่งกดมุมปากลึกขึ้น เวลานางเจ็บป่วยไร้ที่พึ่ง มีเพียงที่เดียวที่นางไปได้ จึงพูดอย่างใจเย็น “ยิ่งผู้อื่นเหมือนนางมากขึ้นหนึ่งส่วน ความแตกต่างก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี แม้จะดื่มน้ำแกงลืมเลือน ข้าก็ไม่มีทางลืมนางได้”
แววตาว่างเปล่าของอี่ฉินพลันปรากฏระลอกคลื่น “หรือเจ้า…” อี่ฉินสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยเตือนเสียงเรียบ "มั่นใจอย่างไรก็อย่าได้ดูแคลนเทียนจวิน ที่เขายอมเปลี่ยนทิศทางลมไปกับเจ้า ก็เพราะไม่มีผลเสียอันใดต่างหาก อย่าลืมว่าการเป็นราชันสวรรค์มิใช่ได้มาเพราะโชคช่วย"
"เหมือนท่านหรือ?" เฉียนเวยกระตุกยิ้ม อี่ฉินพลันเบือนหน้าหนี เฉียนเวยคร้านจะจับผิดเขาจึงเอ่ยว่า “เรียกเทพลิขิตชะตามาพบข้า”
หมื่นพฤกษชาติผลิบาน หมื่นลำธารไหลเวียน มัจฉาแหวกว่าย บุปผาพราวพร่างหลากสีสัน ไอหมอกสีสีขาวทอดยาวตามแนวเทือกเขาราวกับผ้าห่มที่สวรรค์ประทานให้
“ราวสี่สิบเก้าวันขนปีกเจ้าจึงจะงอก ระหว่างนี้พยายามอย่าใช้พลังจะดีที่สุด” กล่าวจบก็ยื่นถ้วยยาไปตรงหน้า
หงหลิงเบือนหน้าหนี “ไม่กิน”
ยาขมของเจ้าหมอนี่ นางไม่มีทางยอมให้มันเข้าปากแน่ๆ
เหลียวเยว่ถอยไปก้าวหนึ่ง ดีดปลายนิ้วไปที่แขนซ้ายของนาง
“อ๊าก!” หงหลิงร้องด้วยความเจ็บปวด เหลียวเยว่ฉวยจังหวะนั้นสกัดจุดแล้วกรอกน้ำยาสีเข้มลงคอนาง ใช้ฝ่ามือปิดปากรอกระทั่งนางกลืนยาจนหมดแล้วจึงปล่อยตัว
“ตัวบัดซบ บังอาจกรอกยาข้า” หงหลิงหน้าเขียว พูดจบก็ทำท่าจะขย้อนเอายาออกมา ขนลุกชัน น้ำตาซึมด้วยความรันทดใจ
เหลียวเยว่จุ๊ปาก ดันคางนางแล้วหัวเราะอารมณ์ดี “รักษามารยาทหน่อย อยู่ที่นี่ข้าเป็นเจ้าสำนักนะ”
เทพสาวกัดฟัน ดึงผ้าห่มคลุมกายแล้วนอนหันหลังให้เป็นเชิงไล่กลายๆ
เหลียวเยว่มิได้สนใจ ยังกล่าววาจาอีกประโยคสองประโยค “กำลังจะแนะนำให้ไปเที่ยวแก้เบื่อในแดนมนุษย์ แต่เห็นเจ้าทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้ อย่าไปเลยจะดีกว่า”
หงหลิงกลอกตา ทว่ายังใจแข็งไม่ยอมหันกลับ ครั้นถูกกรอกยาลงกระเพาะ ความง่วงงุนก็คืบคลานเข้ามา แว่วเสียงเหลียวเยว่ที่กล่าวอีกสองสามประโยค แต่นางจับใจความไม่ได้เสียแล้ว
“ยานี้จะคลายความเจ็บปวดจากอสนีมังกรฟ้า จากนั้นอยากจะไปเริงร่าที่ใดก็ตามใจเจ้า”